เพราะไม่รู้ ปฏิจจสมุปบาท เพราะไม่รู้ ธัมมะ ที่อาศัยกันเกิดขึ้น ในตนเอง เพราะไม่มีคุณธรรมของ สัทธานุสารีย์ ธัมมานุสารีย์ โสดาบัน หรืออริยบุคคลทั้งหลาย ย่อมไม่แจ้งใน จิต มโน วิญญาณ
อธิบายเรื่องปฏิจจสมุปบาท นับตั้งแต่ สังขารทั้งหลาย เรื่อยไปจนถึงตัณหา
ดวงตา ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง หรือ สัมมาญาณะ จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัย การเห็นปฏิจจสมุปบาทการโยนิโสมนสิการไปตามปฏิจจสมุปบาท ทางนี้ ทางเดียว เท่านั้นที่จะเป็นไปเพื่อให้เห็นปฏิจจสมุปบาทเพื่อให้เกิดปัญญา เพื่อให้ถึงวิมุตติ
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับมหาจุฬาฯ) เล่มที่ ๑๖ หน้าที่ ๔๐อุปนิสสูตร
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับมหาจุฬาฯ) เล่มที่ ๒๐ หน้าที่ ๓๐๐ปฐมภวสูตร
พระพุทธเจ้า ทุกพระองค์ตรัสรู้ ปฏิจจสมุปบาทพระพุทธเจ้า ทุกพระองค์สิ้นกิเลส เป็นพระอรหันต์ เป็นพระพุทธเจ้า เพราะเห็น ปฏิจจสมุปบาทหากเราไม่รู้จัก ไม่ใส่ใจ ไม่เห็น ปฏิจจสมุปบาท การสิ้นกิเลส ย่อมไม่มีแก่เรา
การรู้แจ้งในภพสาม เท่ากับการรู้แจ้งสังสารวัฏการรู้แจ้งว่าภพสาม เป็นสังขตธรรม อันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาจะเป็นไปเพื่อให้รู้แจ้งทุกข์ จะเป็นไปเพื่อให้รู้แจ้งโลก
สัตว์ตายแล้ว ทำไมจึงเกิดสัตว์ตายแล้ว ทำไมจึงไม่เกิด
อกุศลกรรม เกิดจากจิตวิปลาส (ราคะ โทสะ โมหะ)๑. กรรมดำ มีวิบากดำ ๒. กรรมขาว มีวิบากขาว๓. กรรมทั้งดำและขาว มีวิบากทั้งดำและขาวกรรมสามประการนี้ เป็นไปเพื่อเกิด แก่ ตาย จึงนับเป็นอกุศลกุศลกรรม เกิดจากจิตไม่วิปลาส(อโลภะ อโทสะ อโมหะ)๔. กรรมไม่ดำและไม่ขาว เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม ไม่ต้องเกิด แก่ ตาย อีก จึงนับเป็นกุศลกรรม
ระลึกถึงคุณความดีในตน แล้วกำหนดรู้ มนสิการโดยแยบคาย เพื่อให้เกิดการเห็นแจ้งในธรรมทั้งปวง เพื่อให้เกิดปัญญา คือเห็นสัจจะ เมื่อเห็นสัจจะ เมื่อเห็นปฏิจจสมุปบาท ย่อมคลายออกจากทุกข์ทั้งปวง ที่ได้เห็นแจ้งแล้ว ด้วยโยนิโสมนสิการ ด้วยอริยมรรค นั้นได้