Discover
3 ใต้ร่มโพธิบท
3 ใต้ร่มโพธิบท
Author: ปัญญา ภาวนา ฟังธรรมะ ปัญญาภาวนา Panya Bhavana
Subscribed: 93Played: 1,022Subscribe
Share
© 2024 panya.org
Description
เรียนรู้หัวข้อธรรมะ ที่เป็นแผนที่แม่บท เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ด้วยสูตร 15+45 คือนั่งสมาธิ 15 นาที แล้วตามด้วยการอธิบายหัวข้อธรรมะ 45 นาที เพื่อให้ตกผลึกความคิดเป็นสัมมาทิฏฐิ มีปัญญาเดินทางแผนที่คำสอนได้. New Episode ทุกวันพุธ เวลา 05:00, Podcast นี้เป็นส่วนหนึ่งของรายการธรรมะรับอรุณ ออกอากาศทุกวันทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) มีคำถาม/ข้อเสนอแนะ หรือสมัครติดตามฟังทั้ง 7 รายการ ที่ panya.org
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
392 Episodes
Reverse
ความเบาใจ คือ ความสบายใจ ความไม่หนักใจ สิ่งที่ตรงข้ามกับความเบาใจคือความหนักใจ กลุ้มใจ เครียด วุ่นวายใจ เหตุแห่งความหนักใจนั้นมีหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ภาระหน้าที่ โรคภัยไข้เจ็บ และผัสสะต่างๆความเบาใจ 4 ประการที่จะกล่าวถึงในดอนนี้แยกไว้ 3 นัยยะคือนัยยะที่ 1 มาในพระสูตรคิลายนสูตรนำไปใช้ในลักษณะที่เกี่ยวกับความเจ็บป่วย พูดถึงเรื่องพระพุทธ พระธรรม และศีล คือการมีศรัทธาที่มั่นคงในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อย่างไม่หวั่นไหวและมีศีลที่ไม่ทะลุ ไม่ด่างไม่พร้อย เมื่อใช้หลัก 4 ประการนี้เป็นที่พึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดความเบาใจนัยยะที่ 2 กุศลกรรมบถ 10 และ อกุศลกรรมบถ 10 ทำให้เกิด พรหมวิหาร 4 คือให้เป็นผู้มีกุศลกรรมบถ 10 อย่าง และเป็นผู้ละอกุศลกรรมบถ 10 อย่าง จะส่งผลให้เป็นผู้ตั้งอยู่ในความเมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา เมื่อเป็นผู้ที่ตั้งพรหมวิหาร 4 ไว้ในใจก็จะเป็นเหตุให้เกิดความเบาใจขึ้นมาได้นัยยะที่ 3 อราคะ อโทสะ อโมหะ ทำให้เกิด พรหมวิหาร 4 คือเมื่อเป็นผู้ไม่มีราคะ โทสะ โมหะจะส่งผลให้เป็นผู้ตั้งอยู่ในความเมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขาได้ เมื่อเป็นผู้ที่ตั้งพรหมวิหาร 4 ไว้ในใจก็จะเป็นเหตุให้เกิดความเบาใจขึ้นมาได้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ธรรมของสัตบุรุษมี สัทธรรม 3 อย่างคือ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธปริยัติ คือการศึกษาเล่าเรียนในระบบคำสอนที่เรารวบรวมมาโดยรอบแล้วนั่นคือคำสอนของพระศาสดามีองค์ 9 (นวังคสัตถุศาสน์)ได้แก่ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูติธรรม เวทัลละปริยัติแบ่งตามรูปแบบการศึกษาได้ 3 อย่างดังนี้1.อลคัททูปริยัติ การศึกษาแบบเป็นงูพิษคือศึกษาธรรมเพื่อลาภสักการะ เพื่อข่มผู้อื่น2.นิสสรณัตถปริยัติ การศึกษาเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการออกไปจากทุกข์ คือศึกษาเจาะจงลงไปในเรื่องที่จะออกจากทุกข์ได้3.ภัณฑาคาริกปริยัติ การศึกษาแบบขุนคลังคือการศึกษาเพื่อที่จะเก็บรักษาองค์ความรู้เหล่านั้นไม่ให้เสื่อมสูญไปปฏิบัติ คือ นำความรู้มาลงมือทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อให้ได้ประโยชน์อย่างที่ต้องการ การลงมือทำนั้นต้องไม่ยกตนข่มผู้อื่น การปฏิบัตินั้นมีได้หลายรูปแบบ การปฏิบัติต้องถูกต้องกับสิ่งนั้นๆปฏิเวธ คือการรู้ธรรมเป็นขั้นๆไป รู้ว่าธรรมนี้เป็นอย่างนี้ รู้แทงตลอดในธรรมเป็นขั้นเป็นขั้นขึ้นไป ในส่วนของปฏิเวธนี้ก็จะหมายถึงการบรรลุธรรมขั้นใดขั้นหนึ่งด้วย Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
“รู้แต่ไม่รู้ คนที่จะถึงจึงรู้" นำอุปมาอุปไมยมาอธิบายธรรมะ ทำให้เข้าใจได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยจัดแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้- กลุ่มแรก นำอุปมา 5 นัยยะ คือ เมฆ หนู หม้อ ห้วงน้ำ และมะม่วง มาใช้อธิบายเพื่อความเข้าใจในองค์ธรรม 3 ส่วน แบ่งเป็น สังเกตจากภายนอก 2 ส่วน คือจากการเรียนหรือไม่เรียน เรียนสูงหรือไม่สูง เป็นการรู้จากความจำ และความน่าเลื่อมใสหรือไม่น่าเลื่อมใส นำมาเปรียบกับอุปมาข้างต้น เช่น เมฆมีเสียงหรือไม่มีเสียง หนูขุดรูแต่ไม่อยู่ ห้วงน้ำลึกหรือตื้น เป็นต้น จากส่วนที่เป็นภายใน 1 ส่วน เป็นการรู้ด้วยปัญญาญาณ รู้แจ้งในภายใน มีความรู้ในอริยสัจสี่ เป็นอริยบุคคลที่พัฒนามาตามลำดับ คนที่ถึงแล้วจึงรู้ มีการนำไปโยงกับอุปมาในส่วนที่สังเกตจากภายนอก เช่น หม้อที่เต็มและปิดฝาคือบุคคลที่รู้อริยสัจมีความน่าเลื่อมใส ห้วงน้ำตื้นมีเงาตื้น คือบุคคลที่ไม่รู้อริยสัจทั้งยังไม่น่าเลื่อมใส เป็นต้นจากการเชื่อมอุปมาเหล่านี้กับองค์ธรรมทั้งสามเข้าด้วยกันทำให้เราไม่อาจสรุปว่าไม่เรียนคือไม่รู้ อย่าเหมา เพราะเมฆอาจจะรอคำรามหรือฝนรอตกอยู่ คนที่กำลังบรรลุธรรมหรือบรรลุธรรมแล้วท่านจึงจัดไว้ด้วยกันเนื่องจากมาตามทาง อย่างไรก็ถึงจุดหมาย จะรู้ประมาณว่ามากหรือน้อย สัดส่วนเป็นเท่าใด มองได้ครอบคลุม ไม่ด่วนตัดสิน-ในกลุ่มที่สองใช้อุปมาของวัวที่ข่มเหงหรือไม่ข่มเหงฝูงตนฝูงอื่นหรือทั้งสอง ต้นไม้เป็นไม้เนื้อแข็งหรืออ่อนคือคนมีศีลหรือทุศีลอยู่ร่วมกัน อสรพิษคือความโกรธมีพิษแล่นหรือไม่แล่น พิษร้ายหรือไม่มีพิษ การอุปมาในข้อนี้จะช่วยให้เข้าใจในกลุ่มแรกมากขึ้น Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
กามโภคีบุคคล:บุคคลผู้บริโภคกามเป็นผู้ที่ยังอยู่ในกระแสโลก และเป็นผู้ที่ถูกแบบคั้นด้วยกามเสมอ ในการกล่าวถึงเรื่องของทางโลกนั้นก็ใช้คำว่ากามมาอธิบายเป็นหลักโดยในที่นี้จะกล่าวถึง กาม 2 อย่าง กาม 5 อย่าง และกามโภคีบุคคล 10 อย่างกาม 2 อย่าง คือ กิเลสกามและวัตถุกาม และกามคุณ 5 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสกามโภคี 10 แบ่งกลุ่มตามการแสวงหา ดังนี้ 1. กลุ่มแสวงหาโดยไม่ชอบธรรม (ประเภทที่ 1-3) และ กลุ่มที่แสวงหาโดยชอบธรรมบ้าง ไม่ชอบธรรมบ้าง (ประเภทที่ 4-6): คือผู้ที่ได้ทรัพย์มาผิดวิธี หรือถูกบ้างผิดบ้าง โดยแบ่งย่อยตามการใช้จ่ายว่าเลี้ยงตนให้เป็นสุขหรือไม่ และมีการแบ่งปันทำความดีหรือไม่ 2. กลุ่มแสวงหาโดยชอบธรรม (ประเภทที่ 7-10): คือผู้ที่ได้ทรัพย์มาถูกวิธีประเภทที่ 7-8: ไม่แบ่งปันทำความดี (ต่างกันที่การเลี้ยงดูตนเอง) ประเภทที่ 9: เลี้ยงตนเป็นสุขและแบ่งปัน แต่ยังขาดสติปัญญา ยังหลงมัวเมาติดในทรัพย์ ประเภทที่ 10 (ผู้ประเสริฐที่สุด): คือผู้ที่แสวงหาทรัพย์โดยชอบธรรม นำมาเลี้ยงตนให้เป็นสุข เผื่อแผ่แบ่งปันทำความดี และที่สำคัญคือ ไม่ลุ่มหลงมัวเมา มีสติปัญญารู้เท่าทันเห็นทั้งคุณและโทษของวัตถุ ทำให้จิตใจเป็นอิสระอยู่เหนือโภคทรัพย์นั้นผู้บริโภคกามที่เลิศที่สุดคือผู้ที่หาทรัพย์ชอบธรรม ใช้จ่ายเพื่อตนและผู้อื่น และมีปัญญาเป็นนายเหนือวัตถุ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ธรรมุทเทศ มาจากธรรมะ+อุเทศ อุเทศคือสิ่งที่ยกขึ้นแสดง รวมกันหมายถึง ธรรมที่แสดงไว้ คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ในตอนนี้เป็นเรื่องราวที่พระเจ้าโกรัพยะ ได้ตรัสถามกับท่านพระรัฐปาละถึงความเสื่อม 4 ประการที่เมื่อบุคคลบางพวกประสพแล้วจึงออกบวชคือความเสื่อมเพราะชราความเสื่อมเพราะความเจ็บไข้ความเสื่อมจากโภคสมบัติความเสื่อมจากญาติ ส่วนพระรัฐปาละยังไม่ได้เผชิญกับความเสื่อมทั้ง 4 ประการนี้เลยท่านเห็นสิ่งใดจึงก็ออกบวช ท่านพระรัฐปาละจึงได้ยกถึงธรรมุทเทศ 4 ประการที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้มากล่าวดังนี้ธรรมุทเทศ 4 ประการ 1. โลกอันชรานำไปไม่ยั่งยืน: สัตว์โลกต้องแก่ชราไปตามกาลเวลา 2. โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน: สัตว์โลกไม่สามารถต้านทานความแก่ ความเจ็บ ความตายได้ และไม่เป็นอิสระเฉพาะตน 3. โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละสิ่งทั้งปวงไป: ทรัพย์สินและทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่ ตายแล้วก็ไปด้วยไม่ได้ 4. โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป้นทาสแห่งตัณหา:มนุษย์มีความต้องการไม่สิ้นสุด เป็นทาสของตัณหา เมื่อผู้ใดเพ่งลงไปให้เห็นโทษภัยของความเสื่อมนั้น จะทำให้มองเห็นทางออกแห่งการหลุดพ้นจากทุกข์ของความเสื่อม 4 ประการนี้ได้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ในมุมมองของคนที่มักโกรธ พอโกรธหรือไม่พอใจใครแล้ว ก็จะมองคน ๆ นั้นด้วยความเป็นศัตรูทันที คนมักโกรธจะมีความมุ่งหมายร้าย 7 ประการต่อศัตรู (เช่น ขอให้ผิวพรรณทราม, เป็นทุกข์, เสื่อมลาภยศ) แต่ผลร้ายเหล่านั้นกลับย้อนมาทำลายผู้โกรธเสียเอง ทำให้ชีวิตตกต่ำ จิตใจมืดบอดเหมือนไฟไหม้ และไม่เห็นธรรมพระพุทธเจ้าได้ทรงชี้ถึงสาเหตุของความโกรธไว้ใน "มหานิทานสูตร" ว่าความโกรธมีรากฐานมาจาก "ตัณหา" หรือความยึดติด พอใจสิ่งใดก็เกิดความหวงกั้น เมื่อกระทบกระทั่งจึงพัฒนาจากความขัดเคือง (ปฏิฆะ) กลายเป็นความโกรธ (โกธะ) และลุกลามเป็นการประทุษร้าย (โทสะ)แนวทางแก้ไขคือการเจริญเมตตาภาวนาและดูพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่างในการไม่โกรธตอบ แม้จะมีเหตุผลให้โกรธเพียงใดก็ตาม เพื่อตัดวงจรการจองเวรที่จะเกิดขึ้นจากความโกรธนั้น Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
"ธรรมเทศนา" คือการแสดงธรรมในพระพุทธศาสนาเพื่ออธิบายคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงกล่าวไว้กับพระมหากัสสปะว่า การแสดงธรรมมีทั้งแบบบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์· การแสดงธรรมที่ไม่บริสุทธิ์ คือการแสดงโดยมีเจตนาหวังลาภ สักการะ หรือคำสรรเสริญ ซึ่งจะนำไปสู่สัทธรรมปฏิรูป (การเลียนแบบธรรมะ)· การแสดงธรรมที่บริสุทธิ์ ต้องอาศัย 5 ประการ คือ 1. มีเจตนาให้ผู้ฟังเกิดศรัทธาและปัญญา 2. อาศัยธรรมะเป็นธรรมอันดี 3. อาศัยความกรุณา 4. อาศัยความเอ็นดู และ 5. อาศัยความอนุเคราะห์การแสดงธรรมที่บริสุทธิ์ แบ่งเป็นกลุ่มได้ 3 กลุ่ม· ผู้ฟังปฏิบัติได้ แล้วเกิดผลจริง· ธรรมะที่แสดงดีมีประโยชน์มาก· จิตใจของผู้แสดงธรรมประกอบด้วยพรหมวิหาร 4 การจะพิจารณาว่าผู้แสดงธรรมบริสุทธิ์หรือไม่ ให้ดูที่การเป็นอยู่ การพูดจา ศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งต้องใช้เวลาในการพิจารณา ปัจจัยที่จะทำให้พระสัทธรรมยั่งยืนคือการที่พุทธบริษัท 4 มีความเคารพในพระศาสดา พระธรรม พระสงฆ์ ในสิกขา สมาธิ และเคารพซึ่งกันและกัน รวมถึงการเล่าเรียนให้ถูกต้อง Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
“ภาวนา” คือ การพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นทุกด้าน มนุษย์จำเป็นต้องพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าและเจริญงอกงามอยู่เสมอ ในตอนนี้จะกล่าวถึงธรรมะ 3 หมวดที่เป็นเครื่องมือสนับสนุนการพัฒนาตนเอง ได้แก่1.วุฑฒิธรรม 4 (ธรรมเป็นเครื่องเจริญแห่งปัญญา) : ประกอบด้วย การคบหาสัตบุรุษ (สัปปุริสังเสวะ) , การเอาใจใส่เล่าเรียนฟังธรรม (สัทธัมมัสสวนะ) , การคิดวิเคราะห์อย่างแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) , และการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม (ธัมมานุธัมมปฏิบัติ)2.วัฒนมุข 6 (ประตู 6 ประการสู่ความเจริญงอกงามของชีวิต) : ประกอบด้วย ความไม่มีโรค (อาโรคยะ) , ความมีระเบียบวินัย (ศีล) , การศึกษาแนวทางจากบัณฑิต (พุทธานุมัต) , การใฝ่ฟังศึกษาหาความรู้ (สุตะ) , การดำเนินชีวิตในทางที่ชอบธรรม (ธรรมานุวัติ) , และความเพียรพยายามไม่ย่อหย่อน (อลีนตา)3.อธิษฐานธรรม 4 (ธรรมที่เป็นฐานที่มั่นคงเพื่อความสำเร็จ) : ประกอบด้วย ปัญญา (การหยั่งรู้เหตุผล) , สัจจะ (การพูดจริงทำจริง) , จาคะ (การสละสิ่งไม่ดีออกไป) , และอุปสมะ (ความสงบ)ธรรม 3 หมวดนี้เป็นธรรมที่เป็นไปในแนวเดียวกัน ที่เมื่อได้นำไปประพฤติปฏิบัติแล้วก็จะเกิดการพัฒนา ก้าวหน้า และนำไปสู่ความเจริญงอกงามในชีวิตได้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
อินทรีย์ หมายถึง ความเป็นใหญ่มีการใช้อยู่ในหลายๆนัยยะ ที่จะนำมากล่าวในที่นี้มี 22 ข้อ ตามที่รวบรวมไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ซึ่งรวบรวมตามพระสูตรที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ ได้แก่อินทรีย์ 6: คืออายตนะหรือประสาทสัมผัสทั้ง 6 (ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ) ซึ่งแต่ละอย่างมีความเป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน (เช่น หูเป็นใหญ่ในการได้ยินเสียง)อินทรีย์ 3 (นัยยะที่ 1): เกี่ยวข้องกับภาวะเพศและการเวียนว่ายตายเกิด ได้แก่ ปุริสินทรีย์ (ภาวะชาย), อิตถินทรีย์ (ภาวะหญิง), และ ชีวิตินทรีย์ (ภาวะชีวิต)อินทรีย์ 3 (นัยยะที่ 2): เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ (โลกุตตระ) ได้แก่1.อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ คืออินทรีย์ของผู้ปฏิบัติด้วยมุ่งว่าจะรู้สัจธรรม2.อัญญินทรีย์ คือ ปัญญาอันรู้ทั่วถึง3.อัญญาตาวินทรีย์ คือปัญญาอันรู้ทั่วถึงแล้วอินทรีย์ 5 (นัยยะที่ 1) ได้แก่ ความสุขกาย ความทุกข์กาย ความสุขใจ ความทุกข์ใจ อุเบกขาอินทรีย์ 5 (นัยยะที่ 2) เป็นนัยยะที่เราสามารถนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นธรรมที่เหมือนกันโดยองค์ธรรมกับพละ5พละ 5 ได้แก่ 1)ศรัทธา คือ ความมั่นใจ 2)วิริยะ คือ ความเพียร 3)สติ คือ ความระลึกได้ 4)สมาธิ คือ จิตเป็นอารมณ์อันเดียว 5)ปัญญา คือ ความเห็นตามความเป็นจริง Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
"อปริหานิยธรรม" คือ ธรรมะอันเป็นที่ตั้งแห่งความไม่เสื่อม ซึ่งจะนำมาซึ่งความเจริญเพียงฝ่ายเดียว หลักธรรมนี้มีหลายนัยยะนัยยะแรกมี 7 ประการ ได้แก่ 1) หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ 2) พร้อมเพรียงกันประชุม 3) ไม่ล้มล้างสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ 4) เคารพภิกษุผู้ใหญ่ 5) ไม่ตกอยู่ในอำนาจตัณหา 6) ยินดีในเสนาสนะป่า 7) ตั้งสติระลึกถึงเพื่อนพรหมจารีนัยยะอื่น ๆ ที่นำไปสู่ความเจริญและป้องกันความเสื่อม ได้แก่· คุณธรรมในตน 7 ประการ: เช่น ไม่ยินดีการคุย, ไม่ปรารถนาลามก, ไม่คบมิตรชั่ว· อริยทรัพย์ 7: เช่น ศรัทธา, หิริ, โอตตัปปะ, สติ, ปัญญา· โพชฌงค์ 7: เช่น สติ, วิริยะ, สมาธิ, อุเบกขา· สัญญา 7: เช่น อนิจจสัญญา, อนัตตสัญญา, อสุภสัญญา· สาราณียธรรม 6หากรักษาธรรมเหล่านี้ไว้ได้ ความเสื่อมจะไม่ปรากฏขึ้นเลย แต่จะมีความเจริญรุ่งเรืองเท่านั้น Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ธรรมเป็นเครื่องบ่มวิมุตติคือธรรมที่บ่มให้จิตหลุดพ้นจากกิเลสและทุกข์ทั้งปวง เป็นธรรมะที่กล่าวไว้ในส่วนของอถกถา ประกอบด้วยธรรม 5 หมวด หมวดละ 3 อย่าง รวมเป็น 15 อย่าง ได้แก่นัยยะแรกคือนัยยะของอินทรีย์ 5 ดังนี้ศรัทธา คือความเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าได้แก่ 1)ไม่เสพ คบ บุคคลผู้ไม่มีศรัทธา 2)ให้เสพ คบ บุคคลผู้มีศรัทธา 3)พิจารณาตามนัยยะสัมปสาทนียสูตรวิริยะ คือความเพียรในการละความชั่วและทำความดีได้แก่ 1)ไม่เสพคบบุคคลผู้เกียจคร้าน 2)เสพคบเข้าไปนั่งใกล้บุคคลผู้มีความเพียร 3)พิจารณาตามสัมมัปปธานสูตรสติ คือความระลึกรู้เท่าทันกายและใจได้แก่ 1)ไม่คบบุคคลผู้มีสติหลงลืม 2)ให้คบเข้าไปนั่งใกล้บุคคลผู้มีสติตั้งมั่น 3)พิจารณาสติปัฎฐาน4สมาธิ คือความมีจิตตั้งมั่นได้แก่ 1)ไม่คลุกคลีกับบุคคลผู้มีใจไม่มั่นคง 2)ให้คบหา นั่งใกล้กับบุคคลที่มีใจมั่นคง 3)พิจารณาฌานและวิโมกข์อยู่เป็นประจำปัญญา คือความรู้แจ้งเห็นจริงตามสภาพความเป็นจริง โดยเฉพาะความเกิด-ดับ เพื่อชำระล้างกิเลสได้แก่ 1)เว้นการคบหากับผู้มีปัญญาทราม 2)ให้คบกับผู้มีปัญญา มีแนวโน้มที่จะเข้าใจสิ่งต่างๆได้ 3)พิจารณาญาณจริยาการบำเพ็ญญาณอันลึกซึ้งและยังมีธรรมเป็นเครื่องบ่มวิมุตตินัยยะที่ 2 คือสัญญา 5 ได้แก่ อนิจจสัญญา อนิจเจทุกขสัญญา ทุกเขอนัตตสัญญา ปหานสัญญา วิราคสัญญา และนัยยะที่ พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ กับ พระเมฆิยะคือ การมีมิตรดี ความสำรวมในศีล ความเป็นผู้ขัดเกลาอย่างยิ่ง ความปรารภความเพียร และปัญญาอันเป็นไปในส่วนแห่งการตรัสรู้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสถึงการ พึ่งตน พึ่งธรรม ซึ่งหมายถึงการพึ่งพาธรรมะของพระองค์ ธรรมะที่เป็นที่พึ่ง หรือคุณธรรมที่ทำให้ตนเป็นที่พึ่งของตนได้ เรียกว่า นาถกรณธรรม 10 ประการ ดังนี้1. ศีล: ความประพฤติดีงามสุจริต มีระเบียบวินัย2. พาหุสัจจะ (พหูสูต): ศึกษาเล่าเรียนมาก มีความรู้ลึกซึ้งในธรรม3. กัลยาณมิตตตา: มีมิตรที่ดี หรือให้ มรรค 8 เป็นกัลยาณมิตร4. โสวจัสสตา: เป็นผู้ว่าง่าย สอนง่าย รับฟังเหตุผล5. กิงกรณีเยสุ ทักขตา: ไม่เกียจคร้าน เอาใจใส่ในกิจและจัดการให้สำเร็จเรียบร้อย6. ธัมมกามตา: ใคร่ธรรม รักความรู้ ชอบศึกษาหลักธรรมวินัย7. วิริยารัมภะ: ปรารภความเพียร ละชั่ว ทำดี ไม่ทอดทิ้งธุระ8. สันตุฏฐี (สันโดษ): ยินดีพอใจในปัจจัย 4 ที่หามาได้โดยชอบธรรม9. สติ: ระลึกได้ ไม่เผลอ ไม่ประมาทไปตามผัสสะที่เข้ามากระทบ10. ปัญญา: มีปัญญาหยั่งรู้เหตุผล กำจัดกิเลส และเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
การโจทก์ในทางพุทธศาสนาหมายถึงการกล่าวหาหรือการตำหนิผู้อื่น คุณสมบัติของผู้โจทก์และผู้ถูกโจทก์ได้กล่าวไว้แล้วในตอนที่ผ่านมา ในตอนนี้จะกล่าวถึงการที่จะไปโจทก์ผู้ใดนั้นพระพุทธเจ้าได้ให้หลักพิจารณาไว้ในพระสูตรที่ชื่อว่า “กินติสูตร” โดยในตอนนี้จะกล่าวถึงตอนที่พระพุทธเจ้าได้สอนถึงการที่จะโจทก์กันนั้นให้ใคร่ครวญพิจารณา ตามหลัก 5 ประการ ดังนี้1. พิจารณาความลำบากหรือไม่ลำบากของผู้เป็นโจทย์ โดยผู้เป็นโจทย์ต้องมีวาจาบริสุทธิ์2. พิจารณาความขัดเคืองหรือไม่ขัดเคือง ของผู้ถูกโจทย์3. พิจารณากุศลและความดีที่จะเกิดกับผู้ถูกโจทย์ คือหากโจทก์แล้วก่อให้ความดีกับผู้ถูกโจทย์ก็ควรโจทก์4. พิจารณาผู้เป็นโจทย์ลำบาก และผู้ถูกโจทย์ขัดเคือง ให้ยึดกุศลธรรมที่จะเกิดขึ้นเป็นเกณฑ์5. พิจารณาแล้วว่าผู้ถูกโจทย์เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็ให้วางเฉยนอกจากนี้พระพุทธเจ้ายังให้หลักในการพิจารณาความเห็นต่างกันในเรื่องธรรมะที่พระองค์ได้ทรงบอกกล่าวไว้ โดยส่วนมากจะเห็นแย้งกันใน 2 เรื่องคือ เรื่องอรรถ และพยัญชนะ โดยให้เข้าหาชี้แจงแก่กลุ่มภิกษุที่ว่าง่ายก่อนแล้วค่อยๆขยายให้เกิดความสามัคคีกันอย่างกว้างขวางขึ้นและสามารถใช้หลักการนี้พิจารณาการโจทก์กันในด้านการครองเรือนได้ด้วย Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
โจทก์ คือ ผู้ยื่นฟ้องคดีต่อศาล ที่เชื่อว่าตนเองได้รับความเสียหาย หรือถูกละเมิด และต้องการการเยียวยาจากฝ่ายที่ถูกฟ้อง ซึ่งเรียกว่า "จำเลย" โจทก์มีหน้าที่นำเสนอหลักฐานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่กล่าวอ้าง การโจทก์ในทางพุทธศาสนาหมายถึงการกล่าวหาหรือการตำหนิผู้อื่น ในที่นี้จะเทียบเคียงให้เข้าใจในนัยยะทางพุทธศาสนาหากมีการโจทก์หรือถูกโจทก์ในชีวิตประจำวันจะต้องทำอย่างไร โดยจะแบ่งไว้ 2 ส่วนคือส่วนของผู้โจทก์ และผู้ถูกโจทก์ ดังนี้ผู้โจทก์ต้องมีข้อพิจารณา 5 ประการ ดังนี้ต้องมีกายบริสุทธิ์ต้องมีวาจาบริสุทธิ์ต้องมีจิตเมตตาต้องมีความเป็นพหูสูตต้องจำและวินิจฉัยบทสวดพระปาติโมกข์ได้ถูกต้อง(ในทางโลกต้องรู้กฎหมายอย่างละเอียดรอบคอบ)คุณสมบัติของผู้โจทก์ ต้องตั้งอยู่ในธรรม 5 ประการนี้คือกล่าวโดยกาลอันควร ไม่กล่าวด้วยกาลไม่ควรกล่าวด้วยคำจริง ไม่กล่าวด้วยคำไม่จริงกล่าวด้วยคำสุภาพ ไม่กล่าวด้วยคำหยาบกล่าวด้วยคำที่ก่อประโยชน์ ไม่กล่าวด้วยคำที่ไร้ประโยชน์มีเมตตาจิตกล่าว ไม่มุ่งร้ายแล้วกล่าวหากผู้โจทก์มีคุณสมบัติตาม 10 ประการข้างต้นนี้จะไม่เดือดร้อนจากการโจทก์ของตนคุณสมบัติของผู้ถูกโจทก์ ต้องตั้งอยู่ในธรรม 5 ประการนี้คือความจริง คือตั้งไว้ในความจริงความไม่ขุ่นเคือง คือถ้าเราถูกโจทก์ก็อยู่ขุ่นเคืองการโจทก์นั้นหากผู้โจทก์และผู้ถูกโจทก์ตั้งอยู่ในธรรมทั้ง 2 ฝ่ายก็จะนำไปสู่การพัฒนาปรับปรุงแก้ไขในสิ่งที่ทำไม่ถูกให้กลายเป็นสิ่งที่ถูกต้องขึ้นมาได้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดง หลักคำสอนและวิธีการปฏิบัติต่าง ๆ สรุปเป็นใจความสำคัญไว้ 3 ขั้น คือ ให้ละเว้นความชั่ว ให้ทำความดี และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ นี่คือเส้นทางที่จะนำไปสู่ทางหลุดพ้นได้ซึ่งในครั้งนี้จะกล่าวถึงหลักธรรมที่เป็นขั้นของการชี้แนวทางแห่งโลกุตระ นั่นคือเบญจศีลและเบญจธรรมเบญจศีลและเบญจธรรม เป็นธรรมคู่กัน คนที่มีเบญจธรรมจึงจะเป็นผู้มีเบญจศีล ซึ่งหากคนมีศีลและธรรมดังกล่าวแล้ว จะเว้นจากการทำความชั่ว รู้จักควบคุมตนให้ตั้งอยู่ในความดี ไม่เบียดเบียนตนและคนอื่น และประพฤติชอบทางกาย วาจา ใจเบญจศีล คือ ศีล 5 ข้อ เป็นการรักษาเจตนาที่จะควบคุมกาย และวาจาให้เป็นปกติ คือ ไม่ทำบาป โดยการละเว้น 5 ประการ คือ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ละเว้นจากการลักขโมย ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม ละเว้นจากการพูดปด ละเว้นจากการเสพสุราเบญจธรรม เป็นหลักธรรมที่ควรปฏิบัติ มี 5 ประการ ได้แก่1. เมตตากรุณา คือ บุคคลใดที่มีเมตตาย่อมไม่ฆ่า หรือเบียดเบียนสัตว์ เมตตากรุณาจึงเป็นจิตที่สามารถเพิ่มพูนพัฒนาได้จากการเว้นจากการฆ่า 2. สัมมาอาชีวะ คือ ประกอบอาชีพที่สุจริต มีรายได้ รู้จักใช้จ่าย และที่สำคัญรู้จักคำว่าพอดี และมีหิริโอตตัปปะ คือ ความละอาย และเกรงกลัวต่อผลของบาป จึงทำให้ไม่ลักขโมยของผู้อื่น3. กามสังวร คือ ความสำรวมอินทรีย์ ระมัดระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ทำให้ ความใคร่ในกามคุณ คือ การติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ลดน้อยลง เมื่อความสำรวมเกิดขึ้น จึงทำให้ไม่ประพฤติผิดในกาม4. สัจจะ คือ การพูดความจริง เป็นสิ่งที่ทำให้ไม่เกิดการมุสาวาท 5. สติสัมปชัญญะ คือ การรู้สึกตัว การไม่ประมาท เพราะรู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว ทำให้ไม่เกลือกกลั้วกับสิ่งที่จะทำให้ชีวิตตกต่ำ เช่น สุราเมื่อคนดื่มกินก็ทำให้มึนเมาและขาดสติ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
สติ หมายถึงความระลึกได้ คือระลึกถึงสิ่งที่ทำ จำคำที่พูดแล้วแม้นานได้ สติมีทั้งมิจฉาสติและสัมมาสติ หากระลึกถึงเรื่องไม่ดีทำให้กิเลสเกิดนั่นคือมิจฉาสติ แต่หากระลึกถึงเรื่องที่ดีๆเรื่องที่ก่อให้เกิดกุศลก็คือสัมมาสติ สติต้องมีปัญญาประกอบควบคู่ไปด้วย จึงจะทำให้ใช้สติอย่างถูกต้องก่อให้เกิดประโยชน์ สตินั้นมีอานิสงส์มาก การที่เราจะเข้าสมาธิได้เป็นสัมมาสมาธิก็ต้องอาศัยสัมมาสติ และในสัมมาสติเจาะลงไปก็คือสติปัฏฐาน4 การเจริญสติปัฏฐานสี่นั้นเป็นเหตุให้เกิดวิชชาและวิมุติได้สติปัฏฐาน เป็นธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติ การตั้งสติไว้โดยปัญญาพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นเท่าทันตามความเป็นจริง และการมีสติกำกับดูสิ่งต่างๆ และความเป็นไปทั้งหลาย โดยปัญญารู้เท่าทันตามสภาวะของมัน ไม่ถูกครอบงำด้วยความยินดียินร้าย ที่ทำให้มองเห็นเพี้ยนไปตามอำนาจกิเลส มี 4 อย่าง คือ กาย เวทนา จิต ธรรม1. กายานุปัสสนา สติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณากาย, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันกายและเรื่องทางกาย เช่นนึกถึงกระดูก หนังเอ็น ความเป็น อสุภะ 2. เวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนา, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันเวทนา การใช้ความรู้สึกเป็นฐานที่ตั้งของการมีสติ พิจารณาทุกขเวทนาและสุขเวทนาอย่างสติ 3. จิตตานุปัสสนา สติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันจิตหรือสภาพและอาการของจิต คือถ้าจิตฟุ้งก็รู้ จิตสงบก็รู้4. ธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรม, การมีสติกำกับดูรู้เท่าทันธรรม คือการนำธรรมะมาพิจารณาใคร่ครวญอย่างแยบคายจนเห็นทุกข์จะเห็นว่าสติปัฏฐาน4 นี้คือ กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นหนึ่งในโพธิปักขิยธรรม37 อย่าง สามารถแจกแจงออกให้ละเอียดได้ถึง 10 อย่างเรียกว่า อนุสติ10 คือสิ่งที่จะทำให้สติตามมาได้ 10 ประการได้แก่1.พุทธานุสสติ การตามระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า2.ธัมมานุสสติ การตามระลึกถึงพระธรรม3.สังฆนุสสติ การตามระลึกถึงคุณพระสงฆ์4.สีลานุสสติ การตามระลึกถึงศีลที่เรารักษา5.จาคานุสสติ การตามระลึกถึงผลของทานการบริจาค6.เทวตานุสสติ การตามระลึกถึงคุณธรรมที่ทำให้เป็นเทวดา7.อุปสมานุสสติ การตามระลึกถึงความว่าง ความพ้น นิพพาน8.มรณานุสสติ การตามระลึกถึงเหตุปัจจัยแห่งความตายนั้นมีมาก9.อานาปานานุสสติ การตามระลึกถึงลมหายใจเข้า ลมหายใจออก10.กายคตานุสสติ การตามระลึกถึงอาการ32 Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
อาวาสิโก คือผู้อยู่ประจำอาวาส ภิกษุผู้อยู่ประจำอาวาส และอีกหนึ่งนัยยะ อาวาสิโก ยังหมายถึงเจ้าอาวาส ซึ่งในภาษาไทยได้นำมาใช้ในบริบทที่ว่าคือผู้นำผู้ปกครองของวัดนั้น อาวาสิกธรรม คือธรรมของผู้ที่อยู่ประจำถิ่น เป็นหลักธรรมของภิกษุผู้อยู่ประจำอาวาส การอยู่ประจำอาวาสอย่างไรที่จะทำให้ดีให้งาม ให้มีการเกิดประโยชน์เกิดบุญที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้ไปดีได้ในภพต่อๆไป ในตอนนี้ได้รวบรวมเนื้อหามาสรุปให้เป็นกลุ่ม โดยแบ่งตามคุณธรรมของผู้อยู่ประจำถิ่น ดังนี้กลุ่มที่1 เป็นผู้มี ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติดังนี้1)ถึงพร้อมด้วยมารยาทและวัตร 2)เป็นพหูสูต ทรงความรู้ 3)เป็นผู้ยินดีในการขัดเกลากิเลส ยินดีในความสงบ ยินดีในการที่จะไม่คลุกคลี 4)มีปัญญา เฉลียวฉลาดเห็นความเกิดขึ้นและดับไปอย่างแยบคายในการปฏิบัติ 5)แคล่วคล่องในการเข้า-ออกฌานทั้ง46)สามารถใช้ปัญญาและสมาธิที่มีนั้นในการที่จะบรรลุธรรมกลุ่มที่2 เป็นผู้มีสัมมาวาจา ดังนี้1)มีกัลยาณวาจาคือวาจางาม รู้จักพูด รู้จักเจรจาให้เป็นผลดี 2)สามารถกล่าวธรรมะให้ผู้มาหาเห็นแจ่มชัด ยอมรับไปปฏิบัติ เร้าใจให้แกล้วกล้า และเบิกบานใจกลุ่มที่3 เป็นผู้ทำการงานดี ดังนี้1)รู้จักปฏิสังขรณ์เสนาสนะสิ่งของที่ชำรุดหักพัง ตามเหตุตามปัจจัยกลุ่มที่4 เป็นผู้จักปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลรอบข้าง ดังนี้1)ชักนำคฤหัสถ์ให้ถือปฏิบัติในอธิศีล 2)ยังคฤหัสถ์ให้ตั้งอยู่ในธรรมทัศนะ คือรู้เห็นเข้าใจธรรม3)ไปเยี่ยมให้สติคนเจ็บไข้4)เมื่อมีสงฆ์หมู่ใหญ่มาจากต่างถิ่น ขวนขวายบอกชาวบ้านผู้ปวารณาไว้ให้มาทำบุญ5)เมื่อรับทานใดๆมาแล้ว จะเลวหรือดี ก็ใช้ด้วยตนเอง ไม่ยังศรัทธาให้ตกไปกลุ่มที่5 เป็นผู้รู้จักยกย่องหรือติเตียน ดังนี้1)พิจารณาใคร่ครวญโดยรอบคอบแล้ว จึงกล่าวตำหนิติเตียนบุคคลที่ควรตำหนิติเตียน2)พิจารณาใคร่ครวญโดยรอบคอบแล้ว จึงกล่าวยกย่องสรรเสริญบุคคลที่ควรยกย่องสรรเสริญ3)พิจารณาใคร่ครวญโดยรอบคอบแล้ว จึงแสดงความไม่เลื่อมใส ในฐานะอันไม่ควรเลื่อมใส4)พิจารณาใคร่ครวญโดยรอบคอบแล้ว จึงแสดงความเลื่อมใส ในฐานะอันควรเลื่อมใสกลุ่มที่6 เป็นผู้ไม่มีความตระหนี่ ดังนี้1)ไม่ตระหนี่หวงแหนที่อยู่อาศัย 2)ไม่ตระหนี่หวงแหนตระกูลอุปฐาก 3)ไม่ตระหนี่หวงแหนลาภ4)ไม่ตระหนี่วรรณะคือหวงคุณความดีไม่อยากให้เขาได้ดี5)ไม่ตระหนี่ธรรมะคือหวงวิชาความรู้ไม่ยอมสอนใคร Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
บทสวด สาราณียะธัมมะสูตตัง เป็นบทที่กล่าวถึงธรรมอันเป็นไปเพื่อความระลึกถึงกันและกัน คือธรรมแห่งการสร้างความสามัคคี เป็นบทสวดที่มาจากพระสูตรที่พระภิกษุจะมักสวดกันในวันเข้าพรรษา บทสวดนี้พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับภิกษุไว้ที่เมืองสาวัตถี ณ วัดเชตวัน โดยกล่าวถึงธรรม 6 ประการ ที่เมื่อนำไปปฏิบัติแล้วจะเป็นธรรมเครื่องก่อให้เกิดอานิสงส์ 7 ประการ คือ1.สาราณียา (ระลึกถึงกัน)2.ปิยะกะระณา (เป็นเครื่องกระทำให้เป็นที่รักกัน) 3.คะรุกะระณา (เป็นที่เคารพซึ่งกันและกัน)4.สังคะหายะ (เป็นไปเพื่อ ความสงเคราะห์ เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล) 5.อะวิวาทายะ (ไม่วิวาทกัน) 6.สามัคคิยา (เกิดความพร้อมเพรียงกัน) 7.เอกีภาวายะ(ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน)โดยองค์ประกอบของสาราณียธรรม 6 ประการที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงคือ1.เมตตาทางกายทั้งต่อหน้าและลับหลัง2.เมตตาทางวาจาทั้งต่อหน้าและลับหลัง3.เมตตาทางใจทั้งต่อหน้าและลับหลัง4.การแบ่งปันลาภที่ได้มาโดยธรรม5.มีศีลเสมอกัน ศีลไม่ทะลุไม่ด่างพร้อย6.มีทิฏฐิอันประเสริฐ คือรู้เจาะจงในอริยสัจ 4 Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
พระพุทธเจ้าได้ทรงให้เกณฑ์ในการปฏิบัติให้การประพฤติพรหมจรรย์นั้นบริสุทธิ์บริบูรณ์อย่างสิ้นเชิง ไว้เป็นขั้นเป็นลำดับอย่างชัดเจน ในที่นี้จะนำเสนอในหัวข้อของ อภิณหปัจจเวกขณธรรมสูตร คือ ธรรมที่บรรพชิตพึงพิจารณาเนือง ๆ 10 ประการได้แก่1. พิจารณาถึงเพศที่แตกต่างจากคฤหัสถ์2. พิจารณาถึงการดำรงชีวิตและความเป็นอยู่ด้วยผู้อื่น3. พิจารณาถึงอากัปกิริยาทางกายทางวาจา4. พิจารณาถึงการติเตียนตนเองด้วยเรื่องของศีล 5. พิจารณาถึงการติเตียนเรื่องของศีล ด้วยผู้อื่น6. พิจารณาถึงการพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น 7. พิจารณาเรื่องของ กรรม8. พิจารณาถึงเวลาที่ล่วงไป9. พิจารณาถึงการยินดีด้วยเสนาสนะอันสงัด10. พิจารณาถึงคุณวิเศษการพิจารณาธรรมเหล่านี้เนืองๆอย่างเป็นประจำจะช่วยให้เกิดความเข้าใจในสัจธรรมของชีวิต นำไปสู่การปล่อยวาง การดำเนินชีวิตอย่างมีสติ และจะทำให้เป็นหนทางเข้าสู่ความเป็นอริยบุคคลได้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ปฏิปทาอันยิ่งยวดอย่างหนึ่งใน “ทศบารมี” นั้นก็คือ “ขันติ” คือ ความอดทนอดกลั้น เป็นตบะแผดเผากิเลสอย่างยิ่ง เพราะไม่ว่าจะถูกกระทบกระทั่งด้วยสิ่งอันเป็นที่พึงปรารถนา หรือไม่พึงปรารถนาก็ตาม จะสามารถรักษาความเป็นปกติเอาไว้ได้ ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8 ย่อมทำคุณธรรม “ขันติ” ให้ปรากฏขึ้นเป็นของแจ่มแจ้งแก่ตนเองได้ด้วย “ปัญญา” และถ้าพิจารณากันให้ดี ๆ จะเห็นว่า คุณธรรมที่ทำให้มีความอดทนนั้น มีอยู่มากมาย จึงอาจกล่าวได้ว่า “ขันติ” ความอดทนคือทุกสิ่งความอดทนแบ่งตามเหตุที่มากระทบ ได้แก่ อดทนต่อความลำบากตรากตรำ อดทนต่อทุกขเวทนาทางกายและทางใจ อดทนต่อกิเลส เปรียบความอดทนไว้กับทางไปสู่นิพพาน ถ้าคุณเจอสิ่งกระทบในระหว่างทาง คุณยังจะอดทนรักษามรรคไว้ได้อยู่ไหม? หรือจะเลือกเดินออกนอกมรรคไปไม่ถึงนิพพานขันติแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ1. อธิวาสนขันติ คือ ยังมีอารมณ์โกรธอยู่ แต่อดกลั้นไว้ได้ ไม่แสดงสิ่งที่เป็นอกุศลทางกาย วาจา ใจ ออกไป2. ตีติกขาขันติ คือ ปฏิบัติได้เป็นปกติใน ศีล สมาธิ และปัญญา เพราะผ่านการฝึกฝน ทำซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ อยู่บ่อย ๆ ในขั้น “อธิวาสนขันติ”คุณธรรมความอดทน ตัวอย่างในเรื่องของท่านพระปุณณะ พระสารีบุตร และท้าวสักกะ เป็นคุณธรรมที่แสดงให้เห็นการบ่มอินทรีย์ พละ ศีล สมาธิ ปัญญา พรหมวิหารอานิสงส์ของความอดทน คือ ย่อมเป็นที่รักของคนเป็นอันมาก เป็นผู้ไม่มากด้วยเวรไม่มากด้วยโทษ เป็นผู้ไม่หลงกระทำกาละ ตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.


![ความเบาใจ 4 ประการ [6852-3d] ความเบาใจ 4 ประการ [6852-3d]](https://assets.pippa.io/shows/63760a658c890a00102a0b39/show-cover.jpg)

