Discover1 สมการชีวิต
1 สมการชีวิต
Claim Ownership

1 สมการชีวิต

Author: ปัญญา ภาวนา ฟังธรรมะ ปัญญาภาวนา Panya Bhavana

Subscribed: 124Played: 1,139
Share

Description

นำ "โจทย์" จากชีวิตจริงมาวิเคราะห์แจกแจง, เปิดประเด็นปัญหา ขุดคุ้ยคำตอบที่ซ่อนอยู่ แล้วปรับสมดุลย์ด้วยสัจจะธรรม เพื่อให้เห็นเส้นทางดำเนินต่อไปในชีวิต ในช่วง "สมการชีวิต". New Episode ทุกวันจันทร์ เวลา 05:00, Podcast นี้เป็นส่วนหนึ่งของรายการธรรมะรับอรุณ ออกอากาศทุกวันทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) มีคำถาม/ข้อเสนอแนะ หรือสมัครติดตามฟังทั้ง 7 รายการ ที่ panya.org

Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

339 Episodes
Reverse
Q1: ทำบุญแล้ว พระเอาไปใช้ในทางไม่ถูก จะได้บุญหรือไม่A: บุญมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ1. ศรัทธาของผู้ให้ = ทั้งก่อน ในระหว่าง และหลังให้- ศรัทธานั้นไม่ได้ตั้งอยู่กับตัวบุคคล- ศรัทธานั้นไม่ใช่ความงมงาย2. ศีลของผู้รับ = มีราคะ โทสะ โมหะ มากหรือน้อยQ2: ทำบุญต้องหวังผลA: วิธีทำบุญมี 3 อย่าง คือ การให้ทาน การรักษาศีล และการภาวนา- ทำบุญต้องหวังผล หากผลที่หวังนั้น คือ นิพพานหรือการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ก็ต้องเลือก/พิจารณาการทำบุญนั้นให้ดี เช่น บุญจากการให้ทาน ต้องเลือกผู้รับที่เป็นเนื้อนาบุญ คือ มีราคะ โทสะ โมหะ น้อย โดยดูจากข้อวัตรปฏิบัติ ทางกาย วาจา ใจ ต้องใกล้ชิดและใช้เวลาดู - บุญจากการให้ทาน เกิดได้ 3 ช่วงเวลา คือ ก่อนให้ ระหว่างให้ และหลังให้ ถ้าก่อนให้และระหว่างให้ มีศรัทธา ก็ได้บุญ แต่หากต่อมามีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับพระ แล้วเสื่อมศรัทธา บุญที่เกิดหลังให้ก็จะไม่ได้- จึงไม่ควรตั้งศรัทธาไว้ที่ตัวบุคคล แต่ให้ตั้งศรัทธาไว้ที่สถาบันสงฆ์ ซึ่งไม่ได้หมายถึงบุคคล แต่คือ การปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ- เมื่อตั้งศรัทธาไว้ที่การปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ อย่างไม่คลอนแคลนแล้ว บุญก็จะไม่ลด ดังนั้น อย่าเอาการที่คนอื่นทำไม่ดี มาตัดกระแสบุญของเราQ3: ตู้ชำระหนี้สงฆ์A: สมัยพุทธกาลไม่มี เพิ่งมีขึ้นในภายหลัง เริ่มจากประเพณีขนทรายเข้าวัด ที่มองว่าไปวัดแล้วเอาของวัดติดมาด้วย จึงต้องใช้หนี้วัดQ4: บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นในวัดA: สมัยก่อนไม่มีพระพุทธรูป การบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จึงทำที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปวัด แต่การไปวัด คือ การไปรวมตัวกันเพื่อฟังธรรมจากผู้รู้ ไปทำความสงบ - ถ้าจะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ต้องบูชาในคุณธรรม ความดี ไม่ใช่บูชาเพื่อขอผลQ5: เพาะพันธุ์แมวขายA: เป็นการค้าขายสัตว์เป็น- ให้ทำอาชีพอื่นที่ไม่เสี่ยงเป็นบาป และมีเวลาว่างในการปฏิบัติธรรมมากขึ้น จะดีกว่าQ6: ทีฆชาณุสูตรA: ทีฆชาณุสูตร = ประโยชน์ในปัจจุบัน 4 ประการ และประโยชน์ในอนาคต 4 ประการ- ประโยชน์ในอนาคต 4 ประการ คือ ศีล ศรัทธา จาคะ ปัญญา Q7: ถวายตั๋วรถไฟให้พระ A: โยมท่านหนึ่งเจอพระที่สถานีรถไฟ ตั้งใจจะถวายตั๋วรถไฟให้พระ แต่พระให้ถวายเป็นเงินแทน จึงไม่ได้ถวายให้- ที่โยมทำ เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามธรรมวินัยแล้ว- การที่ไม่ได้ถวายเงินให้พระ เป็นสิ่งที่ถูกตามธรรมวินัยแล้ว เป็นการช่วยพระรักษาศีล ได้บุญQ8: บูชาบุคคลที่ควรบูชาA: บุคคลที่ควรบูชา ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระสงฆ์ (ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ) ผู้มีศีล มารดาบิดา (ผู้มีอุปการะก่อน) ผู้มีพรหมวิหาร 4 บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ เทวดา (ผู้มีศีล ศรัทธา จาคะ ปัญญา)Q9: การยึดติดกับสิ่งสมมติA: การยึดถือ (อุปาทาน) เกิดจาก ความเพลิน ความพอใจ หากมีในสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน- ต้องมีสติ จึงจะไม่เพลิน ก็จะไม่ยึดถือในสิ่งที่สมมติเหล่านั้น- ต้องฝึกการมีสติอยู่เรื่อย ๆ ให้มีกำลังมากขึ้น ความเพลินก็จะค่อย ๆ ลดลง Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ช่วงไต่ตามทาง: ปัญหาชีวิตคู่- ผู้หญิงท่านหนึ่งแต่งงานเข้าบ้านสามี ไม่ใช่เรื่องของคน 2 คน เท่านั้น แต่เป็นเรื่องของ 2 ครอบครัว ต้องปรับตัวหลังแต่งงาน มีตัวแปรหลายอย่างเพิ่มขึ้น เช่น แม่สามี คนในครอบครัวสามี ลูก ปู่ย่าตายาย เกิดการกระทบกระทั่งกัน สามีลงไม้ลงมือ ไม่มีความสุขในครอบครัว - อำนาจของกิเลส ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกันช่วงปรับตัวแปรแก้สมการ:เรื่องเล่า “ใครน่ากลัวมากที่สุด”- ประชาชนกลัวพระราชา พระราชากลัวนักรบที่ทรยศ นักรบกลัวโจรที่ไม่มีระเบียบวินัย โจรกลัวภรรยาด่า ภรรยากลัวคนนิ่ง ไม่เถียงกลับ เรื่องเล่า “ครอบครัวอยู่เป็นสุข ด้วยน้ำมนต์คุณยาย”- สามีภรรยาคู่หนึ่ง ทะเลาะกันมาก เถียงกันวันเว้นวัน เกิดความระอาใจ ต่างคนต่างไม่ยอมกัน คิดว่าอีกฝ่ายเป็นต้นเหตุของปัญหา ภรรยาไปปรึกษาคุณยายว่าทำอย่างไรถึงอยู่กับคุณตาได้อย่างสงบ คุณยายจึงให้น้ำมนต์มา และกำชับว่าเมื่อสามีเข้ามาในเขตบ้านเมื่อไร ให้ภรรยาอมน้ำมนต์ไว้ในปาก จนกว่าสามีจะกินข้าวเสร็จ จึงค่อยบ้วนทิ้ง ให้ทำติดต่อกันเจ็ดวัน - ผลปรากฏว่า สามีภรรยาไม่ได้ต่อคำซึ่งกันและกัน จึงไม่มีเรื่องให้ทะเลาะกันอีกความนิ่ง- “ความนิ่ง” เป็นทางลัดที่จะนำไปสู่ความสงบ- “ความนิ่ง” เป็นการเอาชนะการโต้เถียงกัน- ชี้แจงได้ แต่ถ้าชี้แจงแล้วไม่เกิดประโยชน์ ก็ให้นิ่งเสีย- ให้อดทน ยังไม่พูดขณะเกิดปัญหา รอให้อารมณ์เย็น บรรยากาศเหมาะสม จึงค่อยพูดคุยกัน- “การนิ่ง” เป็น 1 ใน 4 ของฆราวาสธรรม 4 ในเรื่อง “ขันติ” (ความอดทน)ฆราวาสธรรม 4 กับการใช้ชีวิตคู่ฆราวาสธรรม 4 เป็นหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงให้ไว้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของคนคู่ หรือผู้ครองเรือน1. สัจจะ (ความจริง) = มีความไว้วางใจต่อกัน มีความจริงใจต่อกัน ทั้งทางกาย วาจา ใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง 2. ทมะ (การฝึกตน) = มีความข่มบังคับใจต่อผัสสะที่ไม่น่าพอใจ 3. ขันติ (ความอดทน) = มีความนิ่ง อดทนต่อสิ่งที่เป็นอกุศลธรรม- ความอดทน (ละอกุศลธรรมด้วยสติและปัญญา) ไม่ใช่ ความเก็บกด (เก็บอกุศลธรรม ราคะ โทสะ โมหะ)4. จาคะ (ความเสียสละ) = ยอมให้กัน ลดทิฏฐิมานะ ลดความเอาแต่ใจ เสียสละทั้งสองฝ่าย ประนีประนอมกัน- การครองเรือนไม่ใช่งานง่าย ๆ มีภาระมาก ทุกข์ของผู้ครองเรือนมีมากกว่าการออกบวช- ปัญหาครอบครัว เกิดจากการขาดฆราวาสธรรม 4 ข้อใดข้อหนึ่ง- ยิ่งมีคนในครอบครัวที่เกี่ยวข้องกันมากเท่าไร ยิ่งต้องเพิ่มฆราวาสธรรม 4 ให้มากขึ้นเท่านั้น - หากพยายามปรับตัวแล้ว ให้เวลาแล้ว ไม่ดีขึ้น ก็ลองแยกกันอยู่ ห่างกันสักพัก - ถ้าพิจารณาแล้วครอบครัวไม่มีฆราวาสธรรม 4 อยู่เลย และต้องเลิกกันจริง ๆ เพราะอยู่กับคนพาลไม่ดี ก็ให้เลิกกันด้วยดี ไม่คิดร้าย ไม่พยาบาท   Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q1: นำของจากวัด มาใช้ส่วนตัว บาปหรือไม่A: ต้องแยกประเด็นก่อนว่าสิ่งของนั้น ถวายให้ “สงฆ์” (หมู่, วัด, ไม่เจาะจงบุคคล) หรือ “ภิกษุ” (เจาะจงบุคคล) - กฎของสงฆ์ = หากญาติโยมจะน้อมลาภปัจจัยอันใดอันหนึ่งถวายเพื่อหมู่สงฆ์ ถ้ามีภิกษุบอกให้ถวายแก่ท่านเพียงรูปเดียว ภิกษุรูปนั้นเป็นอาบัติ (ความผิดน้อมลาภของหมู่เข้าสู่ตัวเอง)- รูปแบบการแบ่งสิ่งของของสงฆ์ = ตักอาหารไล่จากภิกษุผู้มีพรรษามากไปหาน้อย, เก็บสิ่งของไว้ในคลังแล้วไปเบิกเมื่อต้องการใช้, จับสลาก- ดังนั้น หากเป็นสิ่งของของหมู่สงฆ์ ถ้าญาติโยมจะเอาไปใช้ ก็ต้องขออนุญาตหมู่สงฆ์ เช่น เจ้าอาวาสผู้ได้รับมอบหมายให้ตัดสินใจแทนหมู่สงฆ์, หมู่สงฆ์เกิน 4 รูป ประชุมกันแล้ว ไม่ใช่ขออนุญาตภิกษุรูปเดียว เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว =ไม่เป็นการถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ = ไม่บาป, ไม่ผิดศีลQ2: ใช้สิ่งของของคนตาย A: สิ่งของของคนตาย = ไม่มีเจ้าของ - คนตายไปแล้วไม่สามารถเรียกร้องว่าเป็นของตนได้อีกต่อไป ตัวอย่าง พระเจ้าปเสนทิโกศล ชี้ว่าสิ่งของนั้นเป็นของปู่ ของพ่อ ซึ่งตายไปแล้วแต่เอาไปไม่ได้ Q3: พระให้ถังสังฆทานA: สังฆทาน = ทานที่ให้แก่หมู่สงฆ์ ไม่ได้ให้เฉพาะเจาะจงบุคคล ไม่จำกัดรูปแบบว่าต้องเป็นถัง- ถ้าภิกษุนั้นได้รับมอบฉันทะจากหมู่สงฆ์ให้สละได้ เช่น เจ้าอาวาส ผู้ได้รับก็เอาไปใช้ได้ จะเอาไปให้ใครต่อก็ได้Q4: นำของที่ได้รับมาไปถวายต่อให้พระA: ทำได้ ผู้ให้ทอดแรกก็ได้บุญด้วยQ5: ใส่บาตร ไม่ใส่น้ำดื่มA: มีอะไรก็ใส่บาตรได้ ใส่เท่าที่มี - บาตร จะใส่ได้เฉพาะของที่กลืนล่วงลำคอเท่านั้น- ผู้ให้ทานแต่ละคน มีความละเอียดประณีตแตกต่างกัน  Q6: ทำบุญไม่เกินตัวA: “คนฉลาดในการให้ทาน จะไม่เบียดเบียนตนเอง ผู้อื่น หรือทั้งสองฝ่าย”- ความบริสุทธิ์ของบุญจากการให้ทานมากน้อย ขึ้นอยู่กับ1. ผู้ให้ = มีศรัทธา มีศีล2. ผู้รับ = มีราคะ โทสะ โมหะ น้อย3. ของที่ให้ = ได้มาโดยบริสุทธิ์- จำนวนเงิน, สิ่งของ ที่ให้ทาน ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักว่าจะได้บุญมากหรือน้อย- การให้ทาน = เป็นไปเพื่อการสละออก ไม่ใช่เพื่อความยึดถือว่าต้องได้ผลของทาน- การสร้างบุญนอกจากการให้ทานแล้ว ยังมีบุญเหล่าอื่น ได้แก่ การรักษาศีล การภาวนา ได้บุญมากกว่าให้ทาน นำไปสู่การอยู่เหนือบุญ เหนือบาป ได้Q7: เรียนภาษาบาลีA: การเข้าใจรูปแบบของภาษาบาลี ทำให้ได้รู้ความคิดของผู้พูด- การเรียน = การฝึกฝนทักษะใหม่ - ถ้าเอื้อเฟื้อรับฟังคำตักเตือนของผู้สอน ด้วยความเคารพหนักแน่น ก็จะสามารถไปได้Q8: ทำงานที่ไม่ชอบ กับคนที่ไม่ชอบA: ต้องตั้งสติไว้ให้มาก เปรียบเหมือนเข้าป่าที่มีหนามเยอะ ต้องระมัดระวังอย่างมาก- ต้องตั้งสติไว้ให้ดี อย่าทำในสิ่งที่เป็นอกุศลธรรม เพื่อตอบโต้สิ่งไม่ดีที่คนอื่นทำ- ตั้งสติโดยนึกถึงลมหายใจ, พุทโธ, กายคตาสติ เป็นต้น- ความชอบในงาน = ปรับจิตเราได้ = อย่าเพลินไปตามสิ่งที่ชอบใจ (ความสบาย) ก็จะสามารถปรับจิตเพื่อการทำงานทั้งที่ชอบและไม่ชอบได้- หลักธรรมที่ทำให้มีความสุขในการทำงาน คือ สังคหวัตถุ 4  1. ทาน = แบ่งปันสิ่งของให้กัน 2. ปิยวาจา = พูดจาดีต่อกัน3. อัตถจริยา = ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน4. สมานัตตตา = เสมอต้นเสมอปลาย ร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่เอาเปรียบ เห็นประโยชน์ส่วนรวมQ9: Social Media กระทบกับการทำงานA: ปิดไปเลย, เอาโทรศัพท์ไปไว้อีกห้องหนึ่ง ให้เข้าถึงไม่ได้ในช่วงเวลานั้น- แบ่งเวลาใช้ Social Media ให้เหมาะสม  Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ช่วงไต่ตามทาง: เป็นประสาท เพราะสามีมีหญิงอื่น- ผู้หญิงท่านหนึ่ง เจอผัสสะที่ไม่น่าพอใจอย่างมาก แบบไม่ทันตั้งตัว จับได้ว่าสามีมีหญิงอื่น เกิดอาการมึน นอนไม่หลับ หัวเราะ ร้องไห้ หลายความคิดเกิดขึ้น คิดวน หาทางออกไม่เจอ จะเป็นประสาทเปรียบเหมือนกับ “ถูกยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษ”- ลูกศรอาบยาพิษ = ตัณหา (ราคะ โทสะ โมหะ)- พิษ = อวิชชา - แผล = ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (ต้องใช้สติ เป็นเครื่องมือตรวจหาว่าลูกศรที่แทงอยู่ตรงไหน)- มีดปาดแผลเอาลูกศรออก = ปัญญาที่มีความคม- บีบหนองที่แผลออก = กำจัดสิ่งไม่ดีออก อย่าไปทำอีก เช่น การด่า การคิดไม่ดี การทำร้ายผู้อื่น- ยาใส่แผล = เจริญศีล สมาธิ ปัญญา เมตตา กรุณา อุเบกขา- ไม่ให้แผลกำเริบ ไม่กินของแสลง ไม่ให้แผลโดนลมโดนแดด = อย่าทำสิ่งที่เป็นอกุศลเพิ่ม และอย่าคิด อย่าคุย อยู่ห่าง ๆ สิ่งที่จะกระตุ้นให้เกิดความโกรธนั้นขึ้นมาอีก- ตัวเรา คือ ผู้ที่รู้ว่าเจ็บตรงไหนได้ดีที่สุด พระพุทธเจ้าให้ยาไว้แล้ว ก็ให้ใส่ยาให้ตรงแผลที่สุด ก็จะหายจากโรค (ความเข้าใจผิด) นี้ได้- ธรรมะรักษานี้ แม้จะต้องเจ็บบ้าง แต่ถ้าไม่รีบรักษา เชื้ออาจลุกลาม จนต้องตัดอวัยวะหรือเสียชีวิต- ทางที่ดี ควรป้องกันไม่ให้ถูกแทงด้วยลูกศรอาบยาพิษแต่แรก โดยสำรวมอินทรีย์ รักษาศีล ไม่เพลิน ไม่หลง เห็นตามความเป็นจริงความรักแบบเมตตาหรือราคะ- “ความรัก” อยู่ตรงไหน ภัยอันตรายอยู่ตรงนั้น เพราะสิ่งที่รักที่พอใจ ย่อมเปลี่ยนแปลงไป ไม่เที่ยง นี่คือความจริง - ต้องมีสติ ทำจิตให้นิ่งเป็นสมาธิ จะเกิดปัญญาเห็นตามความเป็นจริง แยกได้ว่าเป็นความรักแบบเมตตาหรือราคะ ให้ถอนราคะออก เหลือไว้แต่เมตตา - ความจริงเป็นของดี กุศลธรรมเกิดขึ้นได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าสุขเวทนาหรือทุกขเวทนา ก็ให้เข้าใจว่าสุขทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา และเลือกที่จะสร้างสิ่งที่เป็นกุศลช่วงปรับตัวแปรแก้สมการ: สัญญาณบ่งบอกความบ้า1.ทางด้านพฤติกรรม = นอนไม่หลับ นอนมากเกินไป เบื่ออาหาร กินมากขึ้น ใช้จ่ายมากขึ้น หาอบายมุขเพื่อให้เกิดความสุขในตอนนั้น เช่น สุรา บุหรี่ ยาเสพติด เล่นโซเซียลมากเกินไป2. ทางด้านอารมณ์ = เพ้อ อาละวาด เครียดตลอดเวลา หวาดระแวง กังวลใจไปหมด3. ทางด้านความคิด = จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ ตัดสินใจในเรื่องเล็กน้อยไม่ได้ คิดว่าจะมีคนทำร้าย เห็นภาพหลอน ได้ยินเสียงแว่ว คิดทำร้ายตัวเองโรคประสาทมีในทุกคน- คนบ้า คือ คนที่ยังมีราคะ โทสะ โมหะ - จะเกิดความวิปลาส 4 อย่าง 1. เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง2. เห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข3. เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน (อนัตตา) ว่าเป็นตัวเราของเรา4. เห็นสิ่งไม่งาม (อสุภะ) ว่าเป็นของงามราคะ โทสะ โมหะ ทำให้ไม่เป็นตัวเอง ราคะ = ความหิว ความต้องการโทสะ = ความร้อน ความโกรธ ความไม่พอใจโมหะ = ความไม่เข้าใจ ความมึน ความมืดวิธีการกำจัดราคะ โทสะ โมหะ - ใช้สติ = ตรวจหาลูกศรอาบยาพิษ- ใช้ปัญญา = มีดปาดแผลเอาลูกศรออก- ใช้ศีล สมาธิ ปัญญา เห็นตามความเป็นจริง เมตตา กรุณา อุเบกขา = ใส่ยาที่แผลทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ- แผลหาย = กำจัดอวิชชาซึ่งเป็นรากของราคะ โทสะ โมหะ ออกไปจากจิตได้ ไม่วิปลาสอีกต่อไป เป็นผู้ที่พ้นจากความทุกข์ทั้งปวง Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q1: หนังสือสุทธิของพระA: หนังสือสุทธิของพระ เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการบวช เช่น วันที่บวช พระอุปัชฌาย์ วัดที่สังกัด สมณศักดิ์ ข้อมูลทะเบียนราษฎรบางส่วน (เลขบัตรประจำตัวประชาชน มารดาบิดา สัญชาติ) Q2: การรับเงินของพระA: พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ชัดเจนว่า “เงินและทองไม่ควรแก่สมณะ เงินและทองควรแก่ผู้บริโภคกาม”- พระสงฆ์ยินดีในทองและเงินที่เก็บไว้ให้ไม่ได้ เป็นอาบัติ- วิธีที่จะทำให้เกิดความบริสุทธิ์ ความบริบูรณ์ ตามธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ และไม่เป็นการขวางทางบุญของผู้ให้ทาน คือ 1. ญาติโยมสามารถให้เงินไว้กับไวยาวัจกร แล้วบอกว่าเป็นเงินสำหรับปัจจัยสี่ของพระในเรื่องใด ให้ไวยาวัจกรเป็นผู้จัดการดูแลให้ 2. เมื่อพระต้องการปัจจัยสี่ใด ก็ไปบอกไวยาวัจกรให้จัดหาให้ แต่จะไปเบิกเป็นเงินไม่ได้ ไวยาวัจกรก็จะนำเงินที่ญาติโยมให้ไว้นำไปจัดหาสิ่งของนั้นให้พระ Q3: นรกสวรรค์ เป็นสิ่งสมมติ A: อยู่ที่มุมมองต่อสิ่งที่มากระทบ- นรก = การได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในสิ่งที่ไม่น่าพอใจ- สวรรค์ = การได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในสิ่งที่พอใจ- เมื่อมีผัสสะมากระทบ อาจถูกกิเลสบิดเบือนทำให้การรับรู้ของจิตผิดเพี้ยนไปในทางร้อน ทางหิว ทางมืด ตามอำนาจของราคะ โทสะ โมหะได้ - หากไม่มีกิเลส ก็จะเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริงด้วยปัญญาว่า ทุกขเวทนาและสุขเวทนาที่เกิดขึ้น ก็เป็นธรรมดาอย่างนั้น จิตก็จะอยู่เหนือบาป เหนือบุญ เหนือสวรรค์ เหนือนนรก เป็นสภาวะหลุดพ้น (นิพพาน) ซึ่งมรรค 8 เป็นทางที่นำไปสู่ทางหลุดพ้นนี้ได้Q4: ผู้ไม่ถูกนินทา ย่อมไม่มีในโลกA: สุข-ทุกข์ นินทา-สรรเสริญ มีลาภ-เสื่อมลาภ มียศ-เสื่อมยศ (โลกธรรม 8) = เป็นของโลก โลกจะหมุนไป เปลี่ยนแปลงไปอย่างนี้ เดี๋ยวมี เดี๋ยวไม่มี- ถ้าผิดจริงก็ปรับปรุงแก้ไข แต่ถ้าไม่ได้ทำผิด ก็อย่าถือคำด่าคำนินทานั้นเป็นสาระ ให้ทำความดีต่อไปเรื่อย ๆ Q5: ผู้ชี้ขุมทรัพย์A: เรื่องนี้อยู่ในกินติสูตร - ผู้ที่ตักเตือนผู้อื่น เป็นกัลยาณมิตร มีความเป็นผู้นำ มีพรหมวิหาร 4  1. ถ้าพูดเตือน ณ ตอนนั้น แล้วเขาไม่เคือง = ก็พูดตอนนั้นได้เลย 2. ถ้าพูดเตือน ณ ตอนนั้น แล้วเขาจะเคือง = ก็อย่าเพิ่งพูด ให้หาเวลาและวิธีการอื่นที่พูดแล้วเขารับได้ เช่น เวลากินข้าว3. ให้เห็นว่าความขัดเคืองของเขาเป็นเรื่องเล็กน้อย เมื่อเทียบกับการที่เขาจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ = ก็ต้องพูด4. ถ้าพูดเตือนแล้ว เขาจะเคือง และจะไม่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแน่ ๆ = ก็ต้องใช้อุเบกขา- อย่ามีจิตใจที่คิดว่า “เรื่องของเขา เราจะไม่ยุ่ง” อันนี้เป็นโมหะ แต่ให้มีพรหมวิหาร 4 พิจารณาตามลำดับข้างต้น Q6: ไม่ควรไว้ใจในคนไม่คุ้นเคย แม้ในคนคุ้นเคยก็ไม่ควรไว้ใจ A: ไว้ใจ = เพลิน, ประมาท, ถือวิสาสะ ไม่ได้หมายความว่า ไม่เชื่อใจ- ต่อให้เป็นคนคุ้นเคยกัน ก็ต้องระมัดระวัง เกรงใจกัน ไม่ถือวิสาสะ ไม่ประมาท Q7: ลดผลกรรมจากอาชีพฆ่าสัตว์A: ลดผลของกรรม = เพิ่มปริมาณความดี- ให้ทำความดีอย่างอื่น ไม่ประมาทในการให้ทาน ไม่ประมาทในการรักษาศีลข้ออื่น ไม่ประมาทในการเจริญภาวนา และให้ตั้งจิตอธิษฐานที่จะทำมาหากินอย่างอื่นที่ไม่ต้องฆ่าสัตว์ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ช่วงไต่ตามทาง:- ผู้ฟังท่านนี้ เคยเป็นคนมีความสงสัยมาก แต่เมื่อได้ฟังธรรมะจากครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ทำให้มีความเข้าใจมากขึ้น จิตใจเย็นลง ความสงสัยในเรื่องต่าง ๆ จางคลายไป ระงับไป ช่วงปรับตัวแปรแก้สมการ: วิธีคิดที่ไม่มีทางผิด- อปัณณกสูตร การปฏิบัติที่ไม่มีทางผิด เรื่องที่ 1 อุปมาเหมือนลูกเต๋าที่ปรับแต่งถ่วงน้ำหนักไว้แล้ว ยังไงก็ลงด้านนี้ตลอด ใช้เป็นกลโกงในการเล่นพนัน ก็แต่คนดีก็สามารถนำมาวิธีคิดให้ได้เปรียบมาใช้กับสถานการณ์เพื่อให้ตั้งอยู่ในความดีได้ตลอด ไม่เผลอเพลิน มีสติ ทำสิ่งที่เกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเอง ผู้อื่น หรือทั้งสองฝ่าย ทั้งในปัจจุบันและในเวลาต่อ ๆ ไปเรื่องที่ 2 พ่อค้าเดินทางด้วยเกวียนไปค้าขายต่างเมือง ต้องผ่านเส้นทางที่มียักษ์คอยหลอกลวงจับพ่อค้ากิน พ่อค้าเห็นว่าถ้าข้ามไปได้จะค้าขายได้กำไรมาก จึงเตรียมตัวบริหารความเสี่ยงต่าง ๆ เช่น เตรียมน้ำไปให้เกินพอดีนิดหน่อยสำหรับการเดินทาง สั่งลูกน้องไม่ให้ใช้น้ำเกินและอย่าเชื่อคนที่เจอระหว่างทาง ความเสี่ยงสูง แต่คุ้มที่จะทำ- ในทุกเรื่อง ถ้าไม่มีความรู้ ไม่มีปัญญา ก็จะมีความเสี่ยงสูง แต่ถ้าจะเกิดผลตอบแทนที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเอง ต่อผู้อื่น หรือทั้งสองฝ่าย และเกิดประโยชน์ทั้งในเวลาปัจจุบันและในเวลาต่อ ๆ ไปอีก แม้จะมีความเสี่ยงมาก แต่ก็คุ้มที่จะทำ โดยสามารถลดความเสี่ยง ด้วยการเพิ่มความรู้ ลดความยาก ด้วยการเพิ่มความเพียรได้วิธีคิดที่ไม่มีทางผิด1. มีระบบที่จะป้องกันความเสี่ยงล่วงหน้า (มีปัญญา โยนิโสมนสิการ)2. มีระเบียบวินัยที่จะทำตามระบบนั้น (มีวิริยะ มีความเพียร)3. หากเกิดความผิดพลาด ให้รีบแก้ไข4. มีความยืดหยุ่น เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ได้ แต่ต้องไม่เสี่ยงจนเกินไปวิธีคิดในการกระทำมี 2 แบบ 1. ยังไงก็ผิด = เป็นความวิบัติ 3 อย่าง คือ ศีลวิบัติ จิตวิบัติ และทิฏฐิวิบัติ2. ยังไงก็ไม่ผิด = เป็นความถึงพร้อม 3 อย่าง คือ ศีลสัมปทา จิตสัมปทา และทิฏฐิสัมปทาข้อปฏิบัติ 3 อย่าง ที่ไม่มีทางผิด 1. การคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย = สำรวมอินทรีย์ ระวังอย่าให้บาป อกุศลธรรมเกิดขึ้น2. การรู้ประมาณในการบริโภค = อย่ากินมากเกินไป กินพอระงับเวทนา ไม่กินเพื่อเล่น, มัวเมา, ประดับตกแต่ง3. การประกอบความเพียรเครื่องตื่นอยู่เนือง ๆ = ทำความเพียรในการเดินจงกรม นั่งสมาธิ อยู่เป็นประจำ- ถ้ามีความคิดนึกตริตรึกใน 3 เรื่องนี้อยู่เสมอ จะทำให้การปฏิบัติไม่ว่าเรื่องใด มีแต่จะดีท่าเดียว Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q1: พระสูตรภาษาอังกฤษ A: พระสูตร 2 ภาษา (ไทย-อังกฤษ) รับฟังได้ 4 ช่องทาง1. FM 88.00 MHz ทุกวัน เวลา 05.00-05.30 น. 2. Youtube ช่องปัญญาภาวนา รายการ PureDhamma3. Podcast ช่องปัญญาภาวนา รายการ PureDhamma 4. www.panya.org - รายการ Sunday Dhamma talk เดือนละครั้ง ทุกวันอาทิตย์ที่สามของเดือน ทาง FM 88.00 MHz เวลา 08.00 น.  Q2: ค้าขายอาวุธA: สำหรับอุบาสกอุบาสิกา ที่มีจิตใจน้อมตั้งดิ่งอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ควรค้าขาย 5 อย่าง ได้แก่ 1. อาวุธ 2. สัตว์เป็น 3. สัตว์ตาย (เนื้อสัตว์) 4. สุรา 5. ยาพิษ- แม้การค้าขาย 5 อย่างนี้ จะไม่ผิดศีล แต่เป็นไปเพื่อการสนับสนุนให้มีการทำผิดศีล จึงมีส่วนได้รับบาปนั้นด้วย- เพื่อไม่ให้ได้รับส่วนแห่งบาป อันจะเป็นตัวปิดกั้นทางสู่มรรคผลนิพพาน ให้ค้าขายอย่างอื่นหรือทำอาชีพอื่น- ยุทโธปกรณ์ที่ใช้สำหรับป้องกันอาวุธเข้ามาโจมตี ถือว่าเป็นอาวุธเช่นกัน เพราะขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าจะนำใช้ไปทางไหน จึงถือเป็นการค้าขายอาวุธ- การปรับเปลี่ยนความรู้ ความสามารถ เทคโนโลยี ไปในทางไม่เบียดเบียน เกิดประโยชน์กับตัวเองหรือผู้อื่น คือทางที่ถูกต้องQ3:ค้าขายเนื้อสัตว์A: บุญ บาป เป็นคนละบัญชี- การค้าขายเนื้อสัตว์ ไม่ได้ผิดศีล- คนขายเนื้อสัตว์ อย่าทำผิดศีลและสร้างบุญในรูปแบบอื่น เช่น รักษาศีลให้ดี เจริญสมาธิ ทำทาน ค่อย ๆ ลดการเบียดเบียนลง และตั้งจิตอธิษฐานในการเปลี่ยนอาชีพ Q4: การซื้อหุ้นของบริษัทค้าอาวุธA: แบบแรก ซื้อหุ้นแบบวิเคราะห์สถิติ ซื้อมาขายไป = ไม่เป็นการสนับสนุนการค้าอาวุธแบบสอง ซื้อหุ้นแบบพื้นฐาน มองธุรกิจ ผลประกอบการในช่วงมีการรบ คาดว่าจะได้กำไรจึงลงทุน = เป็นการสนับสนุนการค้าอาวุธQ5: เนื้อวัว VS เนื้อหมูA: การฆ่า ไม่ดีทั้งหมด- สัตว์ที่ฆ่า บาปไม่เท่ากัน ดูจากตัวเล็กตัวใหญ่ มีบุญคุณมากน้อย สัตว์นั้นเบียดเบียนมากหรือน้อย- คนที่ค้าขายเนื้อสัตว์ เมื่อรู้ว่าประมาทแล้วแต่ยังออกมาไม่ได้ ก็ต้องไม่ประมาท อาจลดการฆ่าหรือลดกินเนื้อสัตว์บางประเภทQ6: ละความโกรธA: ไม่ควรโกรธใครเลย1. ใช้ “เมตตา” ช่วยละความโกรธ 2. ใช้ “กรุณา” เพื่อยับยั้งการตอบโต้ของเรา, แนะนำเขาให้ดีขึ้น 3. ใช้ “อุเบกขา” หยุดจิตของเราไม่ให้ไปในทางอกุศล ให้ตั้งจิตวางเฉยต่อผัสสะที่มากระทบว่า “สัตว์โลกมีกรรมเป็นของของตน เขาทำกรรมอย่างไร ก็จะได้รับผลอย่างนั้น เขาเบียดเบียนผู้อื่น เขาก็มีกรรมของเขา ถ้าเราเบียดเบียนเขา เราก็จะมีกรรมของเรา อย่ากระนั้นเลย เราก็จะไม่เบียดเบียนใคร”Q7: ภัยธรรมชาติ เกิดจากกรรมใดA: ทุกขเวทนา เกิดได้ด้วยเหตุ 6 ประการ คือ 1. กรรมเก่าของเรา 2.เหตุแห่งดินฟ้าอากาศ 3.กรรมของคนอื่น 4. สุขภาพของเรา 5. เตรียมตัวไม่สม่ำเสมอ 6. กรรมในปัจจุบัน - วิธีปรับจิตให้อยู่กับเวทนาได้อย่างสบายใจ คือ นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วทำสิ่งที่ควรทำ เว้นสิ่งที่ควรเว้น บุญจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาที่อยู่กับทุกขเวทนา เช่น ขันติ อุเบกขา- “เห็นทุกข์ จึงเห็นธรรม” เพราะทุกข์สังเกตได้ง่าย ทำให้ไม่ประมาท แต่สุข ทำให้เพลินได้ง่าย ทำให้ประมาท แต่ทั้งสุขและทุกข์ ต่างก็ตั้งอยู่ดับไปเช่นกัน สุขเวทนาและทุกขเวทนาจึงนำมาซึ่งทุกข์พอ ๆ กัน Q8: ความคิดในจิตสุดท้ายA: จิตสุดท้าย ให้นึกถึงสิ่งที่เป็นกุศลธรรมที่เคยได้ทำ จะนำไปสู่สุขคติ เช่น การทำบุญทำทาน รักษาศีล ดูแลพ่อแม่อย่างดี เคยไปบวชไปปฏิบัติธรรม นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ นึกถึงการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของเรา จะทำให้เป็นผู้มีสติ ไม่ลืมหลง เกิดสมาธิ อย่างน้อยก็ได้เป็นพระอนาคามี มีพรหมโลกเป็นที่ไป- ด้วยจิตสงบ มีสมาธิแล้ว ถ้าพิจารณาให้เกิดปัญญาว่า “ทุกสิ่งเป็นของไม่เที่ยง” ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ ไม่ก่อนไม่หลังความตาย - ขอให้มีสติ ไม่หลง ไม่เพลิน ไม่ประมาท ฝึกจิตให้นึกถึงสิ่งที่เป็นกุศลธรรมอยู่เสมอ นึกถึงความตายวันละหลาย ๆ รอบ เป็นมรณานุสติการนึกถึงความตายด้วยปัญญาอย่างถูกต้อง ก็จะพ้นจากความตายได้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ช่วงไต่ตามทาง: บนบานเพื่อได้ยอดขาย/สอบติด- ผู้ฟังท่านนี้เป็นนักขายประกัน มีศรัทธาตั้งมั่นในพระรัตนตรัย ไม่เชื่อว่าการบนบานจะช่วยเพิ่มยอดขายได้ แต่เพื่อนร่วมวงการไปบนบานแล้วได้ลูกค้าเพิ่ม และลูกค้าของผู้ฟังก็ให้หมอดูก่อนทำประกัน เกิดความลังเลว่าจะไปบนบานบ้างดีหรือไม่ แต่ในใจก็แย้งเพราะมีศรัทธาตั้งมั่นในพระรัตนตรัย - ผู้ฟังอีกท่าน มีศรัทธาตั้งมั่นในพระรัตนตรัย ลูกจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้พาลูกไปบนบานศาลกล่าวที่ใด ต่างกับเด็กคนอื่น- ความมั่นใจอันหยั่งลงมั่นไม่หวั่นไหวในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ สามารถยังประโยชน์ให้ถึงความสำเร็จในชีวิตได้ช่วงปรับตัวแปรแก้สมการ: อธิษฐานสู่ความสำเร็จความงมงาย กับ การอธิษฐาน- งมงาย = ศรัทธาที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา- อธิษฐาน = การตั้งใจมั่นอย่างแรงกล้าที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่เป็นการ “สร้างเหตุ” ที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จ ไม่ใช่อธิษฐานเพื่อขอผลสำเร็จ โดยจะมีเครื่องบูชาหรือไม่ก็ได้ สำคัญอยู่ที่ใจ - การอธิษฐานไม่ใช่การบนบานหรืออ้อนวอนขอร้อง- พระพุทธเจ้าสอนว่า “ถ้าลำพังคนเราจะได้อะไร เพียงจากการอ้อนวอนขอร้องแล้ว จะไม่มีใครเสื่อมจากอะไร” - การอ้อนวอนขอร้องไม่ใช่หลักการของคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยสิ้นเชิง สิ่งที่ท่านให้ทำ คือ “อธิษฐาน”การบูชาสิ่งที่ควรบูชาเป็นมงคลอย่างยิ่ง - การบูชา ไม่ใช่การอ้อนวอนขอร้อง- การบูชาบรรพบุรุษ หรือเทพเจ้า ให้บูชาในคุณความดีให้เข้ามาอยู่ในจิตใจ เช่น ความเมตตากรุณาที่ท่านเลี้ยงดูมา คุณความดีของเทพเจ้า เช่น ความกล้าหาญ ความซื่อสัตย์ ความเพียร - เครื่องบูชา มี 2 รูปแบบ ได้แก่ 1. การให้ทานโดยมีผู้รับ2. การบูชายัญโดยไม่มีผู้รับ- ความเชื่อที่ว่า ยัญที่บูชาแล้วมีผล ทานที่ให้แล้วมีผล เป็นสัมมาทิฏฐิอธิษฐานสร้างเหตุนำไปสู่ความสำเร็จ- ระเบียบวินัย นำไปสู่ความสำเร็จ- วิธีตั้งจิตอธิษฐาน 1. เริ่มต้นให้ตั้งจิตยินดีนึกถึงศีลหรือคุณความดีของสิ่งที่อธิษฐานต่อ เช่น คุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สังฆคุณ 9 ของครูบาอาจารย์ ความดีของเทพเจ้าต่าง ๆ ศีลของพญานาค สังคหวัตถุ 4 ของท้าวเวสสุวรรณ พรหมวิหาร 4 ของท้าวมหาพรหม2. บูชาด้วยสิ่งของต่าง ๆ ที่ไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์3. ให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า “เพื่อให้ได้ผลนี้ ฉันจะสร้างเหตุดังนี้ ไม่ว่าจะมีอุปสรรคใด ก็จะไม่เลิกความเพียรนี้”พระพุทธเจ้าอธิษฐานสร้างเหตุ- การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากที่สุด พระพุทธเจ้าอธิษฐานสร้างเหตุที่ใต้ต้นโพธิ์ความมั่นใจและความศรัทธา- กำลังใจในการทำความเพียร (วิริยะ) = ความมั่นใจ = ความศรัทธา = ความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผลและปัญญา ไม่ใช่งมงาย- ศรัทธา 4 อย่าง ได้แก่1. ศรัทธาในเรื่องของกรรม = กฎแห่งกรรม2. ศรัทธาในผลของกรรม = ผลของกรรมอาจไม่ได้ให้ผลในทันที แต่จะให้ผลในเวลาต่อไป และให้ผลไม่เท่ากัน มากบ้างน้อยบ้าง3. ศรัทธาว่าสัตว์มีกรรมเป็นของของตน = แต่ละคนต้องรับผิดชอบในการกระทำของตน4. ศรัทธาในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า = พุทโธ (ทางพ้นทุกข์มีอยู่) ธัมโม (วิธีปฏิบัติเพื่อให้ถึงความพ้นทุกข์มีอยู่) สังโฆ (ผู้ปฏิบัติแล้วพ้นทุกข์ได้จริงมีอยู่) ให้มีศรัทธาในข้อนี้แบบอจลศรัทธา คือ ศรัทธาเหมือนเสาหินยาว 16 ศอก มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 1 ศอก เป็นเสาหินทั้งแท่งไม่มีรอยต่อ ฝังลงไปในดินลึก 8 ศอก โผล่ขึ้นพ้นดินยาว 8 ศอก ทำมุม 90 องศากับพื้นดิน ตบดินให้แน่นอย่างดี ลมจะไม่สามารถพัดเสานี้ให้สั่นคลอนได้ ผู้ที่มีศรัทธาในข้อนี้อย่างเต็มเปี่ยม สามารถยังประโยชน์ให้ไม่ต้องเกิดอีก เป็นพระโสดาบันเข้าถึงกระแสที่จะเข้าสู่พระนิพพานได้- บุคคลที่มีศีลเต็ม มีศรัทธาเต็ม สามารถยังประโยชน์ในชีวิตนี้ให้สำเร็จได้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q1: ชาวพุทธสายมูA: คนมีที่พึ่งดีกว่าคนไม่มีที่พึ่ง เพราะคนมีที่พึ่ง ยังมีความละอายใจกับการทำไม่ดีต่อสิ่งที่นับถือ แต่คนไม่มีที่พึ่งจะทำไม่ดีได้โดยไม่ละอายใจต่อสิ่งใด - คนมีที่พึ่งไม่ถูกต้อง = ขอให้พ้นทุกข์ด้วยการอ้อนวอนขอร้องต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่การอ้อนวอนขอร้องไม่ใช่วิธีที่ทำให้พ้นทุกข์ได้ เพราะถ้าใช่ โลกนี้จะไม่มีใครเสื่อมจากอะไร ไม่มีคนเจ็บป่วย ซึ่งความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น - คนมีที่พึ่งถูกต้อง = คือ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง แล้วรู้ธรรมะ เห็นธรรมะ ใช้ธรรมะเป็นที่พึ่ง คือ การใช้ตนเป็นที่พึ่ง ทุกข์หนักอยู่ที่ใจ ถ้าจิตใจตั้งไว้ถูกต้อง ก็จะปล่อยวางทุกข์ได้ จิตใจจะเบาลงได้ โดยไม่ต้องอ้อนวอนขอร้องต่อสิ่งใด- อิทธิปาฏิหาริย์ในพระพุทธศาสนามีมาก หลายชั้น แต่ไม่ใช่เรื่องการอ้อนวอนขอร้อง ไม่ได้มีสิ่งใดบันดาล แต่เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจที่เกิดจากอำนาจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ - มรรค 8 (ศีล สมาธิ ปัญญา) ที่เกิดจากการมีศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดในชีวิตได้ ทำกรรมดีก็จะได้ผลดี กรรมนั่นแหละ คือ ปาฏิหาริย์ของการกระทำที่จะให้ผลเกิดขึ้นกับตัวเรา หากเข้าใจได้เช่นนี้ นั่นคือ ปัญญา อภินิหารต่าง ๆ จึงจัดอยู่ในส่วนของปัญญาQ2: ทำบุญใส่ซองให้พระ/ใส่ในบาตร/ตู้บริจาคA: พุทธพจน์ = เงินและทองไม่ควรแก่สมณะ เงินและทองควรแก่ฆราวาสเท่านั้น สมณะไม่ควรยินดีในการรับเงินและทอง แต่สามารถรับปัจจัยสี่ที่ควรแก่สมณะจะบริโภคที่เกิดจากเงินและทองนั้นได้ โดยให้มี “ไวยาวัจกร” ผู้ที่ทำการแทนสงฆ์ - ไวยาวัจกร ต้องเป็นอุบาสก หรือคนทำการในอารามนั้นที่ไม่ใช่ผู้หญิง- เมื่อพระต้องใช้ปัจจัยสี่ที่ควรแก่สมณะจะบริโภคสิ่งใด ก็จะไปบอกไวยาวัจกรให้ช่วยจัดหาให้ ไวยาวัจกรก็จะนำเงินที่โยมทำบุญไปจัดหามาให้พระ- การให้ทาน ต้องหวังเอาบุญ จึงต้องทำต่อเนื้อนาบุญ (ผู้ที่มีราคะ โทสะ โมหะ เบาบาง)Q3: Internet ประตูสู่ความเสื่อมของพุทธศาสนาA: พระพุทธศาสนาเคยเสื่อมจากประเทศอินเดียที่เป็นต้นกำเนิดของศาสนา ทั้งที่สมัยนั้นยังไม่มี Internet แต่เพราะมีมิจฉาทิฏฐิ ทำให้ความเข้าใจที่ถูกต้องค่อย ๆ หายไป- เหตุแห่งความเสื่อมของพุทธศาสนา คือ พระเถระไม่ใส่ใจในการปฏิบัติอย่างจริงจัง ไม่ทรงจำคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้องดีงาม ไม่ได้บอกสอนต่อกันไป สนใจแต่เรื่องชื่อเสียง ลาภสักการะ- เทคโนโลยี เป็นผัสสะรูปแบบหนึ่ง มีการสื่อสารข้อมูล ผัสสะจะเป็นตัวกระตุ้นกิเลส จึงต้องสำรวมอินทรีย์ ตั้งสติไว้ให้ดี- Internet เป็นเครืองมือในการเผยแพร่คำสอนได้Q4: พระเล่น InternetA: ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่การละเล่นอันเป็นข้าศึกต่อกุศลธรรม (กระตุ้นราคะ โทสะ โมหะ) ก็ทำได้ ไม่ผิดศีล ไม่อาบัติ- การผ่อนคลายสำหรับพระสงฆ์ คือ การนั่งสมาธิ ไม่ใช่การดูซีรีส์Q5: ภาระของพระสงฆ์A: ภาระ = ของหนัก - เมื่อบวชเป็นพระ ก็ต้องรับภาระในการทรงจำคำสอนของพระพุทธเจ้า ทำข้อวัตรปฏิบัติต่าง ๆ - สมบัติ/ประโยชน์ที่จะได้รับในพุทธศาสนาก็มีมากเช่นกัน เป็นเรื่องเบาใจ เช่น มีความปล่อยวาง มีจิตสงบ มีปัญญา มีสมาธิ- ต้องมีความคิดแบบม้าอาชาไนย ต่อให้ใครไม่ทำ เราก็จะทำ - เมื่อรับภาระแล้ว ให้มุ่งที่ผลประโยชน์ที่จะได้รับ ก็จะมีกำลังใจในการปฏิบัติQ6: ความผิดพลาดในชีวิตA: ถ้ามองแต่จุดที่ผิดพลาด ก็จะโฟกัสที่จุดนั้น สิ่งนั้นก็จะมีพลัง ทำให้กิเลสเพิ่มขึ้น (ราคะ โทสะ โมหะ เพิ่มขึ้น)- แต่ถ้ามองข้อผิดพลาดนั้นว่า เป็นโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง พัฒนาข้อผิดพลาดให้ดีขึ้น = เป็นสัมมาทิฏฐิ (ราคา โทสะ โมหะ เบาบางลง) เกิดสัมมาวายามะ (ความเพียร) เกิดความแน่วแน่จริง การลงมือทำจริง ข้อผิดพลาดนั้นก็จะเปลี่ยนแปลงพัฒนาให้ดีขึ้นได้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ช่วงไต่ตามทาง: ทำงานที่ใหม่/ที่เดิม- ผู้ฟังท่านนี้ได้รับข้อเสนอจากที่ทำงานใหม่ที่ดีกว่าที่เดิม แต่ก็ลังเลใจเพราะที่ทำงานเดิมก็ดีอยู่แล้ว จึงปรึกษาคนรอบข้าง แต่ก็ได้รับความเห็นต่างกัน จึงตัดสินใจไม่ได้- สภาวะกำกวม กังวลใจ ความสับสน ความไม่แน่ใจ ความไม่มั่นใจ ความเคลือบเคลืองสงสัย เห็นแย้ง เรียกว่า “วิจิกิจฉา”  ช่วงปรับตัวแปรแก้สมการ: ปัญญากับสถานการณ์ที่ยากต่อการตัดสินใจตัวเรา คือ คนที่รู้ตัวเราดีที่สุดว่า สถานการณ์เป็นอย่างไร ต้องการสิ่งไหน จะดำเนินชีวิตไปอย่างไร แต่ที่ตัดสินใจไม่ได้ เพราะจิตของเราไม่ได้ตั้งอยู่ในสถานะที่จะบอกได้ เพราะยังมีความไม่ลงใจ มีความเคลือบแคลงใจ เรียกว่า “วิจิกิจฉา” ซึ่งทางออกของปัญหานั้น คือ “ทางสายกลาง”ทางสายกลาง = มัชฌิมาปฏิปทา องค์ประกอบอันประเสริฐ 8 อย่าง (ศีล สมาธิ ปัญญา)- การตัดสินใจไม่ได้ เป็นมิจฉาสังกัปปะ ยังไม่อยู่ในทางสายกลาง- ความขัดแย้งกันในตัวเอง ต้องใช้ปัญญาเท่านั้นจึงจะเข้าใจ- “ปัญญา” เกิดได้ด้วยการคิดอย่างเป็นระบบตามอริยสัจสี่ (โยนิโสมนสิการ) ด้วยจิตอันเป็นสมาธิ เรียกว่า การพิจารณา เมื่อพิจารณาแล้วก็จะเกิดปัญญาวิธีทำให้เกิดปัญญา (ทำให้จิตว่าง) 2 วิธีวิธีที่ 1 นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ - จิตจะเกิดความสบายใจ เพราะเมื่อเราตริตรึกเรื่องไหน จิตจะน้อมไปในเรื่องนั้น จิตน้อมไปในเรื่องไหน สิ่งนั้นจะมีพลัง- เมื่อเรานึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างถูกต้องดีงาม ประกอบด้วยปัญญา อันเป็นศรัทธาที่ใช่แล้ว เราจะมีปีติสุข คือ ความอิ่มเอิบใจ ความสบายใจเกิดขึ้นในภายใน ความเครียด ความกังวลใจ ภายในใจ ก็จะหยุดลงครู่หนึ่ง ณ จังหวะนั้น เราหยุดความกังวลใจได้ หยุดสิ่งที่ไม่ควรทำได้ และเราก็จะสามารถทำสิ่งที่ควรทำ ควรเจริญ ให้เกิดขึ้นได้ ณ จุดนั้น แล้วก็ต้องรักษาสภาวะแบบนี้ไว้ ก็จะไม่กลับไปกังวลใจอีกวิธีที่ 2 เจริญพรหมวิหาร 4 - เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาวิธีพิจารณาสถานการณ์ที่ยากต่อการตัดสินใจ- เมื่อจิตสงบแล้ว ให้ยกเอาสิ่งสถานการณ์ที่เป็นปัญหาขึ้นมาพิจารณา ทีละทางเลือก ด้วยจิตอันสงบ แล้วสังเกตดูจิตของเราว่าแจ่มใสขึ้น หรือเศร้าหมองลง ร้อนหรือเย็น ทำ 3 ครั้ง 3 วัน จดไว้ แล้วตัดสินใจตามนั้น อย่าเปลี่ยนการตัดสินใจอีก เดินหน้าอย่างเดียว- การตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ทุกข์ก็มี สุขก็มี ต้องเจอปัญหา ปรับตัว ให้มีการพัฒนา บ่มเพาะให้จิตใจมีความเข้มแข็ง เรียนรู้จากประสบการณ์ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q1: พระสงฆ์ สีกา กับ วิกฤติแห่งศรัทธาA: พระพุทธเจ้าบัญญัติ “พระวินัย” เพื่อให้คนที่ยังไม่มีศรัทธา ให้มีศรัทธา ให้คนที่มีศรัทธาอยู่แล้ว ให้มีศรัทธามากยิ่งขึ้น เพราะมีพระวินัย พระพุทธศาสนาจึงดำรงมาได้จนถึงทุกวันนี้แง่มุมที่ 1 = เป็นเรื่องที่ดี ที่อุบาสก อุบาสิกา ในปัจจุบัน ยังมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า พฤติกรรมเสพเมถุนของพระสงฆ์กับสีกาในข่าว เป็นสิ่งไม่ดี ซึ่งเป็นกระบวนการป้องกันการประพฤติมิชอบในศาสนาแง่มุมที่ 2 = ความมหัศจรรย์ของธรรมวินัย จะมีกระบวนการกำจัดคนไม่ดีออกไป คนทุศีล จะอยู่ไม่ได้ พระพุทธเจ้าเปรียบไว้ เหมือนทะเลจะไม่อยู่รวมกับซากศพหรือเศษสิ่งของ ที่จะถูกพัดให้เกยตื้นขึ้นฝั่งเสมอ แง่มุมที่ 3 = การปล่อยให้คนไม่ดีอยู่ในหมู่สงฆ์ ก็จะดึงคนอื่นไปไม่ดีด้วย (อ้างได้ว่าคนอื่นก็ทำ) ดังนั้น การตัดคนไม่ดีออกจากระบบ จะทำให้คนอื่นไม่ถูกดึงไปในทางเสื่อมด้วย - เรื่อง อาบัติ ไม่ได้มีไว้เพื่อเพ่งโทษ แต่เป็นกรอบเพื่อแยกแยะเรื่องดี เรื่องไม่ดี ถ้าไม่ดี ก็ให้แก้ไขปรับปรุง- อาบัติหนัก = การกระทำที่ผิดพลาด ซึ่งมีกระบวนการแก้ไขได้ยาก เช่น อาบัติสังฆาทิเสส (ต้องติดคุกพระ 6 วัน และต้องนิมนต์พระ 20 รูป มาเพื่อรับฟัง และแก้ไข), อาบัติปาราชิก (เช่น เสพเมถุน ขโมยของ ฆ่ามนุษย์ อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน ต้องขาดจากความเป็นพระ)- แม้อาบัติหนัก จะแก้ไขได้ยากหรือแก้ไขไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ตกนรกเสมอไป ถ้าปรับปรุงตนเองเป็นฆราวาส รักษาศีล 8 อย่างดี หรือบวชเป็นเณร รักษาศีล 10 อย่างดี ก็สามารถบรรลุธรรมได้แง่มุมที่ 4 = คำว่า “สีกา” มาจาก อุบาสิกา, คำว่า “ประสก” มาจาก อุบาสกแง่มุมที่ 5 = จุดเกิดการแก้ไขปรับปรุงตน คือ ตนเตือนตน, คนอื่นเตือนตน, โดนโพสต์ลงโซเซียล, ถูกองค์กรวินิจฉัย, ตกนรกแง่มุมที่ 6 = การทำผิดศีล เกิดจาก “กิเลส” ล่อลวง ด้วยชื่อเสียง ทรัพย์สมบัติ เพศตรงข้าม แง่มุมที่ 7 = โทษของการศรัทธาในตัวบุคคล 5 อย่าง 1. เสียความเลื่อมใส 2. ติเตียน 3. เสียใจ 4. เสื่อมจากสัทธรรม 5. เสื่อมศรัทธา - “ศรัทธา” จึงต้องประกอบด้วย “ปัญญา” เสมอ กล่าวคือ ศรัทธาในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า (ไม่ใช่ตัวพระพุทธเจ้า) (พุทโธ) ศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้า (ธัมโม) และศรัทธาในการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ของพระสงฆ์หรือใครก็ได้ (สังโฆ)- ปัจจุบัน พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยังคงมีอยู่ ไม่ได้หายไปไหน หากเห็นด้วยปัญญาเช่นนี้ นั่นคือ อจลศรัทธา เป็นศรัทธาที่ไม่หวั่นไหว ไม่คลอนแคลนQ2: การลาสิกขาA: การลาสิขา จะสำเร็จประโยชน์ต่อเมื่อ มีบุคคลที่เป็นพระสงฆ์ (ที่ไม่ปาราชิก) คนเดียว รับฟังว่า จะไม่อยู่เป็นพระแล้ว ขอลาสิกขา เพียงเท่านี้ ทำที่ไหนก็ได้ - ถ้าอาบัติปาราชิก บวชใหม่เป็นพระไม่ได้ แต่บวชเป็นเณรได้ ถ้าอาบัติอื่น บวชใหม่เป็นพระได้- เรื่องเบาใจในศาสนานี้ยังมีอยู่ เช่น การเจริญเมตตา ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเจริญพรหมวิหาร 4 แม้ชั่วลัดมือเดียว ก็ได้ชื่อว่าทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่เหินห่างจากฌานแล้ว จะมีนิพพานเป็นที่สุดจบได้นั่นเองQ3: ข้อปฏิบัติของพระสงฆ์ต่อสีกาA: พระวินัย บัญญัติไว้แล้ว เช่น อย่ามอง, อย่าคุย, ถ้าต้องคุย ให้คุยเรื่องธรรมะ และห้ามเกิน 6 คำ, ถ้าต้องคุยเกิน 6 คำ ต้องมีผู้ชายอื่นอยู่ด้วย, ห้ามอยู่สองต่อสองในที่ลับหู ลับตา, ถ้าต้องอยู่สองต่อสองในที่ลับหู ลับตา หรือไม่ลับตา แต่ลับหู ก็ต้องยืน ห้ามนั่ง - ให้รักษาศีล ตรวจสอบตนเองอยู่เป็นประจำ สำรวมอินทรีย์ ไม่ประมาท ในธรรมวินัยนี้ เป็นคำสอนสำหรับผู้ตั้งเจตนาดี มีปัญญา มีศรัทธา รู้จักแก้ไขปรับปรุงตัว ก็จะไม่เสีย มีแต่เจริญ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ช่วงไต่ตามทาง: ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง- ผู้ฟังท่านนี้เป็นข้าราชการ ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง เพราะคนที่อาวุโสน้อยกว่า ความสามารถน้อยกว่า แต่มีเส้นสาย ได้รับการเลื่อนตำแหน่งข้ามตนเองไป แต่ผู้ฟังท่านนี้ก็อดทน ไม่โกรธ ตั้งใจทำงานต่อไปอย่างดี ต่อมา หัวหน้าแผนกอื่นเห็นความสามารถจึงชักชวนไปอยู่ที่ส่วนงานอื่น ท้ายที่สุด ผู้ฟังท่านนี้ก็ได้เลื่อนตำแหน่งและทำงานด้วยความสุขใจ- การที่เราตั้งอยู่ในความดี รักษาความดีของตนไว้อยู่ตลอด ปรับปรุงแก้ไขตนเองให้ดีอยู่เสมอ เป็นกุศลกรรม เป็นประโยชน์ แม้จะมีสิ่งที่ไม่น่าพอใจเกิดขึ้นบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ความดีนั้นจะให้ผลแน่นอน แต่อาจออกมาในรูปแบบอื่นที่ไม่คาดคิดได้ช่วงปรับตัวแปรแก้สมการ: วิธีรับมือกับสิ่งไม่น่าพอใจ 5 ประการ- เมื่อพบเจอสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ต้อง “มีสติ” รู้ว่าความไม่น่าพอใจเกิดขึ้นแล้ว จากนั้นให้ทำวิธีใดวิธีหนึ่งใน 5 วิธีนี้ เพื่อทำให้จิตใจตั้งอยู่ในกุศลธรรม กำจัดอกุศลธรรมออกไปจากใจ  - วิธีที่ 1 คิดเรื่องอื่น = ให้คิดเรื่องอื่นในทางสว่าง ไม่ใช่ทางที่ผิดศีล ตัวอย่าง กรณีนางปฏาจารา กรณีนางวิสาขา - วิธีที่ 2 เห็นโทษของสิ่งที่ไม่น่าพอใจนั้น = ให้ละอกุศลธรรมในใจทันที ด้วยการเห็นโทษของสิ่งนั้น เช่น โทษของความโกรธ คือ ผิวพรรณไม่งาม นอนไม่เป็นสุข ได้รับความเสื่อม มีโภคทรัพย์น้อย ความไม่ดีเกิดขึ้นกับตน เสื่อมจากมิตร - วิธีที่ 3 ไม่นึกถึงเรื่องที่ไม่น่าพอใจนั้นเลย = เอาจิตไปเข้าสมาธิแทน ตัวอย่าง กรณีพระมหาปันถก- วิธีที่ 4 มองแง่มุมอื่นที่เป็นกุศล = ตัวอย่าง กรณีพระปุณณะ ไปอยู่ที่เมืองสุนาปรันตะ กรณีเศรษฐีตีนแมว- วิธีที่ 5 อดทนต่อสิ่งที่ไม่น่าพอใจ = เช่น การนั่งสมาธิ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q1: หลักธรรมนำองค์กรสู่ความสำเร็จA: หัวหน้าต้องมีสังคหวัตถุ 4 = ธรรมะที่จะประสานหมู่ชนให้สามัคคีกันได้    1. ทาน = ให้ เสียสละ แบ่งปัน    2. ปิยวาจา = พูดจาดีต่อกัน ไม่ทิ่มแทง ไม่พูดคำหยาบ   3. อัตถจริยา =ประพฤติประโยชน์ ช่วยเหลือกัน   4. สมานัตตตา = มีตนเสมอกัน นัยแรก เสมอต้นเสมอปลายในทาน ปิยวาจา และอัตถจริยา นัยสอง มีเป้าหมายร่วมกัน นัยสาม มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ขององค์กรเช่นเดียวกับผู้อื่น- หัวหน้าต้องมีพรหมวิหาร 4 = ธรรมะเพื่อการรักษาความเป็นผู้ใหญ่ของตน (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา)- บุคคลในองค์กรต้องมีอิทธิบาท 4 = ธรรมะเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา)Q2: ทำงานอย่างไรให้จิตใจเป็นสุขA: งานทุกอย่างสามารถสร้างกุศลธรรมให้เกิดขึ้นในงานนั้นได้ (ยกเว้นงานที่ทำผิดศีล) เช่น สร้างความดี รักษาศีล ทำสังควัตถุ 4 เจริญอิทธิบาท 4 มีพรหมวิหาร 4 เป็นต้น ให้ตั้งความพอใจไว้ตรงนี้ ก็จะเกิดสันตุฏฐี = ความสันโดษ (พอใจในสิ่งที่มี ไม่ไปตามอำนาจความอยาก) ทำให้รักษาจิตให้เป็นสุขได้ ส่งผลให้เจริญอิทธิบาท 4 ได้ดียิ่งขึ้น ก็จะนำไปสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงานได้ Q3: การทำงานเป็นทีมA: นอกจากสังคหวัตถุ 4 แล้ว ต้องมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นด้วย- หัวหน้าต่อลูกน้อง (ตามหลักทิศ 6) = ให้ของที่มีรสประหลาด ให้ทำงานตามกำลัง มีรางวัลวันหยุด ดูแลยามเจ็บไข้- ลูกน้องต่อหัวหน้า (ตามหลักทิศ 6) = ทำงานเต็มที่ ไม่ถือเอาทรัพย์ที่เจ้านายไม่ได้ให้ มาทำงานก่อน เลิกงานทีหลัง Q4: ธรรมะสำหรับชีวิตคู่A: ฆราวาสธรรม 4 = ธรรมะสำหรับผู้ครองเรือน1. สัจจะ (ความจริง) = นัยแรก ให้ความจริงต่อกัน นัยสอง เห็นความจริงของโลก (อริยสัจ, อนิจจัง, อนัตตา)2. ทมะ (การฝึกตน)) = ฝึกข่มบังคับใจตน ปรับเปลี่ยนตนเอง3. ขันติ (ความอดทน) = อดทนต่อสิ่งที่ไม่น่าพอใจ พฤติกรรมที่ไม่ชอบ 4. จาคะ (ความเสียสละ) - ความรักด้วยราคะ = ต้องการเงื่อนไขตอบแทน- ความรักด้วยเมตตา = ไม่ต้องการเงื่อนไขใดตอบแทน ไม่มีประมาณ ไม่มีขอบเขต- ความอดทนที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของราคะซึ่งอยู่ไม่นิ่ง ความอดทนนั้นจะอยู่ได้ไม่นาน ทนได้แค่ไหน ก็อยู่ด้วยกันได้เท่านั้น - แต่ความอดทนที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเมตตา ความอดทนนั้นจะตามมาด้วยพรหมวิหาร 4 ข้ออื่น รวมถึงอุเบกขา- สามีภรรยาไม่สามารถเปลี่ยนอีกฝ่ายให้เป็นในแบบที่ “อยาก” ให้เป็นได้ จึงต้องฝึกจิตใจให้มีความมั่นคง จึงจะอดทนได้มาก หากมีความอยากมาก จิตใจก็จะไม่มั่นคง Q5: ภรรยา 7 ประเภท และหน้าที่ของสามีA: ภรรยา 7 ประเภท1. ภรรยาเสมอด้วยเพชฌฆาต = จ้องทำร้ายสามี2. ภรรยาเสมอด้วยโจร = ขโมยของสามี, มีชู้3. ภรรยาเสมอด้วยเจ้านาย = ชอบออกคำสั่งกับสามี4. ภรรยาเสมอด้วยแม่ = คอยดูแล เตือนสามี 5. ภรรยาเสมอด้วยพี่สาวน้องสาว 6. ภรรยาเสมอด้วยเพื่อน7. ภรรยาเสมอด้วยทาสี- ข้อ 1-3 ไม่ดี ทำให้จิตใจตั้งอยู่ในทางอกุศล- ข้อ 4-7 ดี ทำให้จิตใจตั้งอยู่ในทางกุศล- หน้าที่ของสามีต่อภรรยา 5 ประการ1. ยกย่องภรรยา 2. ไม่ดูหมิ่นภรรยา 3. ไม่ประพฤตินอกใจ 4. มอบความเป็นใหญ่ในหน้าที่ให้ 5. ให้เครื่องประดับ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Mindset ที่นำไปสู่ความสำเร็จ1. แยกแยะประโยชน์และโทษ = ทุกสิ่งล้วนมีทั้งประโยชน์และโทษ มากน้อยไม่เท่ากัน ต้องเรียนรู้ให้ทัน ลงมือทำให้เร็ว ปรับเปลี่ยนให้ไว อย่ากลัวความผิดพลาด เพราะความผิดพลาดจะนำไปสู่การแก้ไขให้เกิดการพัฒนาได้ และต้องลงมือทำบ่อย ๆ อย่าคิดว่าทุกอย่างต้อง Perfect จึงไม่ลงมือทำ การปรับปรุงตนเองเพียงวันละ 1% นำไปสู่การพัฒนาตัวเองได้ - ตัวอย่าง พิษของงู นำมาทำเป็นเซรุ่ม - ตัวอย่าง AI มีโทษทำให้มนุษย์ไม่ได้ใช้ความคิดและมีปัญหาปฏิสัมพันธ์กับคน แม้ AI จะมีโทษ แต่ถ้าเข้าใจโทษของมันแล้ว อยู่กับโทษของมันให้ได้ พยายามลดโทษและพยายามสร้างประโยชน์จาก AI ก็จะได้รับประโยชน์2. อย่ารักใครมากเกินไป อย่าเกลียดใครมากเกินไป = คนเราเปลี่ยนแปลงได้ อย่าไปยึดติด ความรักเป็นราคะ ความเกลียดเป็นโทสะ ต้องมีสติสัมปชัญญะ พิจารณาให้เห็นด้วยปัญญา เจริญพรหมวิหาร 4 3. รู้จักปฏิเสธ = งานมาก ทางเลือกมาก ต้องเลือกให้ดี รู้จักปฏิเสธบ้าง จัดลำดับความสำคัญของงานให้ถูกต้อง ให้จิตใจมาจดจ่ออยู่กับงานที่สำคัญ4. กินอาหารพอประมาณ = อย่ากินอาหารเต็มที่ ให้กินแค่ 80% ของท้อง อย่ากินบ่อย เพราะมีสารพิษในอาหารมาก มีเมนูมาเชิญชวนมาก ทำให้เกิดความมัวเมา เป็นทาสของอาหาร นำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ที่เกิดจากพฤติกรรมการกิน เช่น โรคกลุ่ม NCDs (เบาหวาน ความดัน หัวใจ ฯลฯ) เป็นต้น 5. นอนเป็นเวลา = ตั้งเวลาเข้านอน ดีกว่าตั้งเวลาตื่น Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q1: แก้ความขัดแย้ง ด้วยสันติวิธี A: ต้องทำลายข้อจำกัดของแต่ละฝ่าย ด้วยการอยู่เหนือข้อจำกัดเหล่านั้น - สันติวิธี คือ   1. ตั้งสติ = ไม่เผลอเพลินไปตาม “อารมณ์” ชอบใจหรือไม่ชอบใจ มีความอดทนไม่ไปตามการยั่วยุ จะทำให้การตัดสินใจเป็นไปด้วย “เหตุผล”  2. มีพรหมวิหาร 4 = โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เมตตา” และ “อุเบกขา”  3. ไม่ทำผิดศีล = เช่น ไม่ฆ่า ไม่พูดโกหก- การพูดปลุกกระแสให้มีความสามัคคีกัน เป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ถ้าพูดเพื่อให้เกลียดอีกฝ่ายหนึ่ง จะเป็นวาจาที่ยุยงให้แตกกัน อย่าให้เป็นอย่างนั้นQ2: รักษาศีลแล้ว จะกินอะไร?A: คนเรามักจะอ้างว่าจำเป็นต้องทำผิดศีล ถ้าไม่ทำผิดศีลแล้ว จะเอาอะไรกิน? - คำตอบคือ ก็กินศีลที่คุณรักษานั่นแหละ - วิธีกินศีลให้อิ่ม คือ ให้ศีลที่รักษาไว้ออกผล  1. ถ้าเรารักษาศีล ศีลจะรักษาเรา = เช่น มีความสุขกาย สุขใจ ไม่ทุกข์ในโรคภัยไข้เจ็บ ครอบครัวไม่แตกแยก  2. เมื่อมีศีล จะตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง = แม้เจอผัสสะที่ไม่น่าพอใจ (เช่น ยอดขายตก) แต่เมื่อนึกถึงศีลแล้ว การตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ จะดีขึ้น จิตใจจะดีขึ้น เมื่อจิตใจดี มีความมั่นคงแล้ว จะสามารถตัดสินใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งการตัดสินใจนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนแปลงของชีวิต เช่น ได้อาชีพใหม่ที่ไม่ผิดศีล ปัญหาในครอบครัวก็จะดีขึ้น ปัญหาต่าง ๆ ก็จะคลี่คลาย Q3: ลืมแก้บน A: หลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ไม่มีการอ้อนวอนขอร้อง หรือการบนบานศาลกล่าว มีแต่การตั้งเจตนา ตั้งอธิษฐาน ตั้งใจมั่นอย่างแรงกล้าที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เกิดความสำเร็จ การตั้งเจตนาต่อหน้าพระพุทธรูปหรือสิ่งที่เคารพ ก็เพื่อให้เกิดความละอายที่จะล้มเลิกการสร้างเหตุนั้นกลางทาง- ถ้าเคยบนบานศาลกล่าวไว้แต่จำไม่ได้ แล้วไม่สบายใจ ก็ทำตามที่บนในจุดที่สบายใจ ณ เวลานั้น แล้วกลับมาอยู่ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องว่าไม่มีการอ้อนวอนขอร้องหรือบนบานศาลกล่าว แต่ให้ตั้งเจตนา อธิษฐานสร้างเหตุในการที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ- มีศรัทธา มีความเพียรแล้ว ต้องมีปัญญาด้วย ก็จะไม่งมงาย ไม่ถูกหลอกQ4: ชอบเช่าพระเครื่อง A: เช่าพระมาหลายองค์ มีคนถามว่าตอนนี้ห้อยพระกี่องค์ แล้วองค์ที่เหลือจะห้อยตอนไหน คิดได้ จึงเลิกเช่าพระ = เกิดปัญญา เพราะมีกัลยาณมิตรให้เกิดกัลยาธรรมQ5: ทุกสิ่งในโลก เป็นสิ่งสมมติA: ทุกสิ่งในโลก เป็นสิ่งสมมติ - สิ่งสมมติทั้งหลาย เกิดจากการปรุงแต่งของจิต - เมื่อเกิดความเพลิน ความพอใจ ในสิ่งสมมตินั้นแล้ว จะเกิดอุปาทาน (ความยึดถือ) - เมื่อสิ่งที่ยึดถือนั้นเกิดเปลี่ยนแปลงไป ก็จะเกิดความทุกข์ทันที - ดังนั้น ความทุกข์จึงเกิดจากความยึดถือ ยึดตรงไหน ทุกข์ตรงนั้น- ทางแก้ = ไม่ใช่การกำจัดกองทุกข์ แต่ต้องกำจัดความยึดถือ ด้วยการเจริญศีล สมาธิ ปัญญา  Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ช่วงไต่ตามทาง: สุนัขตาย- ความรัก ความชอบใจ ในสิ่งใด เป็นความเพลิน เป็นอุปาทาน (ความยึดถือ) จิตที่ยึดถือไว้กับสิ่งใด สิ่งนั้นจะเป็นตัวตน (อัตตา) ขึ้นมาทันที เมื่อสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไป ต้องพลัดพรากจากสิ่งนั้น จิตจะถูกฉีกออก แหวกออก กระชากออก จึงเกิดความรู้สึกที่เป็นความทุกข์ขึ้น- ความยึดถือที่เป็นผลจากความทะยานอยาก อันเกิดจากความกำหนัดด้วยอำนาจแห่งความเพลิน ซึมซาบเข้ามาสู่จิต โดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะถูกอวิชชาบังไว้ ทำให้ตัณหาคืบคลานเข้ามา ทำให้จิตมีทุกข์- อวิชชา เปรียบเหมือนยาพิษ ตัณหา ความทะยานอยาก ความยึดถือ เปรียบเหมือนลูกศร แทงเข้ามาในใจ- ทางแก้ คือ ต้องถอนลูกศรออก ด้วยการตั้งสติไว้อยู่กับพุธโธ ธัมโม สังโฆ ลมหายใจ พิจารณากาย เป็นต้น และถอนยาพิษ ด้วยวิชชา (ความรู้) โดยใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ทุกคนต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ที่พอใจ ทั้งสิ้น สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วย่อมมีการแตกดับไปเป็นธรรมดา เมื่อเกิดปัญญาเช่นนี้ อวิชชาจะคลายลง ความทุกข์ ความเศร้าโศกก็จะลดลง ช่วงปรับตัวแปรแก้สมการ: ปัญหากับประเทศเพื่อนบ้าน- หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อเราถูกกระทำ (ด้วยอกุศลธรรม) อย่ากระทำต่อ (ด้วยอกุศลธรรม) เราจะแย่กว่า เพราะเปลี่ยนจากดีกลายเป็นไม่ดี การเอาความชั่วเข้าห้ำหั่นกับความชั่วมันง่าย แต่จบยาก ความชั่วจะยิ่งเพิ่มขึ้น เหมือนทำความสะอาดพื้นสกปรก ด้วยสิ่งสกปรก- ปัญหากับประเทศเพื่อนบ้าน1. ให้เรารักษาเขตแดนทั้งภายนอก (แผ่นดิน) และเขตแดนภายใน (จิต) ของเราไว้ให้ดี กล่าวคือ ให้รักษากุศลธรรมทางกาย (ไม่ฆ่า) ทางวาจา (พูดจาดี) ทางใจ (ไม่พยาบาท) ตัวอย่าง พระเจ้าวิฑูฑภะรบกับพวกเจ้าศากยะ โดยพวกเจ้าศากยะฝึกซ้อมรบไว้เพื่อป้องกันแต่จะไม่ฆ่า เช่น ยิงธนูป้องกัน หรือฟันไม่ตาย2. เปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตร ด้วย “สังคหวัตถุ 4” คือ 1. ทาน 2. ปิยวาจา (พูดจาดี) 3. อัตถจริยา (ประพฤติประโยชน์แก่กัน) 4. สมานัตตตา (วางตนสม่ำเสมอ)3. ใช้พรหมวิหาร 4 (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) เพื่อหาทางออก - สงครามทั้งหลายที่ลงกันไม่ได้ เพราะต่างฝ่ายต่างถือในเหตุผลของตน แต่หากยอมลดเงื่อนไขลงหรือไม่มีเงื่อนไขเลย สถานการณ์ก็จะคลี่คลายได้ ทางออกของปัญหาก็จะปรากฏขึ้น- พรหมวิหาร 4 ให้ได้โดยไม่มีเงื่อนไข ไม่มีประมาณ และไม่มีขอบเขต จะทำให้จิตใจของอีกฝ่ายอ่อนลง จะมองเห็นทางออกของปัญหาได้ แต่ต้องระวังเรื่อง "เมตตาเสือตกบ่อ" ที่เมตตาต้องมาพร้อมกับอุเบกขาด้วย 4. “ไม่ประมาท” ในเรื่องข่าว (ตามกระแสเกินไป, ปล่อยชะล่าใจเกินไป) การเตรียมพร้อมเพื่อป้องกันตัว (คน, สิ่งของ, อาหาร, ยุทโธปกรณ์)5. ใช้วิธีทางการทูตมากกว่าวิธีทางการทหาร (รบราฆ่าฟัน) ถ้าคุยกันไม่ได้ให้หยุดไว้ก่อน อย่าตัดสินใจด้วยอารมณ์ (ราคะ โทสะ โมหะ) หากทั้งสองฝ่ายเจรจากันด้วยจิตที่มีราคะ โทสะ โมหะ เบาบาง มีสติสัมปชัญญะ ประกอบด้วยเมตตาและอุเบกขาแล้ว จะรักษาทั้งสองฝ่ายได้ เปลี่ยนความขัดแย้งให้เป็นความสามัคคีได้ เปลี่ยนทางตันให้เป็นทางออกได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ ทั้งสองฝ่ายก็จะตกเป็นเครื่องมือของกิเลส ไม่มีใครชนะ แพ้ทั้งคู่ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q1: การถวายเงินให้พระA: การถวายเงินให้วัด หากตั้งจิตเจาะจงให้กับหมู่สงฆ์ (หมู่แห่งผู้ฟังคำสอน ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ) ถือเป็นการตั้งเจตนาไว้ดีแล้ว แม้พระสงฆ์ผู้รับไว้แทนจะเป็นพระทุศีล อานิสงส์ผลบุญที่เกิดจากการให้ทานนั้น ยังให้ผลเท่าเดิม- พระพุทธเจ้าทรงเปรียบศาสนาพุทธเหมือนทะเลด้วยอุปมา 8 ประการ หนึ่งในนั้น คือ อุปมาเหมือนทะเลจะไม่อยู่ร่วมกับซากศพ เศษซากต่าง ๆ จะถูกพัดขึ้นฝั่งทั้งหมด คนที่ทำไม่ดีในคำสอนนี้จะอยู่ไม่ได้ จะต้องถูกซัดออกจากศาสนาQ2: ทำบุญชาตินี้ หวังผลชาติหน้าA: การมองการณ์ไกลด้วยปัญญา คือ การมองเห็นอนาคตว่ายังต้องเจอทุกข์จากความแก่ เจ็บ ตาย รวมถึงชาติหน้ายังต้องเกิดแล้วเจอแบบนี้อีก ไปอีกหลายชาติ เมื่อเห็นดังนี้จะคิดต่อไปว่า วันนี้จะทำอะไร เพื่อให้เมื่อความแก่ เจ็บ ตาย มาถึงแล้ว จะยังเป็นผู้ที่ผาสุกอยู่ได้ จะทำอย่างไรไม่ให้ไปเกิดในชาติหน้าอีก- ให้สร้างเหตุปัจจัยในการทำความดี (ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา) แล้วตั้งจิตอธิษฐาน (ตั้งใจมั่นอย่างแรงกล้าที่จะทำเหตุนั้น ไม่ใช่การอ้อนวอนขอร้อง) ทั้งนี้ การให้ผลของบุญอาจใช้เวลา ระหว่างนั้นให้สร้างเหตุในการทำความดีต่อไปเรื่อย ๆ Q3: การเล่นหวยA: หลักในการใช้จ่ายทรัพย์ (สมชีวิตา) รายรับต้องท่วมรายจ่าย อย่าให้รายจ่ายท่วมรายรับ โดยใช้จ่ายใน 4 อย่าง 1. เลี้ยงตน เลี้ยงครอบครอบครัวให้เหมาะสม 2. ใช้จ่ายเพื่อการรักษา (เปลี่ยนเป็นสินทรัพย์อย่างอื่นที่ไม่สูญหาย, ลงทุน) 3. แบ่งปันเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น 4. แบ่งปันเพื่อหวังบุญ (ทำบุญกับเนื้อนาบุญ)- อบายมุข (รูรั่วของทรัพย์) ได้แก่ 1. นักเลงสุรา 2. นักเลงการพนัน 3. นักเลงเจ้าชู้ 4. มีเพื่อนชั่ว- ซื้อหุ้นต่างกับซื้อหวย เพราะซื้อหวย ตอนออกรางวัลเราควบคุมไม่ได้ แต่การซื้อหุ้น เราควบคุมผลตอบแทนได้ว่าจะขายเท่าไรQ4: ตู้ชำระหนี้สงฆ์A: ตู้ชำระหนี้สงฆ์ = เพิ่งมีในสมัยนี้ มีที่มาจาก ญาติโยมไปวัด ใช้ของวัด ดินทรายติดเท้าออกมา เหมือนเอาของวัดออกจากวัด จึงอยากชำระคืนวัด - ญาติโยมไม่ควรยินดีกับการถวายเงินให้พระสงฆ์โดยตรง เพราะจะทำให้ศีลหรือคุณธรรมของท่านลดลง ไม่ถูกต้องตามพระวินัย พระสงฆ์รับเงินเองไม่ได้ จะทำให้ศีลของพระรูปนั้นเสื่อมลง ผู้ทำบุญก็จะได้บุญลดลง แต่ควรยินดีให้พระรูปนั้นมีศีลบริบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยมอบให้ไวยาวัจกร ผู้ทำหน้าที่แทนในการจัดทำปัจจัย 4 ให้ควรแก่สมณะที่จะบริโภคต่อไป บุญก็จะเกิดขึ้นกับผู้ทำบุญ Q5: การวางตัวของผู้หญิงกับพระA: ศีลของพระเพื่อป้องกันผู้หญิง เช่น พระสงฆ์จะอยู่สองต่อสองกับผู้หญิงไม่ได้ ต้องมีตาคู่ที่สามอยู่ด้วย ถ้าจะแสดงธรรม ต้องมีบุรุษผู้รู้เดียงสาอยู่ด้วย และแสดงธรรมได้ไม่เกิน 6 คำ แตะต้องกายหญิงไม่ได้- การอยู่ในที่ลับหู เช่น โทรศัพท์ ก็ควรให้มีหูคู่ที่สามอยู่ด้วย หรือบันทึกเสียงเอาไว้ หรือเปิด speaker phone ให้อีกคนฟังด้วย- ดังนั้น เพื่อเป็นการจรรโลงรักษาศาสนา เวลาผู้หญิงไปหาพระ ไม่ควรไปคนเดียว แต่ให้มีผู้ชายไปด้วย หรือให้มีพระอีกรูปอยู่ด้วย เพื่อช่วยในการรักษาศีลของพระได้Q6: ดูหนังฟังเพลง กับ การละความเพลินA: ผู้ที่ถือศีล 8 ต้องละการดูหนังฟังเพลง เพราะเป็นการละเล่นอันเป็นข้าศึกต่อกุศลธรรม (ทำให้ราคะ หรือโทสะ เพิ่มขึ้น)- ผู้ที่ถือศีล 5 ยังดูหนังฟังเพลงได้ แต่ถ้าระดับความเพลินนั้น จะทำให้ผิดศีล (เช่น ข้อ 3) ก็ต้องหยุด Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ช่วงไต่ตามทาง: ความคับข้องใจจาก Second-Guess- การตัดสินใจทำอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเห็นการกระทำของคนอื่นแล้ว เกิดความคิดที่สองแทรกขึ้นมาทันที ซึ่งหักล้างกับความคิดแรก อาจเป็นได้ทั้งเรื่องดีหรือไม่ดี ทำให้เกิดความคิดคับข้องใจในเรื่องต่างๆ เป็นลักษณะที่เรียกว่า Second Guessing ซึ่งความคับข้องใจนั้น อาจสะท้อนออกมาเป็นพฤติกรรมหลายแบบในบุคคลคนเดียวกัน เป็น Multiple Personality - ความคับข้องใจ เป็นการเบียดเบียนตนเอง ผู้อื่น หรือทั้งสองฝ่าย  - ผู้ฟังท่านนี้เป็นนักธุรกิจ เกิดคำถามในใจตนว่าสินค้าบางอย่างขายแพงเกินไป ได้กำไรเกินไป คิดจะลดราคา ถ้าลดราคาแล้วลูกค้าจะรับได้หรือไม่ เกิดเป็นความคับข้องใจในความคิดของตน คิดวนไป ตัดสินใจไม่ได้ เกิดเป็นความเครียด อยู่เป็นประจำ รวมถึงข้องใจในการกระทำของบุคคลอื่นด้วย บางครั้งก็พูดความคิดของตนออกมา จิกกัดคนอื่น แต่บอกว่าหวังดี คนอื่นก็เครียดตามไปด้วย - แต่เมื่อได้ฟังรายการธรรมะรับอรุณ ได้รู้จัก “การตั้งสติ” ด้วยการสังเกตและแยกแยะความคิดที่เป็น second-guess ในแต่ละเรื่องที่โผล่ขึ้นมา ว่าเป็นสังกัปปะ (ความดำริ) ที่ไม่ดี ทำให้เครียด จึงแยกตัวออกจากความคิดนั้น ด้วยการคิดเรื่องอื่น เช่น ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ลมหายใจ ความเมตตา หมวดธรรมะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ความคิดไม่ดีก็ค่อย ๆ อ่อนกำลังลง ช่วงปรับตัวแปรแก้สมการ: วิธีออกจากวังวนของ Second-Guess- เราอย่าเอาเวทนาเป็นเกณฑ์ในการดำเนินชีวิตว่า ให้หลีกหนีความทุกข์ แล้วเอาความสุขเป็นหลัก แต่ให้เอากุศลหรืออกุศลเป็นเกณฑ์ กุศลบางอย่างอาจมีทุกขเวทนาแฝงมา อกุศลบางอย่างอาจมีสุขเวทนาแฝงมา แต่ในที่สุดแล้ว กุศลจะให้สุขเวทนาที่มีค่ามากกว่า และอกุศลจะให้ทุกขเวทนาที่หนักหน่วงมากกว่า- ทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) คือ ทางที่เอากุศลเป็นเกณฑ์ เป็นทางออกจากความทุกข์ทั้งปวง ตัวอย่าง สัมมาวาจา ตัวอย่าง การทำงาน - ด้วยฉันทะตัวอย่าง การช่วยเหลือผู้อื่น - ด้วยเมตตา กรุณา และอุเบกขาตัวอย่าง การตั้งราคาสินค้าและบริการ – ไม่ขูดรีด ไม่เบียดเบียนตัวอย่าง การลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง - ด้วยอิทธิบาท 4 ด้วยความสันโดษ มักน้อย ไม่ขี้เกียจ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q1: กิจกรรมทำบุญในวัดA: การทำบุญ กระทำได้ 3 รูปแบบ คือ ทางกาย (ให้ทาน) ทางวาจา (ศีล) ทางใจ (ภาวนา)- การบูชาบุคคล:    - พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ควรบูชาสูงสุด ให้ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ ที่พึ่งที่ระลึกสูงสุด เพื่อการพ้นทุกข์     - การบูชาบุคคลที่ควรบูชา เป็นสิ่งที่ควรกระทำ โดยบูชาในคุณความดีของบุคคลเหล่านั้น เช่น พ่อแม่ คุณความดีของเทพเจ้า- การอธิษฐาน:     - การอ้อนวอนขอร้อง = ปรารถนา “เอาผล” โดยไม่สร้างเหตุที่ถูกต้อง    - การอธิษฐาน = ไม่ใช่การอ้อนวอนขอร้อง แต่เป็นการตั้งใจมั่นอย่างแรงกล้าที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นการ “สร้างเหตุ” เพื่อหวังเอาผล  Q2: ทางออกจากวงจรอุบาทว์ของจิตA: จิตมีความเป็นประภัสสร แต่ธรรมชาติของจิตจะไหลไปตามกระแสของสิ่งต่างๆ ที่มากระทบ ทำให้จิตผ่องใสได้ เศร้าหมองได้- การพัฒนาจิต = ผู้ที่มีปัญญาจะทำความเข้าใจให้ถูกต้องตามทางสายกลาง (มรรค 8) จิตจะผ่องใสได้ โดยไม่ต้องพึ่งสิ่งแวดล้อมภายนอก - กิเลสทำให้จิตไม่สงบ เมื่อจิตไม่สงบก็จะทำให้เกิดกิเลส เป็นเช่นนี้วนไป เป็นวงจรอุบาทว์ของจิต (Vicious Cycle) - วิธีออกจากวงจรอุบาทว์ของจิต = เริ่มจากเปลี่ยนคำถามว่า "ทำไมจิตถึงเป็นอย่างนั้น" เป็น "ใครหนอจะรู้ทางออกของความทุกข์นี้ สักหนึ่งหรือสองวิธี?" จิตก็จะเปลี่ยนโฟกัสทันที สัมมาสติเริ่มเกิดขึ้นแล้ว (พุทโธ) จากนั้นให้นึกถึงพระสงฆ์ผู้ที่เคยแก้ปัญหาความทุกข์ในจิตได้แล้ว (สังโฆ) โดยมีพระธรรมเป็นกระบวนการในการแก้ปัญญานั้น (ธัมโม) เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว จะเกิดความมั่นใจ (ศรัทธา) และเมื่อมีศรัทธาแล้วจะเกิดการลงมือทำจริง แน่วแน่จริง ได้ผลเป็นจิตที่ผ่องใส เมื่อจิตผ่องใส ก็ยิ่งมีความมั่นใจความศรัทธามากขึ้น ก็จะยิ่งทำจริง แน่วแน่จริง มากยิ่งขึ้น (ความเพียร) จิตก็จะพัฒนายิ่งขึ้น Q3: ถูกบีบคั้นให้ทำไม่ดี แก้อย่างไรA: การรู้ว่าสิ่งไหนควรทำ (กุศล) หรือไม่ควรทำ (อกุศล) อันนี้ดี เป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว แต่ที่ยังลงมือทำสิ่งที่ควรทำไม่ได้ เพราะยังมีความเพลิน ยังไม่มีสัมมาสติและสัมมาวายามะ (การทำจริง แน่วแน่จริง) แก้ได้โดยระลึกถึงคนที่เคยถูกบีบคั้นเรื่องเดียวกัน แต่เขาฝืน ทวนกระแสแล้ว ทำได้แล้ว เช่น พระพุทธเจ้า ปูชนียบุคคลอื่น ก็จะมีพลังใจขึ้น (สัมมาสติ) นำไปสู่การลงมือทำในสิ่งที่เป็นกุศล (สัมมาวายามะ) ต่อไปได้Q4: การพูดโกหก VS การเลี่ยงบาลี A: โกหก = พูดไม่ตรงตามความเป็นจริง เช่น เห็น บอกไม่เห็น, ทำ บอกไม่ได้ทำ, ได้ยิน บอกไม่ได้ยิน- การเลี่ยงบาลี ไม่ผิดศีลQ5: พระสงฆ์ฉันอาหารเวลาใด A: ห้ามพระสงฆ์ฉันอาหารนอกกาล = หลังเที่ยง (พระอาทิตย์ตรงศีรษะ) (วิกาล)- สิ่งที่ฉันได้หลังวิกาล = ยา (ต้องมีเหตุป่วยจึงจะฉันได้), น้ำ+ดิน, ปานะ (น้ำผลไม้ที่ผ่านการกรอง ไม่เติมน้ำตาล ไม่ผ่านความร้อน เช่น น้ำมะม่วง)- หากพระสงฆ์รับอาหารหลังวิกาลแล้ว ถือว่าอาหารนั้นจะฉันไม่ได้อีก - การถวายสังฆทานซึ่งมีอาหารรวมอยู่ด้วย หลังเที่ยง มีวิธีการแก้ปัญหา คือ ให้มีผู้จัดการแทน (เช่น ไวยาวัจกร) แยกส่วนที่เป็นอาหารไว้ โดยที่พระยังไม่ได้รับ แล้วให้มีผู้ประเคนถวายให้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ช่วงไต่ตามทาง: ความรักของหญิงชาย- ชายหญิงคู่หนึ่ง รักกันตั้งแต่สมัยมัธยม เรียนมหาวิทยาลัยคณะเดียวกัน ตั้งใจว่าเรียนจบจะแต่งงานกัน สองครอบครัวดีมาก ทั้งสองคนได้มาปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ หลายครั้ง ทุกปี ความรู้สึกที่มีให้กันเปลี่ยนแปลงไป ความรู้สึกในทางกำหนัดทางกามจืดจางลง ความเพลิดเพลินในเพศตรงข้ามลดลง เปลี่ยนเป็นความรู้สึกแบบเพื่อน พี่น้อง มองกันด้วยความรัก ความเมตตา เป็นความรักที่บริสุทธิ์ ไม่มีเงื่อนไข ทั้งสองคนเห็นตรงกันว่าจะไม่แต่งงานกันช่วงปรับตัวแปรแก้สมการ : ครอบครัวเป็นพื้นฐานแห่งชีวิต- ครอบครัวที่เล็กที่สุด คือ พ่อ แม่ ลูก- ในมงคล 38 ประการ มีเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวถึง 3 ข้อ ได้แก่ การบำรุงบิดามารดา การสงเคราะห์บุตร และการสงเคราะห์คู่ครอง หากทำความเข้าใจและทำตามได้ จะทำให้สถาบันครอบครัวมีความมั่นคงและมีความมงคลเกิดขึ้นได้ (1) บำรุงบิดามารดา- มารดาบิดา เป็นบุคคลที่หาได้ยากในโลก เป็นผู้ที่อุปการะบุตรก่อนตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ ให้เรารู้คุณนั้นแล้วกระทำต่อ (กตัญญูกตเวที) เช่น ทำบุญอุทิศให้ ช่วยทำกิจธุระ เป็นลูกที่ทำตัวดี ซื้ออาหารที่ชอบให้ทาน - หากมีปมกับพ่อแม่ ให้แก้ด้วยการทำดีต่อพ่อแม่ไปเรื่อยๆ จะทำให้ความไม่ดีค่อยเจือจางลดลงไป ต้องอดทน- ให้ตั้งจิตใหม่ตั้งแต่บัดนี้ ในการที่จะบำรุงยกพ่อแม่ขึ้นเหนือเศียรเหนือเกล้า แล้วลงมือทำ ล้างเท้าบิดามารดาด้วยน้ำอุ่น จะเป็นมงคลในชีวิต(2) สงเคราะห์บุตร- พ่อแม่ มีหน้าที่ ห้ามลูกจากบาป และให้ลูกตั้งอยู่ในความดี- ให้เลี้ยงดูลูกให้ดี อย่าใช้อารมณ์ อย่าโยนหน้าที่นี้ไปให้ครู อย่าตามใจเกินไป อย่าเข้มงวดเกินไป(3) สงเคราะห์คู่ครอง- สามีภรรยา ต้องเกื้อหนุน สงเคราะห์กัน- สามี มีหน้าที่ มอบความเป็นใหญ่ในหน้าที่ให้ ให้อาหาร ให้เครื่องประดับ ยกย่อง ไม่ดูหมิ่น ไม่ประพฤตินอกใจ- ภรรยา มีหน้าที่ จัดแจงการงานอย่างดี สงเคราะห์คนข้างเคียงดี รักษาทรัพย์ที่มีอยู่ ขยันขันแข็งในหน้าที่ทั้งปวง ไม่ประพฤตินอกใจ- สำหรับคนที่ไม่มีคู่ครอง ไม่มีลูก ยังไงก็มีครอบครัว คือ ตัวเราที่เกิดจากพ่อแม่ ก็ให้ทำหน้าที่ลูกต่อพ่อแม่ให้ดี Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
loading
Comments 
loading