3 ใต้ร่มโพธิบท

เรียนรู้หัวข้อธรรมะ ที่เป็นแผนที่แม่บท เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ด้วยสูตร 15+45 คือนั่งสมาธิ 15 นาที แล้วตามด้วยการอธิบายหัวข้อธรรมะ 45 นาที เพื่อให้ตกผลึกความคิดเป็นสัมมาทิฏฐิ มีปัญญาเดินทางแผนที่คำสอนได้. New Episode ทุกวันพุธ เวลา 05:00, Podcast นี้เป็นส่วนหนึ่งของรายการธรรมะรับอรุณ ออกอากาศทุกวันทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) มีคำถาม/ข้อเสนอแนะ หรือสมัครติดตามฟังทั้ง 7 รายการ ที่ panya.org<hr /><p style="color: grey; font-size: 0.75em;"> Hosted on Acast. See <a href="https://acast.com/privacy" rel="noopener noreferrer" style="color: grey;" target="_blank">acast.com/privacy</a> for more information.</p>

ว่าด้วยเรื่องการโจทก์  2 [6840-3d]

การโจทก์ในทางพุทธศาสนาหมายถึงการกล่าวหาหรือการตำหนิผู้อื่น คุณสมบัติของผู้โจทก์และผู้ถูกโจทก์ได้กล่าวไว้แล้วในตอนที่ผ่านมา ในตอนนี้จะกล่าวถึงการที่จะไปโจทก์ผู้ใดนั้นพระพุทธเจ้าได้ให้หลักพิจารณาไว้ในพระสูตรที่ชื่อว่า “กินติสูตร” โดยในตอนนี้จะกล่าวถึงตอนที่พระพุทธเจ้าได้สอนถึงการที่จะโจทก์กันนั้นให้ใคร่ครวญพิจารณา ตามหลัก 5 ประการ ดังนี้1. พิจารณาความลำบากหรือไม่ลำบากของผู้เป็นโจทย์ โดยผู้เป็นโจทย์ต้องมีวาจาบริสุทธิ์2. พิจารณาความขัดเคืองหรือไม่ขัดเคือง ของผู้ถูกโจทย์3. พิจารณากุศลและความดีที่จะเกิดกับผู้ถูกโจทย์ คือหากโจทก์แล้วก่อให้ความดีกับผู้ถูกโจทย์ก็ควรโจทก์4. พิจารณาผู้เป็นโจทย์ลำบาก และผู้ถูกโจทย์ขัดเคือง ให้ยึดกุศลธรรมที่จะเกิดขึ้นเป็นเกณฑ์5. พิจารณาแล้วว่าผู้ถูกโจทย์เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็ให้วางเฉยนอกจากนี้พระพุทธเจ้ายังให้หลักในการพิจารณาความเห็นต่างกันในเรื่องธรรมะที่พระองค์ได้ทรงบอกกล่าวไว้ โดยส่วนมากจะเห็นแย้งกันใน 2 เรื่องคือ เรื่องอรรถ และพยัญชนะ โดยให้เข้าหาชี้แจงแก่กลุ่มภิกษุที่ว่าง่ายก่อนแล้วค่อยๆขยายให้เกิดความสามัคคีกันอย่างกว้างขวางขึ้นและสามารถใช้หลักการนี้พิจารณาการโจทก์กันในด้านการครองเรือนได้ด้วย Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

09-30
54:12

ว่าด้วยเรื่องการโจทก์ [6839-3d]

โจทก์ คือ ผู้ยื่นฟ้องคดีต่อศาล ที่เชื่อว่าตนเองได้รับความเสียหาย หรือถูกละเมิด และต้องการการเยียวยาจากฝ่ายที่ถูกฟ้อง ซึ่งเรียกว่า "จำเลย" โจทก์มีหน้าที่นำเสนอหลักฐานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่กล่าวอ้าง การโจทก์ในทางพุทธศาสนาหมายถึงการกล่าวหาหรือการตำหนิผู้อื่น ในที่นี้จะเทียบเคียงให้เข้าใจในนัยยะทางพุทธศาสนาหากมีการโจทก์หรือถูกโจทก์ในชีวิตประจำวันจะต้องทำอย่างไร โดยจะแบ่งไว้ 2 ส่วนคือส่วนของผู้โจทก์ และผู้ถูกโจทก์ ดังนี้ผู้โจทก์ต้องมีข้อพิจารณา 5 ประการ ดังนี้ต้องมีกายบริสุทธิ์ต้องมีวาจาบริสุทธิ์ต้องมีจิตเมตตาต้องมีความเป็นพหูสูตต้องจำและวินิจฉัยบทสวดพระปาติโมกข์ได้ถูกต้อง(ในทางโลกต้องรู้กฎหมายอย่างละเอียดรอบคอบ)คุณสมบัติของผู้โจทก์ ต้องตั้งอยู่ในธรรม 5 ประการนี้คือกล่าวโดยกาลอันควร ไม่กล่าวด้วยกาลไม่ควรกล่าวด้วยคำจริง ไม่กล่าวด้วยคำไม่จริงกล่าวด้วยคำสุภาพ ไม่กล่าวด้วยคำหยาบกล่าวด้วยคำที่ก่อประโยชน์ ไม่กล่าวด้วยคำที่ไร้ประโยชน์มีเมตตาจิตกล่าว ไม่มุ่งร้ายแล้วกล่าวหากผู้โจทก์มีคุณสมบัติตาม 10 ประการข้างต้นนี้จะไม่เดือดร้อนจากการโจทก์ของตนคุณสมบัติของผู้ถูกโจทก์ ต้องตั้งอยู่ในธรรม 5 ประการนี้คือความจริง คือตั้งไว้ในความจริงความไม่ขุ่นเคือง คือถ้าเราถูกโจทก์ก็อยู่ขุ่นเคืองการโจทก์นั้นหากผู้โจทก์และผู้ถูกโจทก์ตั้งอยู่ในธรรมทั้ง 2 ฝ่ายก็จะนำไปสู่การพัฒนาปรับปรุงแก้ไขในสิ่งที่ทำไม่ถูกให้กลายเป็นสิ่งที่ถูกต้องขึ้นมาได้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

09-23
58:12

เบญจศีลและเบญจธรรม [6838-3d]

พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดง หลักคำสอนและวิธีการปฏิบัติต่าง ๆ สรุปเป็นใจความสำคัญไว้ 3 ขั้น คือ ให้ละเว้นความชั่ว ให้ทำความดี และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ นี่คือเส้นทางที่จะนำไปสู่ทางหลุดพ้นได้ซึ่งในครั้งนี้จะกล่าวถึงหลักธรรมที่เป็นขั้นของการชี้แนวทางแห่งโลกุตระ นั่นคือเบญจศีลและเบญจธรรมเบญจศีลและเบญจธรรม เป็นธรรมคู่กัน คนที่มีเบญจธรรมจึงจะเป็นผู้มีเบญจศีล ซึ่งหากคนมีศีลและธรรมดังกล่าวแล้ว จะเว้นจากการทำความชั่ว รู้จักควบคุมตนให้ตั้งอยู่ในความดี ไม่เบียดเบียนตนและคนอื่น และประพฤติชอบทางกาย วาจา ใจเบญจศีล คือ ศีล 5 ข้อ เป็นการรักษาเจตนาที่จะควบคุมกาย และวาจาให้เป็นปกติ คือ ไม่ทำบาป โดยการละเว้น 5 ประการ คือ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ละเว้นจากการลักขโมย ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม ละเว้นจากการพูดปด ละเว้นจากการเสพสุราเบญจธรรม เป็นหลักธรรมที่ควรปฏิบัติ มี 5 ประการ ได้แก่1. เมตตากรุณา คือ บุคคลใดที่มีเมตตาย่อมไม่ฆ่า หรือเบียดเบียนสัตว์ เมตตากรุณาจึงเป็นจิตที่สามารถเพิ่มพูนพัฒนาได้จากการเว้นจากการฆ่า 2. สัมมาอาชีวะ คือ ประกอบอาชีพที่สุจริต มีรายได้ รู้จักใช้จ่าย และที่สำคัญรู้จักคำว่าพอดี และมีหิริโอตตัปปะ คือ ความละอาย และเกรงกลัวต่อผลของบาป จึงทำให้ไม่ลักขโมยของผู้อื่น3. กามสังวร คือ ความสำรวมอินทรีย์ ระมัดระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ทำให้ ความใคร่ในกามคุณ คือ การติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ลดน้อยลง เมื่อความสำรวมเกิดขึ้น จึงทำให้ไม่ประพฤติผิดในกาม4. สัจจะ คือ การพูดความจริง เป็นสิ่งที่ทำให้ไม่เกิดการมุสาวาท 5. สติสัมปชัญญะ คือ การรู้สึกตัว การไม่ประมาท เพราะรู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว ทำให้ไม่เกลือกกลั้วกับสิ่งที่จะทำให้ชีวิตตกต่ำ เช่น สุราเมื่อคนดื่มกินก็ทำให้มึนเมาและขาดสติ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

09-16
57:17

สติปัฏฐาน 4 [6837-3d]

สติ หมายถึงความระลึกได้ คือระลึกถึงสิ่งที่ทำ จำคำที่พูดแล้วแม้นานได้ สติมีทั้งมิจฉาสติและสัมมาสติ หากระลึกถึงเรื่องไม่ดีทำให้กิเลสเกิดนั่นคือมิจฉาสติ  แต่หากระลึกถึงเรื่องที่ดีๆเรื่องที่ก่อให้เกิดกุศลก็คือสัมมาสติ สติต้องมีปัญญาประกอบควบคู่ไปด้วย จึงจะทำให้ใช้สติอย่างถูกต้องก่อให้เกิดประโยชน์  สตินั้นมีอานิสงส์มาก การที่เราจะเข้าสมาธิได้เป็นสัมมาสมาธิก็ต้องอาศัยสัมมาสติ และในสัมมาสติเจาะลงไปก็คือสติปัฏฐาน4 การเจริญสติปัฏฐานสี่นั้นเป็นเหตุให้เกิดวิชชาและวิมุติได้สติปัฏฐาน เป็นธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติ การตั้งสติไว้โดยปัญญาพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นเท่าทันตามความเป็นจริง และการมีสติกำกับดูสิ่งต่างๆ และความเป็นไปทั้งหลาย โดยปัญญารู้เท่าทันตามสภาวะของมัน ไม่ถูกครอบงำด้วยความยินดียินร้าย ที่ทำให้มองเห็นเพี้ยนไปตามอำนาจกิเลส มี 4 อย่าง คือ กาย เวทนา จิต ธรรม1. กายานุปัสสนา สติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณากาย, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันกายและเรื่องทางกาย เช่นนึกถึงกระดูก หนังเอ็น ความเป็น อสุภะ 2. เวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนา, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันเวทนา การใช้ความรู้สึกเป็นฐานที่ตั้งของการมีสติ พิจารณาทุกขเวทนาและสุขเวทนาอย่างสติ 3. จิตตานุปัสสนา สติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันจิตหรือสภาพและอาการของจิต คือถ้าจิตฟุ้งก็รู้ จิตสงบก็รู้4. ธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรม, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันธรรม คือการนำธรรมะมาพิจารณาใคร่ครวญอย่างแยบคายจนเห็นทุกข์จะเห็นว่าสติปัฏฐาน4 นี้คือ กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นหนึ่งในโพธิปักขิยธรรม37 อย่าง สามารถแจกแจงออกให้ละเอียดได้ถึง 10 อย่างเรียกว่า อนุสติ10 คือสิ่งที่จะทำให้สติตามมาได้ 10 ประการได้แก่1.พุทธานุสสติ การตามระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า2.ธัมมานุสสติ การตามระลึกถึงพระธรรม3.สังฆนุสสติ การตามระลึกถึงคุณพระสงฆ์4.สีลานุสสติ การตามระลึกถึงศีลที่เรารักษา5.จาคานุสสติ การตามระลึกถึงผลของทานการบริจาค6.เทวตานุสสติ การตามระลึกถึงคุณธรรมที่ทำให้เป็นเทวดา7.อุปสมานุสสติ การตามระลึกถึงความว่าง ความพ้น นิพพาน8.มรณานุสสติ การตามระลึกถึงเหตุปัจจัยแห่งความตายนั้นมีมาก9.อานาปานานุสสติ การตามระลึกถึงลมหายใจเข้า ลมหายใจออก10.กายคตานุสสติ การตามระลึกถึงอาการ32 Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

09-09
56:52

อาวาสิกธรรม [6836-3d]

อาวาสิโก คือผู้อยู่ประจำอาวาส ภิกษุผู้อยู่ประจำอาวาส และอีกหนึ่งนัยยะ อาวาสิโก ยังหมายถึงเจ้าอาวาส ซึ่งในภาษาไทยได้นำมาใช้ในบริบทที่ว่าคือผู้นำผู้ปกครองของวัดนั้น อาวาสิกธรรม คือธรรมของผู้ที่อยู่ประจำถิ่น เป็นหลักธรรมของภิกษุผู้อยู่ประจำอาวาส การอยู่ประจำอาวาสอย่างไรที่จะทำให้ดีให้งาม ให้มีการเกิดประโยชน์เกิดบุญที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้ไปดีได้ในภพต่อๆไป ในตอนนี้ได้รวบรวมเนื้อหามาสรุปให้เป็นกลุ่ม โดยแบ่งตามคุณธรรมของผู้อยู่ประจำถิ่น ดังนี้กลุ่มที่1 เป็นผู้มี ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติดังนี้1)ถึงพร้อมด้วยมารยาทและวัตร 2)เป็นพหูสูต ทรงความรู้ 3)เป็นผู้ยินดีในการขัดเกลากิเลส ยินดีในความสงบ ยินดีในการที่จะไม่คลุกคลี 4)มีปัญญา เฉลียวฉลาดเห็นความเกิดขึ้นและดับไปอย่างแยบคายในการปฏิบัติ 5)แคล่วคล่องในการเข้า-ออกฌานทั้ง46)สามารถใช้ปัญญาและสมาธิที่มีนั้นในการที่จะบรรลุธรรมกลุ่มที่2 เป็นผู้มีสัมมาวาจา ดังนี้1)มีกัลยาณวาจาคือวาจางาม รู้จักพูด รู้จักเจรจาให้เป็นผลดี 2)สามารถกล่าวธรรมะให้ผู้มาหาเห็นแจ่มชัด ยอมรับไปปฏิบัติ เร้าใจให้แกล้วกล้า และเบิกบานใจกลุ่มที่3 เป็นผู้ทำการงานดี ดังนี้1)รู้จักปฏิสังขรณ์เสนาสนะสิ่งของที่ชำรุดหักพัง ตามเหตุตามปัจจัยกลุ่มที่4 เป็นผู้จักปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลรอบข้าง ดังนี้1)ชักนำคฤหัสถ์ให้ถือปฏิบัติในอธิศีล 2)ยังคฤหัสถ์ให้ตั้งอยู่ในธรรมทัศนะ คือรู้เห็นเข้าใจธรรม3)ไปเยี่ยมให้สติคนเจ็บไข้4)เมื่อมีสงฆ์หมู่ใหญ่มาจากต่างถิ่น ขวนขวายบอกชาวบ้านผู้ปวารณาไว้ให้มาทำบุญ5)เมื่อรับทานใดๆมาแล้ว จะเลวหรือดี ก็ใช้ด้วยตนเอง ไม่ยังศรัทธาให้ตกไปกลุ่มที่5 เป็นผู้รู้จักยกย่องหรือติเตียน ดังนี้1)พิจารณาใคร่ครวญโดยรอบคอบแล้ว จึงกล่าวตำหนิติเตียนบุคคลที่ควรตำหนิติเตียน2)พิจารณาใคร่ครวญโดยรอบคอบแล้ว จึงกล่าวยกย่องสรรเสริญบุคคลที่ควรยกย่องสรรเสริญ3)พิจารณาใคร่ครวญโดยรอบคอบแล้ว จึงแสดงความไม่เลื่อมใส ในฐานะอันไม่ควรเลื่อมใส4)พิจารณาใคร่ครวญโดยรอบคอบแล้ว จึงแสดงความเลื่อมใส ในฐานะอันควรเลื่อมใสกลุ่มที่6 เป็นผู้ไม่มีความตระหนี่ ดังนี้1)ไม่ตระหนี่หวงแหนที่อยู่อาศัย 2)ไม่ตระหนี่หวงแหนตระกูลอุปฐาก 3)ไม่ตระหนี่หวงแหนลาภ4)ไม่ตระหนี่วรรณะคือหวงคุณความดีไม่อยากให้เขาได้ดี5)ไม่ตระหนี่ธรรมะคือหวงวิชาความรู้ไม่ยอมสอนใคร Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

09-02
53:25

สาราณียธรรม [6835-3d]

บทสวด สาราณียะธัมมะสูตตัง  เป็นบทที่กล่าวถึงธรรมอันเป็นไปเพื่อความระลึกถึงกันและกัน คือธรรมแห่งการสร้างความสามัคคี เป็นบทสวดที่มาจากพระสูตรที่พระภิกษุจะมักสวดกันในวันเข้าพรรษา บทสวดนี้พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับภิกษุไว้ที่เมืองสาวัตถี ณ วัดเชตวัน โดยกล่าวถึงธรรม 6 ประการ ที่เมื่อนำไปปฏิบัติแล้วจะเป็นธรรมเครื่องก่อให้เกิดอานิสงส์ 7 ประการ คือ1.สาราณียา (ระลึกถึงกัน)2.ปิยะกะระณา (เป็นเครื่องกระทำให้เป็นที่รักกัน) 3.คะรุกะระณา (เป็นที่เคารพซึ่งกันและกัน)4.สังคะหายะ (เป็นไปเพื่อ ความสงเคราะห์ เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล) 5.อะวิวาทายะ (ไม่วิวาทกัน) 6.สามัคคิยา (เกิดความพร้อมเพรียงกัน) 7.เอกีภาวายะ(ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน)โดยองค์ประกอบของสาราณียธรรม 6 ประการที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงคือ1.เมตตาทางกายทั้งต่อหน้าและลับหลัง2.เมตตาทางวาจาทั้งต่อหน้าและลับหลัง3.เมตตาทางใจทั้งต่อหน้าและลับหลัง4.การแบ่งปันลาภที่ได้มาโดยธรรม5.มีศีลเสมอกัน ศีลไม่ทะลุไม่ด่างพร้อย6.มีทิฏฐิอันประเสริฐ คือรู้เจาะจงในอริยสัจ 4 Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

08-26
57:28

ธรรมที่สงฆ์ควรพิจารณาเนือง ๆ [6834-3d]

พระพุทธเจ้าได้ทรงให้เกณฑ์ในการปฏิบัติให้การประพฤติพรหมจรรย์นั้นบริสุทธิ์บริบูรณ์อย่างสิ้นเชิง ไว้เป็นขั้นเป็นลำดับอย่างชัดเจน ในที่นี้จะนำเสนอในหัวข้อของ อภิณหปัจจเวกขณธรรมสูตร คือ ธรรมที่บรรพชิตพึงพิจารณาเนือง ๆ 10 ประการได้แก่1. พิจารณาถึงเพศที่แตกต่างจากคฤหัสถ์2. พิจารณาถึงการดำรงชีวิตและความเป็นอยู่ด้วยผู้อื่น3. พิจารณาถึงอากัปกิริยาทางกายทางวาจา4. พิจารณาถึงการติเตียนตนเองด้วยเรื่องของศีล 5. พิจารณาถึงการติเตียนเรื่องของศีล ด้วยผู้อื่น6. พิจารณาถึงการพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น 7. พิจารณาเรื่องของ กรรม8. พิจารณาถึงเวลาที่ล่วงไป9. พิจารณาถึงการยินดีด้วยเสนาสนะอันสงัด10. พิจารณาถึงคุณวิเศษการพิจารณาธรรมเหล่านี้เนืองๆอย่างเป็นประจำจะช่วยให้เกิดความเข้าใจในสัจธรรมของชีวิต นำไปสู่การปล่อยวาง การดำเนินชีวิตอย่างมีสติ และจะทำให้เป็นหนทางเข้าสู่ความเป็นอริยบุคคลได้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

08-19
55:28

“ขันติ” ความอดทนคือทุกสิ่ง [6833-3d]

ปฏิปทาอันยิ่งยวดอย่างหนึ่งใน “ทศบารมี” นั้นก็คือ “ขันติ” คือ ความอดทนอดกลั้น เป็นตบะแผดเผากิเลสอย่างยิ่ง เพราะไม่ว่าจะถูกกระทบกระทั่งด้วยสิ่งอันเป็นที่พึงปรารถนา หรือไม่พึงปรารถนาก็ตาม จะสามารถรักษาความเป็นปกติเอาไว้ได้ ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8 ย่อมทำคุณธรรม “ขันติ” ให้ปรากฏขึ้นเป็นของแจ่มแจ้งแก่ตนเองได้ด้วย “ปัญญา” และถ้าพิจารณากันให้ดี ๆ จะเห็นว่า คุณธรรมที่ทำให้มีความอดทนนั้น มีอยู่มากมาย จึงอาจกล่าวได้ว่า “ขันติ” ความอดทนคือทุกสิ่งความอดทนแบ่งตามเหตุที่มากระทบ ได้แก่ อดทนต่อความลำบากตรากตรำ อดทนต่อทุกขเวทนาทางกายและทางใจ อดทนต่อกิเลส เปรียบความอดทนไว้กับทางไปสู่นิพพาน ถ้าคุณเจอสิ่งกระทบในระหว่างทาง คุณยังจะอดทนรักษามรรคไว้ได้อยู่ไหม? หรือจะเลือกเดินออกนอกมรรคไปไม่ถึงนิพพานขันติแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ1. อธิวาสนขันติ คือ ยังมีอารมณ์โกรธอยู่ แต่อดกลั้นไว้ได้ ไม่แสดงสิ่งที่เป็นอกุศลทางกาย วาจา ใจ ออกไป2. ตีติกขาขันติ คือ ปฏิบัติได้เป็นปกติใน ศีล สมาธิ และปัญญา เพราะผ่านการฝึกฝน ทำซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ อยู่บ่อย ๆ ในขั้น “อธิวาสนขันติ”คุณธรรมความอดทน ตัวอย่างในเรื่องของท่านพระปุณณะ พระสารีบุตร และท้าวสักกะ เป็นคุณธรรมที่แสดงให้เห็นการบ่มอินทรีย์ พละ ศีล สมาธิ ปัญญา พรหมวิหารอานิสงส์ของความอดทน คือ ย่อมเป็นที่รักของคนเป็นอันมาก เป็นผู้ไม่มากด้วยเวรไม่มากด้วยโทษ เป็นผู้ไม่หลงกระทำกาละ ตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

08-12
56:22

นักรบในธัมม์ [6832-3d]

พระพุทธเจ้าได้ทรงบอกสอนธรรมะไว้อย่างมากมาย การนำคำสอนไปปฏิบัติกับการศึกษาคำสอนนั้น เป็นคนละอย่างกัน พระพุทธเจ้าได้ทรงบอกสอนไว้อย่างรัดกุมหลายนัยยะ โดยการเปรียบเทียบอุปมาอุปไมยไว้หลายข้อธรรมดังนี้1) อุปมาอุปไมยเรื่องทะเล พระพุทธเจ้าได้ทรงเปรียบเทียบไว้ถึง 8 ประการ ในที่นี้จะกล่าวถึงประการที่ว่า มหาสมุทรไม่อยู่รวมกับซากศพ เพราะคลื่นจะซัดเอาซากศพเข้าฝั่งเสมอ เปรียบเทียบกับการผู้ที่ทุศีล ปรารถนาลามก สุดท้ายจะถูกเปิดเผยทำให้อยู่ร่วมกับผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไม่ได้2) อุปมาอุปไมยภิกษุกับนักรบอาชีพ 5 จำพวกคือ: นักรบที่หวั่นไหวเพียงเห็น ฝุ่นฟุ้งก็ถอยเปรียบกับ ผู้เริ่มปฏิบัติที่ใจยังอ่อน เจอเรื่องเล็กน้อย เช่น ง่วง เบื่อ หิว ก็ท้อนักรบที่ทนฝุ่นได้ แต่แพ้เมื่อเห็นยอดธงข้าศึกก็กลัวเปรียบกับ ผู้ฝึกปฏิบัติระดับหนึ่ง แต่ยังแพ้ต่ออารมณ์ เช่นโกรธ หลงนักรบที่ทนฝุ่น ทนธงได้ แต่หวั่นเมื่อได้ยินเสียงข้าศึก มีผัสสะกระทบแรง ๆ เช่น คำด่า ลาภ เสียงนินทาเปรียบกับ ผู้ที่ยังหวั่นไหวต่อกระแสโลก ไม่สามารถวางเฉยได้จริงนักรบที่ทนทุกอย่างได้ แต่ยังกลัวการปะทะสุดท้าย เปรียบกับ ผู้ใกล้หลุดพ้น แต่ยังติดดี ติดสงบ หวงอัตตานักรบที่กล้าเผชิญทุกอย่าง ชนะได้ทุกด่านเปรียบกับ พระอรหันต์ ผู้สิ้นสงครามใจ ชนะกิเลส ละนิวรณ์ ข้ามพ้นวิจิกิจฉาเห็นอริยสัจสี่ บรรลุ วิมุตติ (ความหลุดพ้น)เปรียบเทียบภิกษุในธรรมวินัยนี้ต้องต่อสู้กับภัย 4 อย่างของผู้ออกบวชคือ 1) ภัยเพราะปลาร้ายคือผู้หญิง 2) ภัยเพราะจระเข้ คือเรื่องปากท้อง 3) ภัยเพราะคลื่น คือความเกิดความคับแค้น 4) ภัยเพราะน้ำวนคือข้องอยู่กับเรื่องกาม เช่น การที่ต้องดูแลครอบครัวสมบัติ หากหลีกพ้นจากภัยเหล่านี้ได้ก็จะยังเป็นภิกษุที่ยังครองตนอยู่ในธรรมวินัยของพุทธศาสนานี้ได้3) อุปมาอุปไมย เรื่องหนูหนูที่ขุดรูแต่ไม่อยู่ เปรียบเหมือนผู้ที่ศึกษาธรรมะ แต่ไม่ได้นำไปปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันหนูที่อยู่แต่ไม่ขุดรู เปรียบเหมือนผู้ที่ปฏิบัติตามธรรมะ แต่ไม่ได้ศึกษาธรรมะให้เข้าใจอย่างถ่องแท้หนูที่ไม่ขุดรูและไม่อยู่ เปรียบเหมือนผู้ที่ไม่ศึกษาธรรมะและไม่ได้ปฏิบัติตามธรรมะหนูที่ทั้งขุดรูและอยู่ เปรียบเหมือนผู้ที่ศึกษาธรรมะและนำไปปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันยังมีอุปมาที่คล้ายกับเรื่องหนูคือ พระพุทธเจ้าทรงเปรียบภิกษุทั้งหลายเหมือนเมฆ 4 ชนิด4) อุปมาอุปไมย เรื่องหม้อและห้วงน้ำหม้อเปล่าปิดฝา เปรียบเหมือนภิกษุที่ภายนอกดูเหมือนสงบสำรวม แต่ภายในใจยังเต็มไปด้วยกิเลสและความมืดบอดหม้อเต็มเปิดฝา เปรียบเหมือนภิกษุที่ภายนอกดูไม่น่าเลื่อมใส แต่ภายในใจเต็มไปด้วยธรรมะและความรู้หม้อเต็มปิดฝา เปรียบเหมือนภิกษุที่ภายนอกและภายในเต็มไปด้วยธรรมะและความรู้หม้อเปล่าเปิดฝา เปรียบเหมือนภิกษุที่ภายนอกและภายในว่างเปล่าจากธรรมะและความรู้ และยังมีอุปมาที่เปรียบเทียบกับห้วงน้ำที่คล้าย ๆ กันด้วย Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

08-05
58:08

วิธีพิจารณาหลักธรรมคำสอนเพื่อสุขในปัจจุบัน [6831-3d]

พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมไว้อย่างมากมายแสดงไว้อย่างดี รัดกุม รอบคอบ ไม่หละหลวม ในที่นี้จะนำธรรมมะที่กล่าวถึงวิธีคิดวิธีไตร่ตรองพิจารณาในแนวทางคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อนำทางแห่งความสุขในปัจจุบัน โดยจะนำธรรมะหลายหัวข้อมากล่าวดังนี้ประการแรก เป็นธรรมง่ายๆย่อๆที่พระพุทธเจ้าบอกแก่นางโคตรมี กล่าวไว้ใน “โคตรมีสูตร” เป็นข้อธรรมที่นางโคตรมีจะนำไปปฏิบัติเมื่ออยู่คนเดียว หลักเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าให้ไว้คือ 1.ธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด 2.ธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อละเครื่องร้อยรัดความยึดถือ 3.ธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อความไม่สั่งสมกิเลส 4.ธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อความมักน้อย 5.ธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อความสันโดษ 6.ธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อความสงัด 7.ธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อความเพียร 8.ธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย ลักษณะคำสอนของพระพุทธเจ้าต้องมีทั้ง 8 ประการนี้เป็นเกณฑ์ แต่ต้องไม่ยึดถือในหลักเกณฑ์ พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่ชาวกาลามโคตร ใน “เกสปุตตสูตร” ไว้ว่าอย่าได้ยึดถือโดยได้ยินได้ฟังมา, โดยอ้างตำรา, โดยคาดคะเน, โดยความตรึกตามอาการ แต่หลักการที่ถูกต้องให้ดูว่า กุศลเพิ่ม อกุศลลด หรือไม่ประการที่สอง กล่าวถึงการพิจารณาถึงพิธีกรรมต่าง ๆ ที่ควร-ไม่ทำ โดยจะนำ “เตวิชชสูตร” มากล่าวโดยกล่าวถึงข้อปฏิบัติของพราหมณ์ที่จะให้ได้ไปอยู่กับพรหม ให้พิจารณาว่าพิธีกรรมที่ทำนั้นเป็นไปอย่างไร เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวร้อยรัดหรือไม่ จองเวรหรือไม่ เบียดเบียนผู้อื่นหรือไม่ เศร้าหมองหรือไม่ ฟุ้งซ่านหรือไม่ หากพิธีกรรมต่างๆเป็นไปเพื่อสิ่งเหล่านี้ก็ต้องเว้นการปฏิบัติเสียประการที่สาม ข้อปฏิบัติอันใดที่เราควร-ไม่ควรกระทำ สูตรที่จะนำมากล่าวคือ “อนุมานสูตร” กล่าวถึงอุปกิเลส 16 ประการ ที่มาประกอบในการพิจารณาที่จะกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ พิจารณาถึงคนอื่น ว่าหากเราทำสิ่งไม่ดีกับบุคคลอื่น เขาคงจะไม่ชอบ แล้วมองกลับกันว่าหากเขาทำสิ่งนี้กับเรา เราก็คงจะไม่พอใจ ดังนั้นเราก็ต้องพิจารณาว่าเราไม่ควรทำอย่างนั้นกับคนอื่น พิจารณาที่ตัวเองว่าเรามีอกุศลธรรมเกิดขึ้นในใจตนหรือไม่ หากมีแล้วจะทำสิ่งที่เป็นอกุศลนั้นกับคนอื่น ก็จงรีบละมันเสียประการที่สี่ วัฒนธรรมต่าง ๆ ที่ควร-ไม่ควรทำ นำหลักธรรมจาก สาเลยกสูตร มาพิจารณาเป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้าได้กล่าวกับชาวบ้านสาเลยกะ เกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติทาง กาย วาจา ใจ จะทำให้เข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาตนรกหรือสุคติโลกสวรรค์ เกณฑ์ที่ท่านได้นำมาพิจารณาคือใช้เกณฑ์ความดีของวิญญูชน คนดีทั่ว ๆ ไปที่เขาเป็นกัน โดยนำเรื่องศีล ทิฐิความเห็นต่างมาพิจารณา ว่าสิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

07-29
58:30

รุ่งอรุณแห่งอริยมรรคมีองค์แปด [6830-3d]

เมื่อดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้นจะมีแสงสีเงิน แสงสีทอง มาให้เห็นก่อน เรียกว่ารุ่งอรุณ อุปไมยองค์ประกอบ 8 อย่างอันประเสริฐ (มรรค 8) จะเกิดขึ้นในจิตใจของผู้ใด สิ่งที่มาก่อนเป็นนิมิตให้เห็นในผู้นั้น คือ1. เป็นผู้มีกัลยาณมิตร (กัลลยาณมิตตตา) นัยยะที่หนี่งคือเพื่อนผู้ที่จะนำความดีมาให้เป็นผู้ที่มีศีล มีศรัทธา มีจาคะและมีปัญญา นัยยะที่สองกัลยาณมิตรอาจจะเป็นครูอาจารย์ พระสงฆ์หรือผู้มีคุณงามความดีเป็นแบบอย่างที่ดี นัยยะที่สามเราอาจจะเอามรรคแปดเป็นกัลยาณมิตรก็ได้ยิ่งจะส่งเสริมให้เราอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องไม่ออกนอกเส้นทาง ในที่นี้จะกล่าวถึงคุณสมบัติของกัลยาณมิตร 7 ประการได้แก่เป็นผู้มีความน่ารักใคร่พอใจ (ปิโย) คือเป็นลักษณะมีความเมตตาเป็นที่น่าเคารพ (ครุ) คือเป็นผู้ที่มีความหนักแน่น มีหลักเกณฑ์หลักการ คุ้มครองให้ในทิศทั้งปวงเป็นผู้น่ายกย่อง (ภาวนีโย) คือ เป็นผู้รู้จักจุดอ่อนของตนเองมีการพัฒนาตนเองอยู่เสมอควรเอาเป็นแบบอย่างเป็นผู้ฉลาดพูด (วตฺตา) คือรู้จังหวะรู้เวลาที่จะพูดที่จะสอนได้ และเป็นผู้ให้คำปรึกษาที่ดีได้เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำ (วจนกฺขโม) คืออดทนที่จะพูดซ้ำๆในเรื่องเดิมๆได้โดยไม่เบื่อหน่ายเป็นผู้สามารถแจกแจงคำสอนได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง (คมฺภีรญฺจ กถํ กตฺตา)เป็นผู้ไม่ชักนำไปในเรื่องที่เสื่อมเสีย (จฎฺฐาเน นิโยชเย)2. เป็นผู้มีความถึงพร้อมด้วยศีล (สีลสัมปทา) คือเป็นผู้มีศีลสมบูรณ์ ทำให้ศีลที่มีดีขึ้นเรื่อยๆ ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ3. เป็นผู้มีความถึงพร้อมด้วยฉันทะ (ฉันทสัมปทา) คือเป็นผู้มีความพอใจมีแรงจูงใจที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีเป้าหมายที่ชัดเจนทำให้สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้4. เป็นผู้มีความถึงพร้อมด้วยตน (อัตตสัมปทา) คือจิตของเราต้องมีการพัฒนาให้มีการถึงพร้อม5. เป็นผู้มีความถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ (ทิฏฐิสัมปทา) คือมีทัศนคติมีความเชื่อที่ถึงพร้อม6. เป็นผู้มีความถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท (อัปปมาทสัมปทา) คือเป็นผู้ไม่ขาดสติ มีสติกำกับจิตใจในการดำเนินชีวิต7. เป็นผู้ที่รู้จักทำในใจอย่างแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) คือ ความเป็นผู้ฉลาดในการคิด คิดอย่างถูกวิธีถูกระบบ พิจารณา ไตร่ตรองสาวไปจนถึงสาเหตุหรือต้นตอของเรื่องที่กำลังคิด ในที่นี้จะเจาะจงลงในคำสอนของพระพุทธเจ้าธรรมทั้ง 7 ประการนี้แม้มีอันใดอันหนึ่ง เกิดขึ้นกับใคร ผู้ใดผู้หนึ่งให้มั่นใจได้เลยว่าเราจะไม่เดินออกนอกทางแห่งอริยมรรคมีองค์แปดแน่นอน เมื่อเดินตามทางแห่งมรรคแปดนี้อย่างต่อเนื่องไม่หยุดจะทำให้เราถึงที่หมายคือนิพพานได้ในเวลาไม่นาน Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

07-22
55:41

ศรัทธาด้วยปัญญา-อาการวตีสัทธา [6829-3d]

ศรัทธาที่มีอาการประกอบไปด้วยเหตุผล จะทำให้เกิดการทำจริงแน่วแน่จริงในกุศลธรรมทั้งหลาย คิดใคร่ครวญเห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญา เป็นศรัทธาที่ประด้วยอาการของปัญญา “อาการวตีสัทธา”ลักษณะของศรัทธาที่ประกอบไปด้วยอาการ “อาการวตีสัทธา”1. มี 2 มิติ คือ    (1.1) ระดับสมมุติของโลก – ความจริง/ข้อเท็จจริง (fact / fake) สมมุติว่าจริง สมมุติว่าเท็จ    (1.2) ระดับเหนือสมมุติของโลก – สัจจะความจริงอันประเสริฐ (อริยสัจ 4)*ทั้ง 2 มิตินี้ ต้องปรับให้ตรงกัน อย่าให้มีกิเลส อย่าให้เป็นมิจฉา ให้มีสัมมาทิฐิ / สัมมาสังกัปปะ / สัมมาวาจา2. ศรัทธานั้นต้องให้เกิดการลงมือปฏิบัติ ทำจริงแน่วแน่จริง3. ศรัทธาที่มีอาการต้องประกอบไปด้วยปัญญาจากการคิดใคร่ครวญโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) ในกาลมสูตร 10 และตามหลักของ “อปัณณกธรรม” ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดจากความเป็นอริยะ คือ ให้ ละ วิบัติ 3 ประการ และให้ถึงพร้อมด้วยสัมปทา 3 ประการ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

07-15
55:39

ตัณหาเพื่อนสอง [6828-3d]

ในโลกปัจจุบันนี้มีเรื่องขัดแย้งวุ่นวายเกิดขึ้นหลายเรื่องราว สาเหตุของเรื่องราวขัดแย้งมักเริ่มจากจุดเล็กๆคือการทะเลาะกันเหตุเพราะมีเรื่องราวที่เกิดจากการหวงกั้น การมีเรื่องราวที่เกิดจากการหวงกั้นขึ้นนั้นมีเหตุเริ่มมาจาก “ตัณหา”  คือ เมื่อมีตัณหาจะทำให้เกิดการแสวงหา ทำให้มีการได้ เมื่อได้มาทำให้มีการปลงใจรัก แล้วก่อให้เกิดความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ ทำให้มีความสยบมัวเมาอย่างจับอกจับใจ จึงทำให้มีความตระหนี่ จึงทำให้มีการหวงกั้น แล้วจึงทำให้มีเรื่องราวจากการหวงกั้นนั้น ความขัดแย้งวุ่นวายต่าง ๆ ดังพุทธพจน์กล่าวไว้ดังนี้เพราะมีเวทนา จึงมีตัณหา เพราะมีตัณหา จึงมีการแสวงหา (ปริเยสนา) เพราะมีการแสวงหาจึงมีการได้ (ลาโภ)เพราะมีการได้ จึงมีความปลงใจรัก (วินิจฺฉโย) เพราะมีความปลงใจรัก จึงมีความกำหนัดด้วยความพอใจ (ฉนฺทราโค)เพราะมีความกำหนัดด้วยความพอใจ จึงมีความสยบมัวเมา (อชฺโฌสานํ) เพราะมีความสยบมัวเมา จึงมีความจับอกจับใจ (ปริคฺคโห) เพราะมีความจับอกจับใจ จึงมีความตระหนี่ (มจฺฉริยํ) เพราะมีความตระหนี่ จึงมีการหวงกั้น (อารกฺโข)เพราะมีการหวงกั้น จึงมีเรื่องราวอันเกิดจากการหวงกั้น (อารกฺขาธิกรณํ) กล่าวคือ การใช้อาวุธไม่มีคม การใช้อาวุธมีคม การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การกล่าวคำหยาบว่า “มึง ! มึง !” การพูดคำส่อเสียด และการพูดเท็จทั้งหลาย ธรรมอันเป็นบาปอกุศลเป็นอเนก ย่อมเกิดขึ้นพร้อมด้วยอาการอย่างนี้นี่คือทางสายที่ไม่ดีคือทางที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในคือทางแห่งมิจฉามรรค แต่ในเส้นทางนี้ยังมีทางออกไปสู่ทางที่ดีได้ เช่น ช่องของความพอใจ คือเมื่อเกิดฉันทะ ก็อย่าให้มีราคะ คือต้องฉลาดในการวินิจฉัยให้ถูกว่าความสุขเกิดขึ้นเป็นความสุขแบบใด ความสุขมี 2 แบบ คือ 1) ความสุขที่ไม่ควรเสพคือความสุขที่เกิดกาม ความสุขที่เกิดจากทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เพราะมีโทษมากมีคุณน้อย 2) ความสุขที่ควรเสพ คือความสุขที่เกิดจากภายใน เป็นความสุขที่เกิดจากฌานสมาธิทั้ง 4 เป็นความสงบให้เกิดความรู้ยิ่งรู้พร้อม หรือทางออกจากช่องทางการแสวงหาคือการแสวงหาที่ประเสริฐและการแสวงหาที่ไม่ประเสริฐ ผู้ที่แสวงหาหนทางที่ประเสริฐคือทางแห่งมรรค 8 ก็จะเป็นผู้ค้นพบหนทางแห่งการพ้นทุกข์ได้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

07-08
56:58

ข้อสอบของอริยบุคคล [6827-3d]

บุคคลผู้ดำเนินตามทางแห่งมรรค 8 จนสามารถมองเห็นฝั่งแห่งนิพพานอยู่เบื้องหน้า มีจุดหมายแห่งการบรรลุอย่างแน่แท้ เรียกว่า อริยบุคคล ผู้บรรลุธรรมวิเศษ แบ่งตามประเภทบุคคลมี 4 ประเภท คือ1.พระโสดาบัน คือ ผู้เข้าถึงกระแสธรรม การที่จะเข้าถึงคุณสมบัติของพระโสดาบันจะต้องสอบให้ผ่านบททดสอบแห่งความงมงาย ความเชื่อผิดๆ ความเข้าใจไม่ถูกต้อง คือต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติของโสตาปัตติยังคะ 4 คือ 1) มีศรัทธา หยั่งลงมั่นไม่หวั่นไหว ในพระพุทธเจ้า 2)ศรัทธา อันหยั่งลงมั่นไม่หวั่นไหว ในพระธรรม 3) ศรัทธา หยั่งลงมั่นไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ 4) เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยศีล ที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติของโสตาปัตติยังคะ 4 จะทำให้ละ สังโยชน์ เบื้องต่ำ 3 ประการได้คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เมื่อละสังโยชน์ เบื้องต่ำ 3 ประการนี้ได้จะส่งผลให้เป็นผู้พ้นจากอบาย4 พ้นจากนรก พ้นจากกำเนิดเดรัจฉานและเปรตวิสัย และจะพ้นจากการมาเกิดอีกในชาติที่82.พระสกิทาคามี แปลว่า ผู้กลับมาเพียงครั้งเดียว ผู้ได้บรรลุสกิทาคามิผลต้องผ่านข้อสอบเดียวกับโสดาบันคือเป็นผู้ที่ละสังโยชน์เบื้องต่ำ 3 ประการแรกได้ อีกทั้งต้องทำสังโยชน์เบื้องต่ำอีกสองประการที่เหลือให้เบาบางลงด้วย คือ กามราคะ ปฏิฆะ(พยาบาท) พระสกิทาคามีจะเกิดในกามาวจรภพอีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้นก็จะถึงพระนิพพาน3.พระอนาคามี แปลว่า ผู้ไม่มาเกิดอีก หมายความว่าจะไม่กลับมาเกิดในกามาวจรภพอีก เป็นผู้ละสังโยชน์เบื้องต่ำ (โอรัมภาคิยสังโยชน์) ทั้ง 5 ประการได้แล้ว ข้อสอบที่พระอนาคามีต้องสอบให้ผ่านเพิ่มเติมคือ การละกามราคะ ละปฏิฆะ(พยาบาท) ให้ได้ ธรรมที่จะนำมาใช้คือการเจริญพรหมวิหาร 4 เมื่อเจริญพรหมวิหาร4อยู่เนืองๆจะทำให้ละกามราคะและละปฏิฆะลงได้ เมื่อสอบผ่านข้อสอบนี้ ผลก็คือจะทำให้พ้นจากโลกแห่งทางกาม คือไปเกิดในพรหมโลกอีกเพียงครั้งเดียว แล้วจะนิพพานจากพรหมโลกนั้น4.และพระอรหันต์ คือ ผู้สำเร็จธรรมวิเศษสูงสุดในพระพุทธศาสนา พระอริยบุคคลชั้นสูงสุด สามารถละสังโยชน์เบื้องต่ำ (โอรัมภาคิยสังโยชน์) ทั้ง 5 ประการได้แล้ว ยังละสังโยชน์เบื้องสูง (อุทธัมภาคิยสังโยชน์) อีก 5 ประการ คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ได้อีกด้วย  Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

07-01
59:07

สาธุนรธรรม (ธรรมะของคนดี) [6826-3d]

การจะปรับเปลี่ยนคนไม่ดีให้เป็นคนดีได้ ต้องใช้ความดีเท่านั้น พระโพธิสัตว์ได้กล่าวคาถาที่เป็นธรรมะของคนดี(สาธุนรธรรม) ไว้ 4 ข้อคือ1.จงเดินตามทางที่ท่านเดินไปแล้ว หมายถึง การรู้จักคุณของผู้มีพระคุณ (กตัญญู) ถ้าเราทำคุณกับผู้ไม่มีคุณธรรม อาจจะได้ผลน้อย ไม่ได้ผล หรือได้ผลร้าย2.จงอย่าเผาฝ่ามืออันชุ่มหมายความว่า ไม่ประทุษร้าย ท่านผู้มีคุณ สมัยก่อนเขาจะล้างมือแล้วหยิบของให้ มือจึงชุ่มอยู่เสมอ คือ ให้ของคนอื่นบ่อย3.อย่าประทุษร้ายในหมู่มิตร มีมิตรดีแล้ว ตั้งใจคบหาด้วยความเคารพ เอื้อเฟื้อ ด้วยความรู้ว่า ผู้มีมิตรธรรม ไม่ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อย ไม่เป็นผู้ด้อย4.ไม่ตกอยู่อำนาจของอิสตรี คำว่าอิสตรีในที่นี้หมายถึง หญิงที่ดูหมิ่นชาย คือ เมื่อเป็นสามีที่ทำหน้าที่อย่างถูกต้องตามหลักทิศทั้งหกแล้วภรรยายังดูหมิ่นไม่ให้เกียรติและไม่ทำหน้าที่ของตน ชายก็ไม่ควรตกอยู่ในอำนาจของสตรีแบบนี้  Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

06-24
57:15

คุณสมบัติของผู้เป็นโจทก์ [6825-3d]

การโจทก์ในทางพุทธศาสนา คือ การตั้งหัวข้อที่จะเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงให้อยู่ด้วยกันได้ การอยู่ร่วมกันนั้นต้องอยู่อย่างมีศีลและทิฏฐิที่เสมอกัน ในการปรับให้อยู่ด้วยกันนั้นต้องเป็นไปตามทางของมรรค โดยผู้โจทก์และผู้ถูกโจทก์ต้องมีคุณธรรมดังนี้การเป็นผู้โจทก์ต้องมีคุณธรรม 5 อย่าง คือ1.ต้องกล่าวในเวลาอันควรอย่ากล่าวในเวลาอันไม่ควร2.ต้องกล่าวด้วยถ้อยคำอันเป็นจริงไม่กล่าวด้วยถ้อยคำอันไม่จริง3.ต้องกล่าวด้วยถ้อยคำอ่อนหวานไม่กล่าวด้วยถ้อยคำหยาบคาย4.กล่าวด้วยถ้อยคำอันประกอบด้วยประโยชน์ไม่กล่าวด้วยถ้อยคำอันไม่ประกอบด้วยประโยชน์5.ผู้กล่าวต้องกล่าวด้วยมีจิตเมตตากล่าวไม่กล่าวอย่าเพ่งโทษกล่าวส่วนผู้ถูกโจทก์ต้องมีคุณธรรม 2 อย่าง คือ1.ความจริง คือ เอาข้อเท็จจริงมาเป็นหลัก 2.ความไม่โกรธการนำคุณธรรมทั้ง 7 ข้อนี้มาใช้คือใช้ในเวลาที่เหมาะสม คุยด้วยเรื่องจริง ด้วยคำอ่อนหวาน ด้วยเรื่องที่ประกอบด้วยประโยชน์ และด้วยเมตตาจิต หากคิดเห็นไม่ตรงกัน ก็เอาข้อเท็จจริงมาคุยกัน และหากมีการกระทบกันก็ไม่โกรธกัน ก็จะทำให้อยู่ร่วมกันได้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

06-17
57:02

คุณสมบัติของอุบาสกอุบาสิกา [6824-3d]

อุบาสกหรืออุบาสิกา แปลว่า ผู้นั่งใกล้พระรัตนตรัย หมายถึงผู้ใกล้ชิดพระพุทธศาสนา ผู้นับถือศาสนาอย่างมั่นคง อุบาสกหรืออุบาสิกาในธรรมวินัยควรจะมีคุณสมบัติอย่างไรพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสเอาไว้มีอยู่หลายส่วนด้วยกันในตอนนี้จะนำส่วนที่ครูบาอาจารย์ได้รวบรวมไว้ใน อังคุตตรนิกาย ซึ่งอยู่ในธรรมหมวด 7 คือ หานิสูตร โดยพูดถึงความที่จะไม่เสื่อม ความที่จะก้าวหน้า ความที่จะเจริญงอกงามของอุบาสกอุบาสิกา โดยกล่าวเปรียบเทียบไว้เป็นคู่ดังนี้1. การเยี่ยมเยือนภิกษุ หรือขาดเยี่ยมเยือนภิกษุ 2. ละเลยการฟังธรรม หรือไม่ละเลยการฟังธรรม 3. การศึกษาอธิศีล หรือไม่ศึกษาอธิศีล 4. การปลูกความเลื่อมใสศรัทธา 5. การไม่ตั้งจิตติเตียนเพ่งโทษฟังธรรม 6. การไม่แสวงหาเขตบุญนอกพระพุทธศาสนา 7. การทำสักการะก่อนในเขตบุญของพระพุทธศาสนา หากเราปฏิบัติตามหลักธรรมทั้ง 7 อย่างนี้อย่างถูกต้องต่อเนื่องก็จะทำให้เป็นอุบาสกหรืออุบาสิกาแก้วนั่นเอง โดยคุณสมบัติของ อุบาสกอุบาสิกาแก้ว มี 5 ประการ คือ1. มีศรัทธา คือมีความเชื่อ มีความมั่นใจในพระรัตนตรัย ความเชื่อของเรานี้ต้องเป็นความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญา ไม่ใช่ศรัทธางมงาย 2. มีศีล อย่างน้อยตั้งตนอยู่ในศีล5 ซึ่งจะทำให้มีชีวิตที่ดีงาม เป็นฐานสำหรับตนเองที่จะก้าวไปสู่การปฏิบัติเบื้องสูง พร้อมกันนั้น ก็เป็นเครื่องช่วยเหลือเกื้อกูลสังคม เพราะว่าผู้ถือศีล5 เป็นผู้ไม่เบียดเบียนคนอื่น แต่ดำรงชีวิตที่สุจริต ใครตั้งอยู่ในศีล 5 ก็ทำให้ที่นั้นมีความปลอดภัย3.ไม่ถือมงคลตื่นข่าว คือไม่มัวหวังผลจากความเชื่อถือนอกหลักพระพุทธศาสนา ที่เป็นความงมงาย ได้แต่หวังผลจากการดลบันดาลต่างๆ แต่ให้เชื่อกรรม คือเชื่อการกระทำที่เป็นไปตามเหตุผล ให้หวังผลจากการกระทำด้วยความเพียรพยายามของตน คุณสมบัติข้อนี้จะต้องให้เป็นหลักสำคัญอย่างหนึ่งของสังคมไทยของเรา4.ไม่แสวงหาเขตบุญนอกพระพุทธศาสนา คือ เมื่อถือมงคลตื่นข่าว ไปเชื่อเรื่องไม่เข้าเรื่อง แล้วเขตบุญก็ย้ายออกจากพระพุทธศาสนาไปหาเขตบุญภายนอก ก็ยิ่งไปส่งเสริมให้ความเชื่อผิดปฏิบัติผิดแพร่หลายยิ่งขึ้น และแหล่งคำสอนที่ถูกต้อง คนก็ไม่เอาใจใส่ คนก็ยิ่งห่างจากหลักพระศาสนาออกไป ไม่รู้และไม่เอาใจใส่ในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า5. สนับสนุนพระพุทธศาสนา หมายความว่าทำการขวนขวาย ทะนุบำรุงอุปถัมภ์พระสงฆ์ และกิจการพระพุทธศาสนา ที่จะทำให้พระธรรมวินัยเจริญมั่นคง ช่วยกันดำเนินกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นกุศลแท้จริง ที่เป็นเรื่องถูกทำนองคลองธรรม ที่จะทำให้ศีลธรรมเจริญงอกงาม Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

06-10
55:15

เรื่องธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา [6823-3d]

การศึกษาปฏิบัติธรรม เปรียบเสมือน ”การจับงูพิษ” ถ้าจับไม่ถูกต้อง ไม่ระมัดระวัง ก็อาจจะเกิดอันตรายกับตนเองและผู้อื่นได้ แทนที่จะละวางความยึดถือลงแต่กลับยึดถือขึ้นมาแทน“ธรรม” ที่ดูเหมือนจะเป็น “เรื่องธรรมดา ที่ไม่ธรรมดานี้” หมายถึง เรื่องพื้นฐานแต่มีความสำคัญ จึงต้องหยิบมาทำการศึกษาเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างละเอียด โดยได้ยกพุทธพจน์ คำอุทาน พระสูตร มาประกอบ พอจะสรุปได้ดังนี้1. สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นทั้งหมดย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา2. สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา พวกเธอทั้งหลายจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด3. ฐานะ 5 ประการ ที่ใครๆ ก็ไม่พึงได้ คือ ขอสิ่งที่มีความแก่- เจ็บ- ตาย- ความสิ้นไป-ฉิบหายไป ว่า อย่าแก่เลย…ฯ4. เราจะมาได้ตามความปรารถนาใน “สิ่งที่มีความแตกดับเป็นธรรมดา” ว่า อย่าเสื่อม อย่าสิ้นไป มันจะไม่ได้5. มาพิจารณาอยู่เนืองๆว่าเรามีความแก่ / ความเจ็บ / ความตาย / ความพลัดพราก / กรรมของตนการมาพิจารณาอยู่เนือง ๆ ให้เห็นตามความเป็นจริงในสังขารทั้งหลาย จะทำให้เราเกิดปัญญา วางความยึดถือด้วยเรื่องพื้นฐาน สูงขึ้นจนถึงระดับโลกุตระได้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

06-03
57:31

ว่าด้วยเรื่องของ "ลม" [6822-3d]

วาโยธาตุ หรือที่เราเรียกว่า “ธาตุลม” เป็น 1 ใน มหาภูตรูป 4ธาตุลมประกอบไปด้วย :-ลมภายนอก คือ ธรรมชาติที่พัดไปมาอยู่นอกกาย เช่น ลมร้อน ลมหนาว ลมมีฝุ่น หรือ ลมไม่มีฝุ่น ลมตะวันออก..ฯลฯลมภายใน คือ ลมอันแล่นไปตามอวัยวะน้อยใหญ่ในร่างกาย เช่น ลมในกระเพาะ ลมในลำไส้ ลมหายใจเข้า-ออกลมภายในแบ่งได้เป็น :-ลมปราณ คือ ลมหายใจเข้า-ออก1. ลมหายใจต่อกาย-ทิ้งกาย หมายถึง ลมทำหน้าที่ในการหล่อเลี้ยงร่างกาย และทำลายร่างกายไปในกระบวนการเดียวกัน (มีการเผาผลาญในกาย)2. ลมหายใจต่อจิต (การมีสติสัมปชัญญะรู้ลมหายใจ) / ทิ้งจิต (ปล่อยสติเผลอเพลิน)ลมปาก คือ ลมที่ผ่านหลอดเสียง ที่ออกจากกายไปสู่ภายนอก เป็นลักษณะของสัญญาเปลี่ยนแปลงไปตามการปรุงแต่ง (สังขาร) และสื่อออกมาทางลมปาก ได้แก่1) ลมเหม็น (คูถภาณี) คือ ผู้มีวาจาภาษาพูดเหมือนคูถหรืออุจจาระ เกิดจากจิตที่เป็นอกุศลที่ปรุ่งแต่งออกมาทางวาจา เป็น “วจีทุจริต” ได้แก่ 1.1 การพูดเท็จ พูดปด พูดไม่จริง พูดบิดเบือน ไม่เกิดประโยชน์1.2 พูดส่อเสียด ยุยงให้แตกกัน บาดหมาง พูดใส่ร้าย-ป้ายสี1.3 พูดคำหยาบ ได้แก่ “คำหยาบคาย” คือ พูดทิ่มแทงให้เจ็บใจ แดกดัน เสียดสี เหน็บแนม / “คำหยาบโลน” คือ พูดภาษาใต้สะดือ ใช้สรรพนามของสัตว์แทนคน1.4 พูดเพ้อเจ้อ ได้แก่ “พูดพล่าม” คือ คำพูดที่โปรยประโยชน์ทิ้ง ไร้สาระ หาประโยชน์ไม่ได้ (พูดเยอะแต่ไม่เกิดประโยชน์) / “พูดเหลวไหล” คือ คำพูดเลอะเทอะ ไม่มีหลักฐานอ้างอิง หาประโยชน์ไม่ได้ เช่น คำพูดมุกตลก2) ลมหอม (ปุปผภาณี) คือ ผู้มีวาจาพูดภาษาดอกไม้ ได้แก่ พูดคำจริง ไม่พูดเท็จ3) ลมหวาน (มธุภาณี) คือ ผู้มีวาจาพูดภาษาน้ำผึ้ง ได้แก่ พูดความจริงไพเราะจับใจ ประกอบไปด้วยพรหมวิหาร เป็นผู้ละเว้นคำหยาบ3.1 พูดจริง ดี มีประโยชน์ รู้กาลที่เหมาะสมแล้วจึงพูด / เว้นคำพูดจริงแต่ไม่มีประโยชน์ ไม่ประกอบด้วยกาล3.2 พูดสมานไมตรี ให้เกิดความสามัคคีกันมากยิ่งขึ้น3.3 พูดไพเราะ เป็นคำพูดที่ “อ่อนหวาน” สุภาพ มีถ้อยคำที่สละสลวย ฟังแล้วลื่นหู / “คำพูดดื่มด่ำดูดดื่ม” มีคติธรรม ฟังแล้วจับใจ3.4 พูดมีประโยชน์ มีหลักฐานอ้างอิง เป็นคำจริง ประกอบด้วยกาลเทศะ*ลักษณะคำพูดที่หอมหวานนั้นคือ เป็นมงคล เป็นวาจาสุภาษิต ฟังแล้วเกิดความรู้สึกซาบซึ้งเบิกบาน เป็นวาจาที่หาโทษมิได้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

05-27
58:44

ธรรมสมาธิ 5 ประการ [6821-3d]

“ธรรมสมาธิ” คือ ธรรมที่ทำให้เกิดความมั่นสนิทในธรรม เป็นธรรมที่ทำให้เกิดความมั่นใจในการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง และกำจัดความสงสัยเสียได้ เมื่อเกิดความมั่นสนิทในธรรมแล้ว ก็จะเกิดจิตตสมาธิ คือความตั้งมั่นของจิตตามมา ธรรมสมาธิมี 5 ประการ คือ1) ปราโมทย์ คือ ความชื่นบานใจ ความร่าเริงสดใส เป็นความชื่นบานใจในธรรม ความร่าเริงสดใสในธรรม เป็นปราโมทย์ที่ไม่อาศัยอามิส2) ปีติ คือ ความอิ่มใจ ความปลื้มใจ เป็นสภาวธรรมที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติธรรม มี 5 ระดับ คือ ขุททกาปีติ ขณิกาปีติ โอกกันติกาปีติ อุพเพงคาปีติ และผรณาปีติ 3) ปัสสัทธิ ความสงบระงับภายใน ความสงบเย็นกายเย็นใจ ความผ่อนคลายรื่นสบาย ไม่มีความเดือดร้อนกระวนกระวายใจมารบกวนให้หงุดหงิดรำคาญใจ 4) โสมนัส ความสุข ความสบาย ความรื่นใจไร้ความข้องขัด ปราศจากความทุกข์ร้อนใด ๆ ที่จะมารบกวนขัดขวางให้ไม่อยากปฏิบัติธรรม มีแต่ความสุขสบายกายและใจ ยินดีในการปฏิบัติธรรม5) สมาธิ ความสงบตั้งมั่นของจิต ไม่มีสิ่งรบกวนเร้าระคาย จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิไม่วอกแวก ไม่มีอารมณ์ภายนอกมารบกวนให้หงุดหงิดรำคาญใจธรรมทั้ง 5 ประการนี้ เป็นกระบวนการที่เป็นส่วนสนับสนุนให้บุคคลเกิดความมั่นใจในการปฏิบัติธรรม มีความแช่มชื่นยินดีในการปฏิบัติธรรมให้เกิดผลสำเร็จ เป็นธรรมหรือคุณสมบัติสำคัญของจิตใจที่ทุกคนควรทำให้เกิดมีอยู่เสมอ ธรรมสมาธิ 5 ประการนี้ จะเกิดขึ้นต้องอาศัยโยนิโสมนสิการ การใคร่ควรโดยแยบคาย ซึ่งมีอยู่หลายแนวทาง ในตอนนี้จะยกเอาแนววิธีการที่ท่านพระอนุรุทธะได้ทำไว้มากล่าว และพระพุทธเจ้าทรงเรียกแนวทางนี้ว่า มหาปุริสวิตก 8 ประการ ได้แก่ธรรมคำสอนนี้สำหรับบุคคลผู้มักน้อย มิใช่ของผู้มักมากธรรมคำสอนนี้สำหรับของบุคคลผู้สันโดษ มิใช่ของผู้ไม่สันโดษธรรมคำสอนนี้สำหรับบุคคลผู้สงัด มิใช่ของผู้ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะธรรมคำสอนนี้สำหรับบุคคลผู้ปรารภความเพียร มิใช่ของผู้เกียจคร้านธรรมคำสอนนี้สำหรับบุคคลผู้มีสติตั้งมั่น มิใช่ของผู้มีสติหลงลืมธรรมคำสอนนี้สำหรับบุคคลผู้มีจิตมั่นคงเป็นสมาธิ มิใช่ของผู้มีจิตไม่มั่นคงธรรมคำสอนนี้สำหรับบุคคลผู้มีปัญญา มิใช่ของผู้มีปัญญาทรามธรรมคำสอนนี้สำหรับบุคคลผู้ยินดีในธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้า มิใช่ของผู้ยินดีในธรรม Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

05-20
53:22

Recommend Channels