Discover6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
Claim Ownership

6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก

Author: ปัญญา ภาวนา ฟังธรรมะ ปัญญาภาวนา Panya Bhavana

Subscribed: 129Played: 919
Share

Description

ในพระไตรปิฏกมีอะไร ทำความเข้าใจไปทีละข้อ, เปิดไปทีละหน้า, ให้จบไปทีละเล่ม, พบกับพระอาจารย์พระมหาไพบูลย์ อภิปุณโณ และ คุณเตือนใจ สินธุวณิก, ล้อมวงกันมาฟัง มั่วสุมกันมาศึกษา จะพบขุมทรัพย์ทางปัญญา ในช่วง "ขุดเพชรในพระไตรปิฏก". New Episode ทุกวันเสาร์ เวลา 05:00, Podcast นี้เป็นส่วนหนึ่งของรายการธรรมะรับอรุณ ออกอากาศทุกวันทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) มีคำถาม/ข้อเสนอแนะ หรือสมัครติดตามฟังทั้ง 7 รายการ ที่ panya.org

Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

350 Episodes
Reverse
หมวดข้อธรรม 8 ประการ ใน สติวรรค หมวดว่าด้วยสติสัมปชัญญะข้อที่ 81 สติสัมปชัญญสูตร ว่าด้วยผลแห่งสติสัมปชัญญะ กล่าวถึงธรรมที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย โดยมี “สติสัมปชัญญะ” เป็นตัวตั้งต้นแล้วมีผลของธรรมอย่างอื่นตามมา โดยแสดงแยกเป็น 2 ลักษณะที่ตรงกันข้ามกัน คือ “เมื่อไม่มีสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงไม่มี และ เมื่อมีสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงมี” โดยมีลำดับของธรรมดังนี้ 1. สติสัมปชัญญะ -> 2. หิริและโอตตัปปะ -> 3. อินทรียสังวร -> 4. ศีล -> 5. สัมมาสมาธิ -> 6. ยถาภูตญาณทัสสนะ -> 7. นิพพิทาและวิราคะ -> 8. วิมุตติญาณทัสสนะเมื่อเหตุคือไม่มีสติสัมปชัญญะ -> ผลจึงไม่มี หิริและโอตตัปปะ ... ฯลฯ “เปรียบได้กับต้นไม้ที่มีกิ่งและใบวิบัติแล้ว สะเก็ด เปลือก กระพี้ แก่น ของต้นไม้นั้น ย่อมไม่ถึงความบริบูรณ์”และในทางตรงข้าม เมื่อเหตุแห่งความบริบูรณ์มี ผลแห่งความบริบูรณ์ย่อมมี ข้อที่ 82 ปุณณิยสูตร ว่าด้วยพระปุณณิยะ โดยปรารภท่านพระปุณณิยะที่ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคถึง “อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้พระธรรมเทศนาแจ่มแจ้งในบางคราว แต่ในบางคราวกลับไม่แจ่มแจ้ง” พระองค์ได้ทรงแสดงถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้พระธรรมเทศนาไม่แจ่มแจ้งไว้ดังนี้1.      เป็นผู้มีศรัทธา แต่ไม่เข้าไปหา2.      เป็นผู้มีศรัทธา และเข้าไปหา แต่ไม่เข้าไปนั่งใกล้3.      เป็นผู้มีศรัทธา..ฯ และเข้าไปนั่งใกล้ แต่ไม่สอบถาม4.      เป็นผู้มีศรัทธา...ฯและสอบถาม แต่ไม่เงี่ยโสตฟังธรรม5.      เป็นผู้มีศรัทธา....ฯ และเงี่ยโสตฟังธรรม แต่ไม่ทรงจำธรรมไว้ได้6.      เป็นผู้มีศรัทธา.....ฯ และทรงจำธรรมไว้ได้ แต่ไม่พิจารณาเนื้อความแห่งธรรม7.      เป็นผู้มีศรัทธา......ฯ และพิจารณาเนื้อความแห่งธรรม แต่หาใช่รู้อรรถรู้ธรรม8.      เป็นผู้มีศรัทธา.......ฯ และรู้อรรถรู้ธรรม แต่ไม่ปฏิบัติสมควรแก่ธรรม และได้ทรงแสดงถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้พระธรรมเทศนาแจ่มแจ้งไว้ดังนี้ คือ (1.) เป็นผู้มีศรัทธา -> (2.) เข้าไปหา -> (3.) เข้าไปนั่งใกล้ -> (4.) สอบถาม -> (5.) เงี่ยโสตฟังธรรม -> (6.) ทรงจำธรรมไว้ -> (7.) พิจารณาเนื้อความแห่งธรรม -> (8.) รู้อรรถรู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ข้อที่ 83 มูลกสูตร ว่าด้วยมูลเหตุแห่งธรรมทั้งปวง กล่าวถึงต้นกำเนิดของธรรมทั้งปวงมีอะไรบ้าง1. มีฉันทะ (ศรัทธา) เป็นมูล (รากพื้นฐาน) 2. มีมนสิการ (คิดตามแบบอริยสัจสี่) เป็นแดนเกิด 3. มีผัสสะเป็นเหตุเกิด 4. มีเวทนา (สัญญา->เวทนา) เป็นที่ประชุม (รวมลง)5. มีสมาธิเป็นประมุข (หัวหน้า-สั่งการ)   6. มีสติเป็นใหญ่ (อธิบดี-มีอยู่ตลอด) 7. มีปัญญา (เห็นไตรลักษณ์) เป็นยิ่ง (ยอดสูงสุด) 8. มีวิมุตติเป็นแก่น ข้อที่ 84 โจรสูตร ว่าด้วยเหตุเสื่อมของมหาโจร กล่าวถึงธรรม 8 ประการที่เป็นเหตุเสื่อมและไม่เสื่อมของโจรเหตุเสื่อมของโจร คือ 1. ทำร้ายคนที่ไม่โต้ตอบ 2. ปล้นสิ่งของจนไม่เหลือ 3. ฆ่าผู้หญิง 4. ข่มขืนเด็กหญิง 5. ปล้นนักบวช 6. ปล้นท้องพระคลัง 7. ปล้นใกล้ถิ่นเกินไป 8. ไม่ฉลาดในการเก็บเหตุไม่เสื่อมของโจร – กล่าวตรงกันข้ามกับที่ได้กล่าวมา ข้อที่ 85 สมณสูตร ว่าด้วยพระนามของพระพุทธเจ้า กล่าวถึงคำที่แสดงถึงพระนามของพระพุทธเจ้า ได้แก่ สมณะ(ผู้สงบ) พราหมณ์(ลอยบาป) เวทคู(บรรลุความรู้) ภิสักกะ(หมอ) นิมมละ(สะอาด) วิมละ(ปราศจากมลทิน) ญาณี (ฉลาด) และวิมุตตะ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต สติวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
หมวดข้อธรรม 4 ประการ ในอปัณณกวรรค หมวดว่าด้วยข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด และ มจลวรรค หมวดว่าด้วยสมณะผู้ไม่หวั่นไหวข้อที่#78_ทักขิณสูตร ว่าด้วยความบริสุทธิ์แห่งทักษิณา ผลของการให้ทานที่จะให้ผลมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ทั้งผู้ให้และผู้รับ บริสุทธิ์ทั้งสองฝ่ายจึงจะดี นอกนั้นจะมีความเศร้าหมอง ข้อที่ #79_วณิชชสูตร ว่าด้วยเหตุให้การค้าขายขาดทุนหรือได้กำไร การค้าขายจะขาดทุนหรือได้กำไรมากน้อย ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามที่ได้ปวารณาไว้หรือไม่ แต่ทั้งนี้อย่ากลัว เพราะสามในสี่ข้อได้กำไร ดังนั้นแม้น้อยก็ควรทำ เป็นช่องบุญ ข้อที่ #80_กัมโพชสูตร ว่าด้วยเหตุให้มาตุคามไปแคว้นกัมโพชะไม่ได้ คุณสมบัติของสตรีที่ไม่ควรเป็นใหญ่ ข้อที่ #81_ปาณาติปาตสูตร ว่าด้วยผู้ฆ่าสัตว์และผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ และ ข้อที่ #82_มุสาวาทสูตร ว่าด้วยผู้พูดเท็จและผู้เว้นขาดจากการพูดเท็จ เป็นเรื่องของศีล ที่จะแยกบุคคลไปสวรรค์หรือนรก ข้อที่ #83_อวัณณารหสูตร ว่าด้วยผู้กล่าวสรรเสริญผู้ควรติเตียนและผู้กล่าวติเตียนผู้ควรติเตียน การกล่าวสรรเสริญ หรือติเตียน หรือการเลื่อมใสไม่เลื่อมใส ที่ไม่ถูกจะพาไปนรกได้ ข้อที่ #84_โกธครุสูตร ว่าด้วยผู้มักโกรธและผู้ไม่มักโกรธ ถ้าเราเห็นแก่ธรรมะ ความมักโกรธ มักลบหลู่ ความเห็นแก่ลาภ และสักการะย่อมไม่เกิดขึ้น ข้อที่ #85_ตโมตมสูตร ว่าด้วยผู้มืดมาและมืดไป และ ข้อที่ #86_โอณโตณตสูตร ว่าด้วยผู้ต่ำมาและต่ำไป เกี่ยวกับการมา การไป มืดสว่าง สูงต่ำ “มาคือเกิดมา ไปคือตายไป” จะไปที่ไหนหรือเกิดมาอย่างไรอยู่ที่การสร้างเหตุ เพราะเกิดมาไม่สำคัญเท่าจะไปอย่างไร จะไปอย่างไรก็ยังไม่สำคัญเท่าตอนนี้คุณทำอะไรพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต อปัณณกวรรค มจลวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
หมวดข้อธรรม 8 ประการ พระสูตรที่ 9-10 ในยมกวรรค หมวดว่าด้วยธรรมคู่กันข้อที่ #79_ปริหานสูตร ว่าด้วยธรรมเป็นเหตุให้พระเสขะเสื่อม ธรรม 8 ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุผู้เป็นเสขะ (คือ ผู้ยังต้องศึกษาด้วยการปฏิบัติอยู่ เป็นผู้ที่กำลังก้าวไปสู่การหลุดพ้น) ได้แก่เป็นผู้ชอบการงาน – หางานทำอยู่เรื่อย (งานที่ไม่ใช่กิจของการภาวนา)เป็นผู้ชอบการพูดคุยเป็นผู้ชอบการนอนหลับเป็นผู้ชอบการคลุกคลีด้วยหมู่เป็นผู้ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายเป็นผู้ไม่รู้จักประมาณในการบริโภคเป็นผู้ชอบธรรมเป็นเครื่องข้อง – สิ่งที่ทำให้เกิดกิเลส ตัณหา ความยึดมั่นเป็นผู้ชอบปปัญจธรรม – ธรรมให้เนิ่นช้า (ทำให้การภาวนาล่าช้า) หมายถึงตัณหา มานะ และทิฏฐิและได้แสดงธรรมเพื่อความไม่เสื่อมแก่ภิกษุผู้เป็นเสขะด้วยเช่นกัน ซึ่งมีความหมายตรงกันข้ามกับที่ได้กล่าวมาข้างต้น ข้อที่ #80_กุสีตารัมภวัตถุสูตร ว่าด้วยเหตุแห่งความเกียจคร้านและเหตุปรารภความเพียร โดยกล่าวถึงเหตุการณ์อย่างเดียวกันทำให้เกิดการปฏิบัติที่แตกต่างกันโดยแยกแสดงได้ดังนี้เหตุ 8 ประการ >> กุสีตวัตถุ (เหตุแห่งความเกียจคร้าน) ≠ อารัมภวัตถุ (เหตุปรารภความเพียร)เมื่อจะต้องทำการงาน >> ก็นอนเสีย ไม่ปรารภความพียร≠ ปรารภความพียร เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ทำให้แจ้งเมื่อเสร็จจากการงาน >> ก็นอนพัก ไม่ปรารภความเพียร ≠ ปรารภความพียร ฯลฯเมื่อจะต้องเดินทาง >>ก็นอนก่อน ไม่ปรารภความเพียร ≠ ปรารภความพียร ฯลฯเมื่อเดินทางแล้ว >> ก็นอนพัก ไม่ปรารภความเพียร ≠ ปรารภความพียร ฯลฯเมื่อบิณฑบาตไม่ได้เพียงพอ >> ก็นอนพัก ไม่ปรารภความเพียร ≠ ปรารภความพียร ฯลฯเมื่อบิณฑบาตได้เพียงพอ >> ก็นอนพัก ไม่ปรารภความเพียร ≠ ปรารภความพียร ฯลฯเมื่อเจ็บป่วยเล็กน้อย >> ก็นอนก่อน ไม่ปรารภความเพียร ≠ ปรารภความพียร ฯลฯเมื่อหายจากเจ็บป่วยไม่นาน >> ก็นอนก่อน ไม่ปรารภความเพียร ≠ ปรารภความพียร ฯลฯ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ยมกวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
หมวดข้อธรรม 4 ประการ พระสูตรที่ 1-7 ในอปัณณกวรรค หมวดว่าด้วยข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดข้อที่ #71_ปธานสูตร ว่าด้วยความเพียรเป็นเหตุสิ้นอาสวะ คือ ข้อปฏิบัติที่เป็นเหตุให้ถึงความสิ้นอาสวะ มีอยู่ 4 ประการ ได้แก่ 1) มีศีล 2) เป็นพหูสูต 3) ปรารภความเพียร 4) มีปัญญา ข้อที่ #72_สัมมาทิฏฐิสูตร ว่าด้วยสัมมาทิฏฐิเป็นเหตุสิ้นอาสวะ คือ ข้อปฏิบัติที่เป็นเหตุให้ถึงความสิ้นอาสวะ มีอยู่ 4 ประการ ได้แก่เนกขัมมวิตก (ความตรึกปลอดจากกาม)อพยาบาทวิตก (ความตรึกปลอดจากพยาบาท)อวิหิงสาวิตก (ความตรึกปลอดจากการเบียดเบียน)4. สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) ข้อที่ #73_สัปปุริสสูตร ว่าด้วยธรรมของอสัตบุรุษและสัตบุรุษ เป็นธรรมของคนพาลและของบัณฑิตที่แสดงไว้ตรงข้ามกันมีอยู่ 4 ประการ ได้แก่·      ธรรมของอสัตบุรุษ (คนพาล คนไม่ดี) ≠ ธรรมของสัตบุรุษ (บัณฑิต คนดี)แม้ไม่ถูกถามก็ชอบเปิดเผยข้อเสียของบุคคลอื่น หากถูกถามก็แจงเสียละเอียด ≠ ไม่ชอบเปิดเผยข้อเสียของบุคคลอื่น แม้ถูกถามก็ตอบแบบอ้อม ๆ ไม่ละเอียดแม้ถูกถามก็ไม่ยอมเปิดเผยข้อดีของบุคคลอื่น กล่าวอ้อม ๆ ไม่ละเอียด ≠ แม้ไม่ถูกถามก็ชอบเปิดเผยข้อดีของบุคคลอื่น หากถูกถามก็แจงอย่างละเอียดไม่ยอมเปิดเผยข้อเสียของตน หากถูกถามก็ตอบแบบอ้อม ๆ ≠ แม้ไม่ถูกถามก็ยินดีเปิดเผยข้อเสียของตน แม้ถูกถามก็รีบตอบไม่อ้อมค้อมแม้ไม่ถูกถามก็ชอบเปิดเผยข้อดีของตนเอง หากถูกถามก็แจงอย่างละเอียด ≠ ไม่ชอบเปิดเผยข้อดีของตน หากถูกถามก็กล่าวแบบอ้อม ๆ ข้อที่ #74_ปฐมอัคคสูตร ว่าด้วยธรรมอันเลิศ สูตรที่ 1 กล่างถึง ธรรมอันเลิศ 4 ประการ ได้แก่ 1) อริยศีล 2) อริยสมาธิ 3) อริยปัญญา 4) อริยวิมุตติ ข้อที่ #75_ทุติยอัคคสูตร ว่าด้วยธรรมอันเลิศ สูตรที่ 2 ธรรมอันเลิศ 4 ประการได้แก่ รูป (รูปฌาน) เวทนา (เวทนาจากสมาธิ) สัญญา (อรูปฌาน) ที่พิจารณาแล้วบรรลุอรหัตตผล และภพ (ไม่แสวงหาภพ) คือ นิพพาน ข้อที่ #76_กุสินารสูตร ว่าด้วยพุทธกิจในกรุงกุสินารา ในสมัยที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ในป่าสาลวัน กรุงกุสินารา พระองค์ทรงรับสั่งตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า “มีผู้ใดสงสัย เคลือบแคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และ มรรคหรือปฏิปทาหรือไม่ ถ้ามีจงถามเถิด” พระองค์ทรงตรัสถามถึงสามครั้งแต่ก็ไม่มีภิกษุรูปใดกราบทูลถาม จนกระทั่งท่านพระอานนท์กราบทูลว่า “เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่ไม่มีภิกษุรูปใดสงสัยเลย” แล้วพระองค์ทรงตรัสตอบกลับ ว่า “ในภิกษุ 500 รูปนี้ ภิกษุผู้มีคุณธรรมชั้นต่ำสุดเป็นโสดาบัน ไม่มีทางตกต่ำ มีความแน่นอนที่จะสำเร็จสัมโพธิ (คือ สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตตมรรค) ในวันข้างหน้า” ข้อที่ #77_อจินเตยยสูตร ว่าด้วยอจินไตย อจินไตย (เรื่องไม่ควรคิด) 4 ประการนี้ บุคคลไม่ควรคิด ใครคิดพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ความเดือดร้อน ได้แก่พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลายฌานวิสัยของผู้ได้ฌานวิบากแห่งกรรมความคิดเรื่องโลก เช่น ใครสร้างโลก (ภูเขา ต้นไม้ แม่น้ำ ลำธาร) ใครสร้างจักรวาล พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต อปัณณกวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
หมวดข้อธรรม 8 ประการ พระสูตรที่ 5-8 ในยมกวรรค หมวดว่าด้วยธรรมคู่กันข้อที่ #75_ปฐมสัมปทาสูตร และข้อที่ #76_ทุติยสัมปทาสูตร ว่าด้วยสัมปทา สูตรที่ 1 และ 2 ว่าด้วยเรื่อง สัมปทา (ความถึงพร้อม) 8 ประการ ได้แก่อุฏฐานสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยความหมั่น) เป็นผู้ขยันไม่เกียจคร้านในการทำงานอารักขสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยการรักษา) ไม่ประมาท รักษาทรัพย์ที่หามาได้กัลยาณมิตตตา (ความเป็นผู้มีมิตรดี) คบหาศึกษาบุคคลที่เป็นกัลยาณมิตร คือบุคคลที่มีศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญา เพื่อให้เกิดกัลยาธรรม คือ ศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาสมชีวิตา (ความเป็นอยู่เหมาะสม) รู้ทางเจริญและทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์แล้วเลี้ยงชีวิตแต่พอเหมาะ ไม่ให้ฟุ่มเฟือยนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ด้วยคิดว่า “รายจ่ายจะไม่ท่วมรายรับ และรายรับจะต้องท่วมรายจ่าย”สัทธาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา) เป็นผู้มีศรัทธา เชื่อปัญญาเครื่องตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าสีลสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศีล) ถึงพร้อมด้วยศีลห้าจาคสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยจาคะ) มีใจปราศจากความตระหนี่ ยินดีในการสละออกปัญญาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยปัญญา) มีปัญญาเห็นทั้งความเกิดและความดับอันเป็นอริยะ ให้ถึงความสิ้นทุกข์ธรรมทั้ง 8 ประการนี้ เป็นเหตุนำสุขมาให้ในโลกทั้ง2 คือ ประโยชน์เกื้อกูลในภพนี้ และสุขในภพหน้า โดยจะมีเนื้อธรรมเหมือนข้อที่ #54_ทีฆชาณุสูตร ซี่งแบ่งออกได้เป็น ประเภท คือ (1.) ประโยชน์เกื้อกูลในภพนี้ ได้แก่ ธรรมในข้างต้นตั้งแต่ข้อ 1-4 (2.) สุขในภพหน้า ได้แก่ข้อ 5-8 ข้อที่ #77_อิจฉาสูตร ว่าด้วยความอยากได้ลาภ “ท่านพระสารีบุตร” ได้กล่าวกับภิกษุทั้งหลายถึงบุคคล 8 จำพวก ที่แม้ว่ากายจะอยู่วิเวกแต่ถ้าปฏิบัติไม่ต่อเนื่อง (คือ ไม่เจริญวิปัสสนาอย่างต่อเนื่อง) ความอยากในลาภย่อมปรากฎ โดยแบ่งจำแนกได้ดังนี้บุคคล 4 จำพวกแรก คือ ขาดสติสัมปชัญญะ จะหลงไปตามผลที่ปรากฎ ทำให้เคลื่อนจากสัทธรรม กล่าวคือ เมื่อมีความอยากในลาภเกิดขึ้นบุคคลพวกนี้จะตั้งความเพียรในการแสวงหาหรือไม่แสวงหาลาภก็ตาม หากไม่ได้ลาภก็จะตีอกชกตัวเสียใจ และในทางตรงกันข้ามถ้าได้ลาภก็จะดีใจหลงไหลมัวเมาในลาภนั้นบุคคล 4 จำพวกหลัง คือ มีสติสัมปชัญญะ เมื่อมีความอยากในลาภแล้วจะตั้งความเพียรหรือไม่ตั้งความเพียรในการแสวงหาลาภนั้นไว้ก็ตาม ผลคือจะไม่หลงไหลดีใจหรือเสียใจไปตามผลที่ปรากฎ ทำให้ไม่เคลื่อนจากสัทธรรม*เนื้อธรรมเหมือนข้อที่ #61_อิจฉาสูตร ข้อที่ #78_อลังสูตร ว่าด้วยผู้สามารถทำประโยชน์ตนและผู้อื่น “ท่านพระสารีบุตร” กล่าวกับภิกษุทั้งหลาย ถึงบุคคล 8 ประเภท โดยการนำธรรม 6 ประการ มาแยกจำแนกลงในบุคคล 8 ประเภทได้ 3 กลุ่มธรรม 6 ประการได้แก่ใคร่ครวญธรรมได้เร็วทรงจำธรรมได้พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมมีวาจางาม เจรจาถ้อยคำไพเราะชี้แจงให้เห็นชัด ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญ ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริง โดยนำธรรมข้างต้นมาแบ่งประเภทบุคคลได้ 3 กลุ่มดังนี้เพียงพอสำหรับตนเองและผู้อื่น มี 2 ประเภท ได้แก่ บุคคลประกอบด้วยธรรมในข้อที่ 1-6 และข้อที่ 2-6ไม่เพียงพอสำหรับตนเองแต่เพียงพอสำหรับผู้อื่น มี 3 ประเภท ได้แก่ บุคคลประกอบด้วยธรรมในข้อที่ 1, 2, 5, 6 / ข้อที่ 2, 5, 6 / ข้อที่ 5, 6เพียงพอสำหรับตนเองแต่ไม่เพียงพอสำหรับผู้อื่น มี 3 ประเภท ได้แก่ บุคคลประกอบด้วยธรรมในข้อที่ 1-4 / ข้อที่ 2-4 / ข้อที่ 3-4*เนื้อธรรมเหมือนข้อที่ #62_อลังสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ยมกวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
หมวดข้อธรรม 4 ประการ พระสูตรที่ 5-10 ในปัตตกัมมวรรค หมวดว่าด้วยกรรมอันสมควรข้อที่ #65_รูปสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้ถือรูปเป็นประมาณ คนเราจะเลือกเลื่อมใสใครมาจากเหตุ 4 อย่างนี้ คือ รูป เสียง ความเศร้าหมอง และธรรมะ แต่ไม่ควรจะตัดสินใจจากสิ่งที่เห็นภายนอกเพียงอย่างเดียว ดูให้รู้ถึงคุณธรรมภายในด้วย ข้อที่ #66_สราคสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้มีราคะ บุคคลที่มีราคะ โทสะ โมหะ มานะ นับว่าไม่ดี เมื่อเป็นอริยบุคคลแม้ขั้นโสดาบันสิ่งเหล่านี้ก็จะเบาบางลง ข้อที่ #67_อหิราชสูตร ว่าด้วยตระกูลพญางู เกี่ยวกับการแผ่เมตตาให้ 4 ตระกูลของพญางูเพื่อความอยู่เป็นสุข ได้แก่ ตระกูลของพญางูวิรูปักษ์ เอราปถะ ฉัพยาบุตร และ กัณหาโคตมกะ ข้อที่ #68_เทวทัตตสูตร ว่าด้วยพระเทวทัต ชี้ให้เห็นถึงลาภสักการะที่เกิดขึ้นนั้น ฆ่าตัวพระเทวทัตเอง มาจากกิเลสในใจ ดุจการเกิดขึ้นของขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ ปลีกล้วยฆ่าต้นกล้วย ลูกม้าอาชาไนยฆ่าแม่ม้าอัสดร และดอกอ้อฆ่าต้นอ้อ ควรรักษาตนไม่ให้มีรอยแผลที่จะถูกตำหนิได้ และการเสพสุขโดยธรรมสามารถทำได้ ข้อที่ #69_ปธานสูตร ว่าด้วยปธาน (ความเพียร) ว่าด้วยความเพียร 4 ประการ1.      สังวรปธาน (เพียรระวัง)      2.      ปหานปธาน (เพียรละ)3.      ภาวนาปธาน (เพียรเจริญ)4.      อนุรักขนาปธาน (เพียรรักษา) ข้อที่ #70_อธัมมิกสูตร ว่าด้วยพระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรมและผู้ตั้งอยู่ในธรรม ธรรม 4 ประการที่จะเกิดจากเหตุ 13 ประการของผู้ที่ตั้งอยู่ในธรรมและของผู้ที่ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ได้แก่ เป็นผู้มีอายุยืนหรือน้อย ผิวพรรณผ่องใสหรือทราม มีกำลังดีหรือไม่ดี และมีความเจ็บป่วยน้อยหรือมาก ซึ่งสัมพันธ์กับเหตุ 13 ประการในข้างต้น พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ปัตตกัมมวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
หมวดข้อธรรม 8 ประการ พระสูตรที่ 1-4 ในยมกวรรค หมวดว่าด้วยธรรมคู่กันข้อที่#71_ปฐมสัทธาสูตร ว่าด้วยศรัทธา สูตรที่ 1 ผู้ประกอบด้วยองค์ธรรม 8 ประการนี้ ผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้ก่อให้เกิดความเลื่อมใสได้รอบด้าน (กาย วาจาที่น่าเลื่อมใส) และเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง (บริบูรณ์ด้วยอาการของสมณะ ด้วยธรรมของสมณะ)มีศรัทธามีศีลเป็นพหูสูต (ผู้ได้ฟังธรรมมามาก หรือศึกษาเล่าเรียนธรรมมามาก)เป็นธรรมกถึก (ผู้กล่าวสอนธรรม ผู้แสดงธรรม หรือนักเทศน์)เข้าไปสู่บริษัท (กลุ่มคน)แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท (แกล้วกล้า=ไม่กลัว=เพราะมั่นใจคุณสมบัติทางธรรมของตน)ได้ฌาน 4 ทำให้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันไม่มีอาสวะ (อรหัตผล)*ข้อที่พึงพิจารณาในองค์ธรรมแต่ละประการที่เมื่อเราหมั่นเพียรประกอบให้เต็มบริบูรณ์ขึ้นมาในแต่ละองค์ซึ่งไล่ไปตามลำดับจะมีผลคือ อรหัตผล ฉะนั้นเราสามารถนำองค์ธรรมทั้ง 8 ประการนี้มาพิจารณาลำดับการปฏิบัติของเราให้มีความเพียรบริบูรณ์ขึ้นมาได้ ข้อที่ #72_ทุติยสัทธาสูตร ว่าด้วยศรัทธา สูตรที่ 2 จะเหมือนกับ ปฐมสัทธาสูตร สูตรที่ ๑ ในข้างต้น แตกต่างกันตรงข้อที่ 7. ได้สัมผัสสันตวิโมกข์ซึ่งไม่มีรูป คือ เป็นสมาธิขั้นอรูปฌานข้อที่ #73_ปฐมมรณัสสติสูตร ว่าด้วยการเจริญมรณัสสติสูตรที่ 1 พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามกับภิกษุทั้งหลายว่า มีการเจริญมรณัสสติอยู่หรือไม่อย่างไร โดยภิกษุแต่ละรูปได้กราบทูลว่าตนระลึกถึงมรณัสสติอยู่ว่า...เราพึงมีชีวิตอยู่ได้คืนหนึ่งและวันหนึ่ง เราพึงกระทำให้มากซึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้าเราพึงมีชีวิตอยู่ได้วันหนึ่ง... ฯลฯเราพึงมีชีวิตอยู่ได้ครึ่งวัน... ฯลฯเราพึงมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วขณะฉันบิณฑบาตมื้อหนึ่ง... ฯลฯเราพึงมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วขณะฉันบิณฑบาตครึ่งหนึ่ง... ฯลฯเราพึงมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วขณะเคี้ยวกินคำข้าว 4-5 คำ... ฯลฯเราพึงมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วขณะเคี้ยวกินคำข้าว 1 คำ... ฯลฯเราพึงมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วขณะหายใจเข้าหายใจออก... ฯลฯภิกษุรูปที่ 1-6 นี้ ยังเป็นผู้ประมาทอยู่ คือ เจริญมรณัสสติอย่างเพลา (หย่อน) ส่วนภิกษุรูปที่ 7-8 นี้ เป็นผู้ไม่ประมาท เจริญมรณัสสติอย่างแรงกล้าเพื่อความสิ้นอาสวะทั้งหลายข้อที่ #74_ทุติยมรณัสสติสูตร ว่าด้วยการเจริญมรณัสสติ สูตรที่ 2 ในช่วงเวลากลางวันสู่กลางคืน และ กลางคืนสู่กลางวัน พิจารณาถึงเหตุแห่งความตายมีมาก เช่น งูพิษ แมงป่อง ตะขาบ หกล้ม อาหารไม่ย่อย ดีและเสมหะกำเริบ ลมพิษ พวกมนุษย์และพวกอมนุษย์ทำร้าย แล้วพึงพิจารณาถึงบาปอกุศลของเรายังมีอยู่หรือไม่ ถ้ามีอยู่ก็ให้รีบละเสีย เปรียบเหมือนไฟไหม้ที่ศีรษะที่ต้องรีบทำการดับโดยไว โดยทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความขะมักเขม้น ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะให้มีประมาณยิ่งเพื่อละบาปอกุศลธรรมเหล่านั้น แต่ถ้าพิจารณาแล้วไม่มีบาปอกุศลธรรมก็ให้อยู่ด้วยฌาน 1-2พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ยมกวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
หมวดข้อธรรม 4 ประการ พระสูตรที่ 1-4 ในปัตตกัมมวรรค หมวดว่าด้วยกรรมอันสมควรข้อที่ #61_ปัตตกัมมสูตร ว่าด้วยกรรมอันสมควร พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับอนาถบิณฑิกคหบดีถึงธรรมที่น่าปรารถนา 4 ประการ คือ 1. โภคทรัพย์ 2. ยศ (บริวารสมบัติ) 3. มีสุขภาพดี 4. หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดบนสวรรค์ โดยเหตุที่เอื้อให้เกิดของธรรมเหล่านั้นคือ สัมปทา 4 ได้แก่ 1. ศรัทธา 2. ศีล 3. จาคะ 4. ปัญญา ซึ่งปัญญาในที่นี้หมายถึง ปัญญาในการละนิวรณ์ได้ เพราะนิวรณ์จะทำให้ไม่ละในสิ่งที่ควรละและไม่ทำในสิ่งที่ควรทำจนทำให้การงานไม่เกิดผล จิตที่ปราศจากนิวรณ์จะแจ่มใสรู้แนวทางที่จะไป *ที่ควรระวัง คือ พอเกิดธรรมที่น่าใคร่น่าปรารถนาแล้ว ถ้าเกิดลุ่มหลงไปก็จะทำให้ปัญญาสัมปทาหายไปทันทีเช่นกัน ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงให้ใช้ทรัพย์นั้นไปใน 4 หน้าที่ จึงจะถือว่าเป็นกรรมอันสมควร ได้แก่การใช้จ่ายทรัพย์ดังนี้การเลี้ยงดูตนเอง บิดา มารดา ภรรยา บุตร มิตร บริวารป้องกันอันตรายที่เกิดจากไฟ น้ำ พระราชา โจร หรือจากทายาทสงเคราะห์ญาติ ต้อนรับแขก ทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย เสียภาษีอากรบำเพ็ญทักษิณาที่มีผลสูง ข้อที่ #62_อานัณยสูตร ว่าด้วยสุขเกิดจากความไม่เป็นหนี้ กล่าวถึงความสุข 4 ประการของคฤหัสถ์ผู้อยู่ครองเรือนอัตถิสุข (สุขเกิดจากความมีทรัพย์)โภคสุข (สุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์)อานัณยสุข (สุขเกิดจากความไม่เป็นหนี้)อนวัชชสุข (สุขเกิดจากความประพฤติที่ไม่มีโทษ) คือ ความสุขที่เกิดจากประพฤติในกุศลธรรม ได้แก่ การคิดดี พูดดี ทำดี เป็นความสุขมีค่ามาก หากเปรียบโดยแบ่งความสุขชนิดนี้เป็น 16 ส่วน เพียงแค่ส่วนเดียวของความสุขชนิดนี้ยังมีค่ามากกว่า 3 ข้อแรกรวมกันเสียอีก ข้อที่ #63_พรหมสูตร ว่าด้วยสกุลที่มีพรหม มารดาบิดาขื่อว่าเป็นพรหม, บุรพาจารย์ (ครูคนแรก), บุรพเทพ (ดูแลรักษา) และ อาหุไนยบุคคลของบุตร เพราะเหตุที่มารดาบิดาเป็นผู้มีอุปการะมากเฝ้าอบรมเลี้ยงดูสั่งสอนบุตร บุตรจึงควรเคารพ สักการะ บูชา เลี้ยงดูมารดาบิดา ข้อที่ #64_นิรยสูตร ว่าด้วยธรรมเป็นเหตุให้เกิดในนรก ได้แก่ 1. ฆ่าสัตว์ 2. ลักทรัพย์ 3. ประพฤติผิดในกาม 4. พูดเท็จ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ปัตตกัมมวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
หมวดข้อธรรม 8 ประการ พระสูตรที่ 5-10 ในภูมิจาลวรรค หมวดว่าด้วยเหตุที่ทำให้แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ข้อที่ #65_อภิภายตนสูตร ว่าด้วยอภิภายตนะ “อภิภายตนะ” หมายถึง ญาณหรือฌานที่เป็นเหตุครอบงำ (การมีอำนาจเหนือ) อารมณ์ทั้งหลาย เป็นลักษณะของสมาธิที่ประกอบด้วยปัญญาคือมีสติเห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่เพลินไปตามสิ่งที่ได้รับรู้ เป็นผู้ที่ครอบงำอายตนะได้ แสดงไว้ 8 ประการดังนี้1 - 2 บุคคลมีรูปสัญญาภายใน (รูปฌาน) เห็นรูปภายนอก (เทวดา) ขนาดเล็ก / ขนาดใหญ่3 - 4 บุคคลมีอรูปสัญญาภายใน (อรูปฌาน) เห็นรูปภายนอกขนาดเล็ก / ขนาดใหญ่5 - 8 บุคคลมีอรูปสัญญาภายใน (อรูปฌาน) เห็นรูปภายนอก (เทวดาชั้นพรหม) มีสีเขียว / สีเหลือง / สีแดง / สีขาว ข้อที่ #66_วิโมกขสูตร ว่าด้วยวิโมกข์ วิโมกข์ (ความหลุดพ้น หรือ ความหลุดพ้นจากกิเลส) หมายถึงภาวะที่จิตหลุดพ้นจากสิ่งรบกวนและน้อมดิ่งไปในอารมณ์นั้น ๆ โดยอาศัยการเข้าฌานและเจริญสมาธิ ซึ่งมี 8 ประการ ได้แก่1.) ผู้มีรูป (รูปฌาน) เห็นรูปทั้งหลาย 2) ผู้มีอรูปสัญญาภายใน มองเห็นรูปทั้งหลายภายนอก 3) ผู้น้อมใจไปว่า ‘งาม’ เท่านั้น คือ เห็นอยู่แต่ไม่เพลิดไปตาม (อุเบกขา)4) ผู้บรรลุอากาสานัญจายตนะ “อากาศหาที่สุดมิได้” 5) ผู้บรรลุวิญญาณัญจายตนะ “วิญญาณหาที่สุดมิได้” 6) ผู้บรรลุอากิญจัญญายตนะ “ไม่มีอะไร” 7) ผู้บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ “มีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่” 8) ผู้บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ “สัญญาและเวทนาดับไป” ข้อที่ #67_อนริยโวหารสูตร ว่าด้วยอนริยโวหาร ถ้อยคำที่ไม่ประเสริฐ 8 ประการ คือ1) กล่าวสิ่งที่ไม่ได้เห็นว่าได้เห็น 2) กล่าวสิ่งที่ไม่ได้ฟังว่าได้ฟัง 3) กล่าวสิ่งที่ไม่ได้ทราบว่าได้ทราบ 4) กล่าวสิ่งที่ไม่ได้รู้ว่าได้รู้ (จมูก, ลิ้น, กาย)5) กล่าวสิ่งที่ได้เห็นว่าไม่ได้เห็น 6) กล่าวสิ่งที่ได้ฟังว่าไม่ได้ฟัง 7) กล่าวสิ่งที่ได้ทราบว่าไม่ได้ทราบ 8) กล่าวสิ่งที่ได้รู้ว่าไม่ได้รู้ ข้อที่ #68_อริยโวหารสูตร ว่าด้วยอริยโวหาร ถ้อยคำที่ประเสริฐ 8 ประการ อะไรบ้าง คือ1) กล่าวสิ่งที่ไม่ได้เห็นว่าไม่ได้เห็น 2) กล่าวสิ่งที่ไม่ได้ฟังว่าไม่ได้ฟัง 3) กล่าวสิ่งที่ไม่ได้ทราบว่าไม่ได้ทราบ 4) กล่าวสิ่งที่ไม่ได้รู้ว่าไม่ได้รู้ 5) กล่าวสิ่งที่ได้เห็นว่าได้เห็น 6) กล่าวสิ่งที่ได้ฟังว่าได้ฟัง 7) กล่าวสิ่งที่ได้ทราบว่าได้ทราบ 8) กล่าวสิ่งที่ได้รู้ว่าได้รู้ ข้อที่ #69_ปริสาสูตร ว่าด้วยบริษัท บริษัท (ชุมนุม) 8 จำพวกไหนบ้างที่เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าไปสนทนาด้วยแล้วเข้ากับบริษัทนั้นได้ดี ชี้แจงเห็นชัด อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญ ได้แก่1) ขัตติยบริษัท 2) พราหมณบริษัท 3) คหบดีบริษัท 4) สมณบริษัท 5) จาตุมหาราชบริษัท 6) ดาวดึงสบริษัท 7) มารบริษัท 8) พรหมบริษัท ข้อที่ #70_ภูมิจาลสูตร ว่าด้วยเหตุที่ทำให้แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ กล่าวถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นช่วงระหว่างปลงอายุสังขารของพระพุทธเจ้า โดยกล่าวถึงลำดับเหตุการณ์ที่พระองค์ได้ให้นัยยะกับท่านพระอานนท์เรื่อง อิทธบาท 4 ไว้ถึง 15 ครั้ง แต่ท่านพระอานนท์ไม่ทราบนัยยะเหล่านั้น มารจึงได้ช่องมาทูลขอให้พระองค์เสด็จดับข้นธ์ปรินิพพาน เมื่อพระองค์ทรงรับปากมารแล้วส่งผลทำให้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ท่านพระอานนท์จึงได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงเหตุแห่งแผ่นดินไหวในครั้งนั้น พระองค์จึงได้ทรงแสดงถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง 8 ประการ คือ1) เหตุแห่งอุตุ เวลาที่ลมพายุพัดแรงย่อมทำให้น้ำกระเพื่อม น้ำที่กระเพื่อมย่อมทำให้แผ่นดินไหวตาม 2) สมณะหรือพราหมณ์ผู้มีฤทธิ์ ได้เจริญปฐวีสัญญาและอาโปสัญญาจนหาประมาณมิได้ 3) พระโพธิสัตว์จุติจากภพดุสิต เสด็จสู่พระครรภ์ของพระมารดา 4) พระโพธิสัตว์ประสูติจากพระครรภ์ของพระมารดา 5) ตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ 6) ตถาคตประกาศธรรมจักรอันยอดเยี่ยมให้เป็นไป (ประกาศศาสนา) 7)ตถาคตปลงอายุสังขาร 8) ตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ภูมิจาลวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
หมวดข้อธรรม 4 ประการ พระสูตร1ที่ 3 – 10 ในปุญญาภิสันทวรรค หมวดว่าด้วยห้วงบุญกุศลข้อที่ #53_ปฐมสังวาสสูตร และ ข้อที่ #54_ทุติยสังวาสสูตร ว่าด้วยการอยู่ร่วมกัน สูตรที่ 1-2 กล่าวถึงการอยู่ร่วมกันของสามีและภรรยา 2 ประเภท ได้แก่ ประเภท “ผี” สูตร 1 หมายถึง เป็นคนทุศีล มีความตระหนี่ และ สูตร 2 หมายถึง บุคคลประกอบด้วยอกุศลกรรมบถ 10 และในประเภท “เทวดา” สูตร 1 หมายถึง เป็นคนมีศีลปราศจากความตระหนี่ และ สูตร 2 หมายถึง บุคคลประกอบด้วยกุศลกรรมบถ 10 โดยจำแนกการอยู่ร่วมกันของบุคคลทั้ง 2 ประเภทนี้ไว้ดังนี้สามีผีอยู่ร่วมกับภรรยาผีสามีผีอยู่ร่วมกับภรรยาเทวดาสามีเทวดาอยู่ร่วมกับภรรยาผีสามีเทวดาอยู่ร่วมกับภรรยาเทวดา ข้อที่ #55_ปฐมสมชีวีสูตร และ ข้อที่ #56_ทุติยสมชีวีสูตร ว่าด้วยผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เสมอกัน สูตรที่ 1-2 เป็นพระสูตรที่ว่าด้วยการที่สามีและภรรยามีความปรารถนาที่จะพบกันทั้งในชาตินี้และชาติหน้า จะต้องมี ศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาเสมอกัน โดยสูตร 1 ปรารภถึงนกุลปิตาคหบดีและนกุลมาตาคหปตานี ส่วนสูตร 2 กล่าวกับภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ 57-59 มีข้อธรรมที่เหมือนกันคือ ผู้ให้โภชนะ (อาหาร) ชื่อว่าให้ฐานะ 4 ประการแก่ปฏิคาหก (ผู้รับ) ได้แก่ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมมีส่วนได้อายุ วรรณะ สุขะ พละอันเป็นทิพย์หรืออันเป็นของมนุษย์ โดยในข้อที่ #57_สุปปวาสาสูตร ว่าด้วยสุปปวาสาโกฬิยธิดา เป็นการปรารภถึง พระนางสุปปวาสา อุบาสิกาผู้เลิศในการถวายของมีรสอันประณีตข้อที่ #58_สุทัตตสูตร ว่าด้วยสุทัตตคหบดี ปรารภถึง อนาถบิณฑิกคหบดี อุบาสกผู้เลิศในการเป็นผู้ถวายทานข้อที่ #59_โภชนสูตร ว่าด้วยทายกผู้ให้โภชนะ กล่าวกับภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ #60_คิหิสามีจิสูตร ว่าด้วยการปฏิบัติปฏิปทาที่เหมาะสมแก่คฤหัสถ์ ปรารภอนาถบิณฑิกคหบดี กล่าวถึง การบำรุงภิกษุด้วยปัจจัยสี่เป็นเหตุให้ได้ยศ เป็นไปเพื่อให้เกิดในสวรรค์ พระไตรปิฎกเล่มที่ 21 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 13 [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ปุญญาภิสันทวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
หมวดข้อธรรม 8 ประการ พระสูตรที่ 4 - 5 ในภูมิจาลวรรค หมวดว่าด้วยเหตุที่ทำให้แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ข้อที่ #64_คยาสีสสูตร ว่าด้วยพระธรรมเทศนาที่คยาสีสะ ณ ตำบลคยาสีสะ เขตเมืองคยา พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลาย เมื่อครั้งที่พระองค์ยังไม่ได้ตรัสรู้ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ พระองค์ทรงปฏิบัติ อธิเทวญาณทัสสนะ คือ ความรู้ความเห็น (ตาทิพย์) เกี่ยวกับเทวดาอันยิ่ง เป็นการปฏิบัติเพื่อพัฒนาญาณทัศนะการหยั่งรู้เกี่ยวกับเทวดาในขั้นสูง เป็นหนึ่งในญาณที่เกิดจากการเจริญสมาธิและปัญญา ทำให้ผู้ปฏิบัติสามารถเห็นแจ้งหรือรู้ถึงเรื่องราวความเป็นไปของเทวดาได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของญาณทัสสนะที่ละเอียดและบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น โดยมีลำดับดังนี้เห็นแสงสว่าง และรูป (เทวดา)เห็นแสงสว่าง เห็นรูป และพูดคุยตอบโต้กันได้เห็นแสงสว่าง... ฯ และรู้ว่ามาจากเทพนิกายไหนเห็นแสงสว่าง.... ฯ และรู้ว่าหลังจากจุติแล้วจะไปเกิดที่ไหนเห็นแสงสว่าง..... ฯ และรู้ว่าไปเกิดที่ไหน ด้วยวิบาก (คือ ผลของกรรม) อะไรเห็นแสงสว่าง...... ฯ และรู้ว่ามีความเป็นอยู่ปกติ สุข ทุกข์อย่างไรเห็นแสงสว่าง....... ฯ และรู้ว่ามีอายุเท่าไหร่เห็นแสงสว่าง........ ฯ และรู้ว่าในอดีตเคยอยู่ร่วมกันหรือไม่ ข้อที่ #65_อภิภายตนสูตร ว่าด้วยอภิภายตนะ “อภิภายตนะ” หมายถึง ญาณหรือฌานที่เป็นเหตุครอบงำนิวรณ์ 5 (สมาธิเพื่อกำจัดนิวรณ์5)1 - 2. บุคคลหนึ่งมีรูปสัญญาภายใน (รูปฌาน) เห็นรูปภายนอก (เทวดา) ขนาดเล็ก / ขนาดใหญ่3 - 4. บุคคลหนึ่งมีอรูปสัญญาภายใน (อรูปฌาน)เห็นรูปภายนอกขนาดเล็ก / ขนาดใหญ่5 - 8. บุคคลหนึ่งมีอรูปสัญญาภายใน (อรูปฌาน) เห็นรูปภายนอก (เทวดาชั้นพรหม) มีสีเขียว / สีเหลือง / สีแดง / สีขาว พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย ภูมิจาลวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
หมวดข้อธรรม 4 ประการ พระสูตรที่ 7-10 ในโรหิตัสสวรรค หมวดว่าด้วยโรหิตัสสเทพบุตร และพระสูตรที่ 1-2 ในปุญญาภิสันทวรรค หมวดว่าด้วยห้วงบุญกุศล ข้อที่ #47_สุวิทูรสูตร ว่าด้วยสิ่งที่อยู่ห่างไกลกันเหลือเกิน กล่าวถึงสิ่งที่อยู่ห่างไกลกันเหลือเกิน 4 อย่าง โดยได้ยก 3 อย่างแรกขึ้นมาก่อน คือ ท้องฟ้ากับแผ่นดิน, ฝั่ง (ทั้งสอง) ของทะเล, จุดที่ดวงอาทิตย์ขึ้นและตก เพื่อที่จะเปรียบเปรยความแตกต่างระหว่างธรรมของสัตบุรุษ (คนดี) กับธรรมของอสัตบุรุษ (คนชั่ว) ข้อที่ #48_วิสาขสูตร ว่าด้วยการแสดงธรรมของวิสาขปัญจาลิบุตร ปรารภถึงพระวิสาขปัญจาลีบุตรเถระ (เป็นบุตรของนางปัญจาลี) ที่สามารถแสดงธรรมให้ผู้ฟังเกิดความเห็นที่ถูกต้องแล้วอยากรับเอาไปปฏิบัติ ด้วยบทพยัญชนะถูกต้อง ภาษาสละสลวย ให้รู้เนื้อความได้ และแสดงธรรมที่เกี่ยวเนื่องด้วยนิพพาน ข้อที่ #49_วิปัลลาสสูตร ว่าด้วยวิปลาส “ วิปลาส ” คือ ความคลาดเคลื่อน เข้าใจผิดเพี้ยนไปจากความจริง ได้แก่ สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส และทิฏฐิวิปลาสในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ในสิ่งที่เป็นอนัตตาว่าเป็นอัตตา และในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ข้อที่ #50_อุปักกิเลสสูตร ว่าด้วยสิ่งมัวหมอง สิ่งที่เป็นเหตุให้ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์มัวหมองไม่ส่องสว่างรุ่งเรือง มีอยู่ 4 ประการ ได้แก่ เมฆ หมอก ควัน และฝุ่นละออง ราหูผู้เป็นจอมอสูร อุปมาอุปไมยกับอุปกิเลส 4 ประการ ที่เป็นเหตุให้สมณพราหมณ์มัวหมอง ไม่สง่า ไม่รุ่งเรือง ได้แก่การดื่มสุราและเมรัยเสพเมถุนธรรมยินดีในทองและเงินดำเนินชีวิตด้วยมิจฉาชีพ ข้อที่ #51_ปฐมปุญญาภิสันทสูตร ว่าด้วยห้วงบุญกุศล สูตรที่ 1 ผลแห่งบุญที่ได้ถวายปัจจัย 4 แก่อริยสงฆ์ (ผู้ปฏิบัติดีปฎิบัติชอบ) ทำให้ถึงความเป็นผู้มีอารมณ์ดี มีสุขเป็นผล เปรียบได้กับแม่น้ำในมหาสมุทรที่ทั้งลึกและกว้างใหญ่ มีปริมาณน้ำมาก ห้วงแห่งบุญก็มีมากวัดปริมาณไม่ได้ เช่นนั้นเหมือนกัน ข้อที่ #52_ทุติยปุญญาภิสันทสูตร ว่าด้วยห้วงบุญกุศล สูตรที่ 2 กล่าวถึง โสตาปัตติยังคะ 4 คือ มีศรัทธาหยั่งลงมั่นไม่หวั่นไหวในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และมีศีล ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต โรหิตัสสวรรค ปุญญาภิสันทวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
หมวดข้อธรรม 8 ประการ พระสูตรที่ 1 - พระสูตรที่ 3 ในภูมิจาลวรรค หมวดว่าด้วยเหตุที่ทำให้แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ข้อที่ #61_อิจฉาสูตร ว่าด้วยความอยากได้ลาภ ลาภในที่นี้ หมายถึง ปัจจัย 4 โดยกล่าวถึงบุคคล 8 จำพวกที่แม้ว่ากายจะอยู่วิเวกแต่ถ้าปฏิบัติไม่ต่อเนื่อง (คือ ไม่เจริญวิปัสสนาอย่างต่อเนื่อง) ความอยากในลาภย่อมปรากฎ โดยแบ่งจำแนกได้ดังนี้บุคคล 4 จำพวกแรก คือ ขาดสติสัมปชัญญะ จะหลงไปตามผลที่ปรากฎ ทำให้เคลื่อนจากสัทธรรม กล่าวคือ เมื่อมีความอยากในลาภเกิดขึ้นบุคคลพวกนี้จะตั้งความเพียรในการแสวงหาหรือไม่แสวงหาลาภก็ตาม หากไม่ได้ลาภก็จะตีอกชกตัวเสียใจ และในทางตรงกันข้ามถ้าได้ลาภก็จะดีใจหลงไหลมัวเมาในลาภนั้นบุคคล 4 จำพวกหลัง คือ มีสติสัมปชัญญะ เมื่อมีความอยากในลาภแล้วจะตั้งความเพียรหรือไม่ตั้งความเพียรในการแสวงหาลาภนั้นไว้ก็ตาม ผลคือจะไม่หลงไหลดีใจหรือเสียใจไปตามผลที่ปรากฎ ทำให้ไม่เคลื่อนจากสัทธรรม*ตารางเปรียบเทียบ  บุคคล 8 ประเภท ที่มีปรากฏอยู่ในโลก ข้อที่ #62_อลังสูตร ว่าด้วยผู้สามารถทำประโยชน์ตนและผู้อื่น โดยการนำธรรม 6 ประการนี้มาแยกจำแนกลงในบุคคลผู้สามารถปฏิบัติให้เกื้อกูลสำหรับตนเองและผู้อื่นได้ โดยจำแนกออกได้ 8 ประเภท แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ธรรม 6 ประการ ได้แก่ใคร่ครวญธรรมได้เร็วทรงจำธรรมได้พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมมีวาจางาม เจรจาถ้อยคำไพเราะชี้แจงให้เห็นชัด ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญ ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริง โดยนำธรรมข้างต้นมาแบ่งประเภทบุคคลได้ 3 กลุ่มดังนี้เพียงพอสำหรับตนเองและผู้อื่น มี 2 ประเภท ได้แก่ บุคคลประกอบด้วยธรรมในข้อที่ 1-6 และข้อที่ 2-6ไม่เพียงพอสำหรับตนเองแต่เพียงพอสำหรับผู้อื่น มี 3 ประเภท ได้แก่ บุคคลประกอบด้วยธรรมในข้อที่1, 2, 5 และ 6 / ข้อที่ 2, 5 และ 6 / ข้อที่ 5 และ 6เพียงพอสำหรับตนเองแต่ไม่เพียงพอสำหรับผู้อื่น มี 3 ประเภท ได้แก่ บุคคลประกอบด้วยธรรมในข้อที่ 1-4 / ข้อที่ 2-4 / ข้อที่ 3-4*ตารางเปรียบเทียบ  บุคคลประกอบด้วยธรรม 6 ประการนี้ เป็นผู้ที่มีความสามารถปฏิบัติให้เกื้อกูลสำหรับตนเองและผู้อื่น ข้อที่ #63_สังขิตตสูตร ว่าด้วยภิกษุทูลขอให้ทรงแสดงธรรมโดยย่อ ปรารภภิกษุรูปหนึ่งที่ติดตามพระพุทธเจ้าในการแสดงธรรมได้กราบทูลถามถึงข้อปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม (ให้เกิดการบรรลุธรรม) โดยพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงพรหมวิหาร 4 (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) ซึ่งเป็นองค์ของฌาน 1-4 และให้เห็นสติปัฏฐาน 4 (กาย เวทนา จิต ธรรม) ซึ่งปรากฏอยู่ในฌาน 1-4 ได้ในทุกอิริยาบถ 4 (ยืน เดิน นั่ง นอน) ภิกษุรูปนั้นน้อมนำเอามาปฏิบัติได้ไม่นานก็ได้บรรลุอรหันต์พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ภูมิจาลวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
หมวดธรรม 4 ประการ ในโรหิตัสสวรรค หมวดว่าด้วยโรหิตัสสเทพบุตรข้อที่ #41_สมาธิภาวนาสูตร ว่าด้วยสมาธิภาวนา สมาธิภาวนาเป็นหนึ่งในองค์ของอริยมรรคมีองค์แปด คือสัมมาสมาธิที่เมื่อบุคคลเจริญกระทำให้มากแล้วย่อมเป็นไปเพื่อ1. อยู่เป็นสุขในปัจจุบัน คือ สามารถเข้าฌาน 1-4 ได้ 2. ได้ญาณทัสสนะ (ทิพพจักขุญาณ) คือ การทำจิตให้เป็นเสมือนแสงสว่าง กำหนดหมายว่าแสงสว่างในเวลากลางวันฉันใด ย่อมทำในใจว่าแม้ในกลางคืนก็ฉันนั้น3. สติสัมปชัญญะ คือ มีสติเห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของเวทนา สัญญา และวิตก4. ความสิ้นอาสวะ คือ เห็นการเกิด-ดับในอุปทานขันธ์ห้าได้ด้วยปัญญา (ญาณ)ข้อที่ #42_ปัญหพยากรณสูตร ว่าด้วยวิธีการตอบปัญหา เมื่อถูกถามควรพิจารณาถึงคำถามและเลือกวิธีที่จะตอบให้เหมาะสมกับคำถามนั้น พระสูตรนี้ได้บอกถึงวิธีที่จะใช้ในการตอบคำถามไว้ 4 วิธี คือ1. ตอบโดยนัยเดียว2. แยกตอบ3. ตอบโดยย้อนถาม4. งดตอบข้อที่ #43_ปฐมโกธครุสูตร และ ข้อที่ #44_ทุติยโกธครุสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้มักโกรธ สูตรที่ 1-2 มีเนื้อหาข้อธรรมที่เหมือนกันกล่าวถึงคุณสมบัติของบุคคล 4 ประเภทที่ไม่มีความเคารพสัทธรรม คือ บุคคลผู้มักโกรธ ผู้มักลบหลู่ ผู้เห็นแก่ลาภ และสักการะ และในทางตรงกันข้ามบุคคลผู้มีความเคารพสัทธรรมจะเป็นผู้ไม่มักโกรธ ไม่ลบหลู่ ไม่เห็นแก่ลาภและสักการะ บุคคลจำพวกหลังนี้ย่อมทำตนให้เจริญในธรรมได้ข้อที่ #45_โรหิตัสสสูตร ว่าด้วยโรหิตัสสเทพบุตร เป็นเรื่องราวของเทวดาที่ชื่อว่า “โรหิตัสสะ” ได้เข้ามากราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าถึง “การทำที่สุดแห่งโลก ได้ด้วยการไปอย่างไร?” (ที่สุดแห่งโลก ในที่นี้หมายถึงที่สุดแห่งทุกข์ คือนิพพานนั่นเอง) แล้วได้เล่าถึงครั้งที่ตนเคยเป็นฤาษีสามารถเหาะข้ามโลกได้ด้วยความว่องไวแห่งฤทธิ์ตลอดระยะเวลา 100 ปี ไม่กินไม่นอนจนกระทั่งตายก็ยังไม่สามารถทำให้ถึงที่สุดของโลกได้ หลังจากนั้นพระผู้มีภาคเจ้าก็ได้ทรงตอบกลับว่า พระองค์ไม่กล่าวที่สุดแห่งโลกได้ด้วยการไป แต่พระองค์ได้ทรงบัญญัติอริยสัจ 4 คือ ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการที่มีอยู่ในกายนี้ เป็นข้อบัญญัติที่จะทำให้ถึงที่สุดแห่งโลกได้ข้อที่ #46_ทุติยโรหิตัสสสูตร ว่าด้วยโรหิตัสสเทพบุตร สูตรที่ 2 พระพุทธเจ้าทรงนำเรื่องราวของโรหิตัสสเทพบุตรมาเล่าให้เหล่าภิกษุฟังโดยมีเนื้อหาแบบเดียวกันกับโรหิตัสสสูตรพระไตรปิฎกเล่มที่ 21 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 13 [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต โรหิตัสสวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
จากท่านผู้ฟังที่ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์อานิสงส์ของศีลแปดแบบผู้ครองเรือนและแบบผู้ประพฤติพรหมจรรย์ที่ตนได้รับจากการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน โดยได้กล่าวถึงพระสูตรข้อที่ #40_ทุจจริตวิปากสูตร ว่าด้วยวิบากแห่งทุจริต ที่ได้รับฟังในรายการทำให้นึกถึงศีลที่ตนได้ปฏิบัติ ซึ่งมีเนื้อหาเป็นข้อธรรมตรงกันข้ามกัน แล้วเปลี่ยนจากการดื่มสุราและเมรัยในข้อสุดท้ายมาเป็นสัมมาอาชีวะ เราเรียกข้อปฏิบัตินี้ว่า อาชีวัฏฐมกศีล คือ ศีลมีอาชีพเป็นที่ 8 ได้แก่ กายกรรม (3) วจีกรรม (4) อาชีวะ (1) ซึ่งเป็นการรักษาศีลแปดแบบไม่ต้องประพฤติพรหมจรรย์และปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไปด้วยศีลแปดแบบผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ทำให้ได้รับอานิสงส์ที่เห็นได้ทางกายภาพ คือ มีสุขภาพที่ดีขึ้น*การรักษาศีลแปดมีอานิสงส์มาก นอกจากความสุขอย่างสามัญแล้วยังเป็นไปเพื่อสมาธิและปัญญา เป็นทางแห่งการบรรลุธรรมมาต่อกันที่สี่พระสูตรสุดท้ายในโคตมีวรรค ซึ่งเป็นเรื่องของบุคคลผู้ที่ควรบูชา ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบข้อที่ #57_ปฐมอาหุเนยยสูตร ว่าด้วยอาหุไนยบุคคล สูตรที่ 1 ผู้ประกอบด้วยธรรม 8 ประการนี้ เป็นผู้ควรแก่ของที่นำมาถวาย (ทาน) ควรแก่การต้อนรับ ควรแก่ทักษิณา (ทำบุญให้ผู้ล่วงลับ) ควรแก่การทำอัญชลี (กราบไหว้) เป็นนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลกได้แก่1. เป็นผู้มีศีล2. เป็นพหูสูต (ฟังมาก จำได้ขึ้นใจ แทงตลอดได้ดีด้วยปัญญา)3. มีมิตรดี (มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง)4. เป็นสัมมาทิฏฐิ5. เป็นผู้ได้ฌาน 46. ระลึกชาติก่อนได้7. เห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ (เคลื่อน) กำลังเกิด8. ทำให้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติข้อที่ #58_ทุติยอาหุเนยยสูตร ว่าด้วยอาหุไนยบุคคล สูตรที่ 2 มีข้อธรรมที่เหมือนกันกับพระสูตรที่ 1 แตกต่างกันในข้อที่ 3, 4, 5 และ 6 ดังนี้3. เป็นผู้ปรารภความเพียร4. อยู่ป่าเป็นวัตร อาศัยเสนาสนะที่สงัด5. อดทนต่อความยินร้ายและความยินดีได้6. อดทนต่อภัยที่น่ากลัวได้ (กิเลส)ข้อที่ #59_ปฐมปุคคลสูตร และ ข้อที่ #60_ ทุติยปุคคลสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้เป็นนาบุญของโลก สูตรที่ 1-2 กล่าวถึง อริยบุคคล 8 จำพวก (4 คู่ แบ่งเป็นขั้นมรรคและขั้นผล) เป็นผู้ควรแก่ของที่นำมาถวาย ฯลฯ ได้แก่โสดาปัตติมรรค – โสดาปัตติผล (ละสังโยชน์เบื้องต่ำ 3 ประการได้)สกิทาคามิมรรค – สกิทาคามิผล (ละสังโยชน์เบื้องต่ำ 3 ได้ และทำสังโยชน์เบื้องต่ำอีก 2 ประการที่เหลือให้เบาบางลง)อนาคามิมรรค – อนาคามิผล (ละสังโยชน์เบื้องต่ำทั้ง 5 ประการได้แล้ว)อรหัตมรรค – อรหัตผล (ละสังโยชน์ได้ครบ 10 ประการ)พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต โคตมีวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
หมวดธรรม 4 ประการ มาในจักกวรรค หมวดว่าด้วยจักรข้อที่ #36_โทณสูตร ว่าด้วยโทณพราหมณ์ กล่าวถึงเรื่องราวของโทณพราหมณ์ที่ได้พบเห็นรอยพระบาทของพระพุทธเจ้า แล้วได้ติดตามรอยพระบาทนั้นไปจนได้พบพระพุทธเจ้า และด้วยท่าทีอันสงบระงับของพระพุทธเจ้า ทำให้โทณพราหมณ์เกิดความรู้สึกเลื่อมใส จึงได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ท่านเป็นเทวดา คนธรรพ์ ยักษ์ หรือมนุษย์ใช่หรือไม่ ?” พระองค์ทรงตอบว่า พระองค์ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น เพราะด้วยเหตุที่ว่าอาสวะ (กรรม) ที่จะทำให้ไปเกิดได้ความเป็นอัตภาพเหล่านั้นสิ้นแล้วข้อที่ #37_อปริหานิยสูตร ว่าด้วยอปริหานิยธรรม คือ ธรรมที่ทำให้ไม่เสื่อมจากสมถะและวิปัสสนาที่ได้บรรลุแล้ว และจะได้บรรลุมรรคและผลที่ยังไม่ได้บรรลุ ได้แก่สมบูรณ์ด้วยศีลคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายรู้จักประมาณในการบริโภคประกอบความเพียรเครื่องตื่นอยู่เนือง ๆ*จะเห็นได้ว่า 3 ข้อหลัง คือส่วนหนึ่งของศีลที่เป็นไปเพื่อสมาธิข้อที่ #38_ปฏิลีนสูตร ว่าด้วยภิกษุผู้หลีกเร้น ธรรม 4 ประการนี้ ทำให้เป็นพุทธะได้เลย คือผู้มีปัจเจกสัจจะอันบรรเทาได้ หมายถึง สัจจะที่แต่ละคนยึดถือตามความเห็นของตนว่า “นี้เท่านั้นจริงสิ่งอื่นเปล่า” กำจัดได้แล้วผู้มีการแสวงหาอันสละได้ดี คือ ละการใฝ่หากาม การแสวงหาภพ และ การแสวงหาพรหมจรรย์ได้ขาดแล้วผู้มีกายสังขารอันระงับได้ คือ เข้าฌาน 4 ได้ผู้หลีกเร้น คือ ละมานะ 9 ได้            ข้อที่ #39_อุชชยสูตร ว่าด้วยปัญหาของอุชชยพราหมณ์ และ ข้อที่ #40_อุทายิสูตร ว่าด้วยปัญหาของอุทายิพราหมณ์ มีเนื้อหาข้อธรรมเหมือนกัน แต่แตกต่างกันตรงที่การปรารภถึงบุคคลที่ต่างกัน เป็นเรื่องการบูชายัญ กล่าวถึงยัญที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ คือ นิจทาน (มีผู้รับ) และ อนุกูลยัญ (ทำบุญให้บรรพบุรุษ) ส่วนยัญที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ คือ ยัญที่ต้องมีตระเตรียมการฆ่าและเบียดเบียนสัตว์พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต จักกวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ฆราวาส หรือ ผู้อยู่ครองเรือนที่ยังยินดีในการบริโภคกาม ย่อมปรารถนาสุขสามัญ คือ ความสุขที่เกิดจากทรัพย์สิน เงินทอง ยศ เกียรติ ไมตรี และจะมีธรรมเหล่าใดที่เมื่อผู้ครองเรือนปฏิบัติแล้วจะเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขในปัจจุบันและในภายภาคหน้า ซึ่งใน ทีฆชาณุสูตร และ อุชชยสูตร ได้กล่าวถึง ทิฏฐธัมมิกัตถะ หมายถึง ธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ในปัจจุบัน หรือ “ หัวใจเศรษฐี ” (อุ อา กะ สะ) และ สัมปรายิกัตถะ หมายถึง ธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์เบื้องหน้า อธิบายแยกให้เห็นดังนี้ทิฏฐธัมมิกัตถะ 4 ธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ในปัจจุบัน ได้แก่1) อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหมั่น เช่น ขยันหมั่นเพียร เป็นผู้ขยันไม่เกียจคร้านในการงาน2) อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษาโภคทรัพย์ ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร โดยชอบธรรม3) กัลยาณมิตตตา ความเป็นผู้มีมิตรดี คบคนดี ไม่คบคนชั่ว เป็นผู้มีสมาจารบริสุทธิ์ ผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา4) สมชีวิตา อยู่อย่างพอเพียง รู้ทางเจริญทรัพย์ (ไม่เป็นนักเลงหญิง ไม่เป็นนักเลงสุรา ไม่เป็นนักเลงการพนัน มีเพื่อนดี) และทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ (เป็นนักเลงหญิง เป็นนักเลงสุรา เป็นนักเลงการพนัน มีเพื่อนชั่ว) แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ ไม่ให้สุรุ่ยสุร่ายฟูมฟายนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ด้วยคิดว่า รายรับของเราจักต้องเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจักต้องไม่เหนือรายรับสัมปรายิกัตถะ 4 ธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์เบื้องหน้า ได้แก่1)  สัทธาสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศรัทธา 2)  สีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล3)  จาคสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการเสียสละ4)  ปัญญาสัมปทา ถึงพร้อมด้วยปัญญา (คือ เห็นทั้งความเกิดและความดับในสังขารทั้งปวง)เป็นหลักธรรมที่ปรากฏอยู่ในพระสูตรทั้ง 2 แต่ปรารภถึงบุคคลที่ต่างกัน โดยในข้อที่ #54_ทีฆชาณุสูตร ว่าด้วยโกฬิยบุตรชื่อว่าทีฆชาณุ เป็นการปรารภถึง ทีฆชาณุชาวโกฬิยะข้อที่ #55_อุชชยสูตร ว่าด้วยอุชชยพราหมณ์ เป็นการปรารภถึง อุชชยพราหมณ์ข้อที่ #56_ภยสูตร ว่าด้วยภัยเป็นชื่อของกาม คำว่า ภัย ทุกข์ โรค ฝี ลูกศร เครื่องข้อง เปือกตม การอยู่ในครรภ์ เป็นชื่อของกามเพราะเหตุไร ? เพราะผู้ที่ยินดีด้วยกามราคะถูกตัณหาเกี่ยวพันไว้ ย่อมไม่พ้นจาก ภัย ทุกข์ โรค ฝี ลูกศร เครื่องข้อง เปือกตม การอยู่ในครรภ์ ทั้งที่มีในภพนี้ และที่มีในภพหน้าพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต โคตมีวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
หมวดข้อธรรม 4 ประการนี้มาในจักกวรรค หมวดว่าด้วยจักร เริ่มกันใน...ข้อที่ #31_จักกสูตร ว่าด้วยจักร 4 ประการ (จักร คือ สมบัติ) คือ การทำวนไปในธรรม 4 ข้อนี้แล้ว จะเป็นเหตุให้ถึงความร่ำรวยความเป็นใหญ่ได้ นั่นคือการอยู่ในพื้นที่ดี การคบคนดี การตั้งตนในธรรม และเป็นผู้ที่ได้ทำความดีไว้ก่อนแล้วข้อที่ #32_สังคหสูตร ว่าด้วยสังคหวัตถุ คือ ธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวให้เป็นไปในเรื่องเดียวกัน เกื้อหนุนกัน เป็นกลุ่มก้อน แต่ไม่ใช่ยึดถือ คนที่มี 4 ข้อนี้ จะเป็นเหมือนแม่เหล็กดึงดูดให้คนเข้ามาคือ การให้ปิยวาจา ประพฤติประโยชน์ การวางตนเสมอกัน คือร่วมทุกข์ร่วมสุข ข้อที่ #33_สีหสูตร ว่าด้วยพญาราชสีห์ เปรียบลีลาของราชสีห์กับการบันลือสีหนาทของพระพุทธเจ้า ในเรื่องสักกายะ (อริยสัจ 4) การบันลือสีหนาทนี้ ทำให้เทวดาสะดุ้งสลดสังเวชใจ ข้อที่ #34_อัคคัปปสาทสูตร ว่าด้วยความเลื่อมใสในสิ่งที่เลิศ กล่าวถึงความเลื่อมใสในสิ่งที่เลิศ ย่อมให้วิบากที่เลิศ ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม (สังขตธรรมคืออริยมรรค และอสังขตธรรมคือวิราคะ) พระสงฆ์ข้อที่ #35_วัสสการสูตร ว่าด้วยวัสสการพราหมณ์ จะเห็นถึงความแตกต่างคำจัดความของมหาบุรุษระหว่างวัสสการพราหมณ์และพระพุทธเจ้า ที่เมื่อได้ฟังแล้ว วัสสการพราหมณ์ต้องยอมจำนนพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต จักกวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
หมวดข้อธรรม 5 ประการนี้ มาในวรรคที่ว่าด้วย “ภิกษุผู้เป็นเจ้าอาวาส” กล่าวถึงหลักคุณธรรมของผู้ดูแลอาวาส ซึ่งหลักธรรมนี้ไม่ใช่เฉพาะเจาะจงกับเจ้าอาวาสหรือภิกษุสงฆ์เท่านั้น แต่ยังหมายถึงเราทุกคน ถ้ามีคุณธรรมเหล่านี้ย่อมยังอาวาสหรือองค์กรนั้นให้เจริญรุ่งเรือง และงดงามได้ข้อที่ #231-234 อาวาสิกสูตร / ปิยสูตร / โสภณสูตร / พหูปการสูตร เจ้าอาวาสที่มีคุณธรรมดังนี้ “ย่อมเป็นที่รัก ที่เคารพยกย่อง มีอุปการะ ยังอาวาสให้งดงาม” มาในหัวข้อที่ต่างกันแต่มีเนื้อหาข้อธรรมที่เหมือนหรือต่างกันบ้าง และพอจะสรุปรวมได้ดังนี้ คือ เป็นผู้มีมรรยาทและวัตรงาม มีศีล เป็นพหูสูต ทรงสุตะ มีความประพฤติขัดเกลาดี ยินดีการหลีกเร้น วาจางาม ยังคนให้อาจหาญ ดูแลปฏิสังขรณ์เสนาสนะ และอุปการะภิกษุผู้มาจากต่างแคว้นได้ เป็นผู้ได้ฌาน 4 มีปัญญา ทำให้แจ้งซึ่งเจโตและปัญญาวิมุตติ ข้อที่ #235_อนุกัมปสูตร เจ้าอาวาสที่ประกอบด้วยธรรมต่อไปนี้ “ย่อมอนุเคราะห์คฤหัสถ์” คือให้สมาทานอธิศีลและให้เห็นธรรมได้ สามารถอนุเคราะห์คฤหัสถ์ป่วยไข้ และเชิญชวนให้ทำบุญตามกาลสมัยได้ บริโภคของที่เขานำมาถวาย ไม่ทำศรัทธาไทยให้ตกไป ข้อที่ #236-240 ปฐม-ทุติย-ตติยอวัณณารหสูตร / ปฐม-ทุติยมัจฉริยสูตร เป็นธรรมคู่ตรงข้าม มีหัวข้อที่เหมือนกันว่าด้วย เจ้าอาวาสที่เหมือนดำรงอยู่ในนรก คือไม่พิจารณาไตร่ตรองสรรเสริญคนที่ควรติเตียนหรือติเตียนคนที่ควรสรรเสริญ ไม่พิจารณาไตร่ตรองปลูกความเลื่อมใสในฐานะที่ไม่ควรเลื่อมใสหรือไม่ปลูกความเลื่อมใสในฐานะที่ควรเลื่อมใส มีความตระหนี่ในอาวาส ตระกูล ในลาภ วรรณะ และทำศรัทธาไทยให้ตกไป พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต อาวาสิกวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
จิตใจของพระนางมหาปชาบดีโคตมีเต็มไปด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะบวชเป็นภิกษุณี เธอได้แสดงความประสงค์ที่จะบวชต่อพระพุทธเจ้าหลายครั้ง ดั่งในพระสูตรที่จะหยิบยกมากล่าวนี้ข้อที่ #51_โคตมีสูตร ว่าด้วยพระนางปชาบดีโคตมีทูลขออุปสมบท ในพระสูตรนี้พระนางมหาปชาบดีโคตมี มีความปรารถนาที่จะออกบวชโดยได้แสดงไว้ถึง 2 วาระด้วยกัน คือ วาระแรก ที่กรุงกบิลพัสดุ์ พระนางทูลขอกับพระพุทธเจ้าด้วยตัวเองถึง 3 รอบแต่ก็โดนปฏิเสธตกหมดทั้ง 3 รอบ และในวาระต่อมาที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เขตกรุงเวสาลี พระนางได้ปลงผม ห่มผ้ากาสายะ และออกเดินทางไปหาพระพุทธเจ้าถึงที่นั่นเพื่อทูลขออุปสมบท และในวาระนี้เองด้วยอุบายของพระอานนท์ในการช่วยเข้าไปกราบทูลขอพระพุทธเจ้า พระนางจึงได้อุปสมบทเป็นภิกษุณีแต่ต้องรับ “ครุธรรม 8 ประการ” ไปปฏิบัติ พระนางยินดีที่จะปฏิบัติตามคุรุธรรม 8 ประการ มีอะไรบ้างแม้บวชมานานนับร้อยปีก็ต้องกราบไหว้ภิกษุ แม้บวชในวันนั้นต้องจำพรรษาอยู่ในวัดที่มีภิกษุต้องไปถามวันอุโบสถและรับฟังโอวาทจากภิกษุทุกกึ่งเดือนต้องปวารณาในสงฆ์สองฝ่ายหลังจำพรรษาแล้ว (ออกตัวให้ติเตียนได้)ต้องประพฤติมานัต (ออกจากกรรม) ในสงฆ์สองฝ่ายเมื่อต้องอาบัติหนักต้องเป็นสิกขมานา 2 ปี ก่อนจึงขออุปสมบทในสงฆ์สองฝ่ายได้ต้องไม่บริภาษด่าว่าภิกษุไม่ว่ากรณีใด ๆจะว่ากล่าวตักเตือนภิกษุไม่ได้ แต่ภิกษุว่ากล่าวตักเตือนได้*และในตอนท้ายพระสูตรพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงถึงเหตุผลไว้ว่าทำไมถึงไม่ให้สตรีบวชและเหตุที่ต้องบัญญัติคุรุธรรมข้อที่ #52_โอวาทสูตร ว่าด้วยคุณสมบัติของภิกษุผู้จะสอนภิกษุณี ต่อเนื่องมาจากคุรุธรรมในข้อที่ว่า “ต้องรับฟังโอวาทจากภิกษุทุกกึ่งเดือน” พระสูตรนี้จึงว่าด้วยคุณสมบัติของภิกษุผู้ที่จะสอนภิกษุณีต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้างเป็นผู้มีศีล สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลายเป็นพหูสูต แทงตลอดดีด้วยทิฏฐิเป็นผู้ทรงจำ จำแนก ปาติโมกข์ทั้งสองได้ดีเป็นผู้มีวาจางาม เจรจาถ้อยคำไพเราะ ไม่มีโทษ เป็นผู้สามารถชี้แจงภิกษุณีสงฆ์ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทานให้อาจหาญร่าเริงด้วยธรรมีกถาที่รักเป็นที่ชอบใจของภิกษุณีโดยมากไม่เคยประพฤติล่วงครุธรรม เป็นผู้มีพรรษา 20 หรือเกินกว่าข้อที่ #53_สังขิตตสูตร ว่าด้วยลักษณะธรรมวินัยโดยย่อ พระนางมหาปชาบดีโคตมีกราบทูลขอธรรมะโดยย่อที่เมื่อฟังแล้วจะสามารถนำไปปฏิบัติได้ดี (บรรลุธรรมได้เลย) พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมไว้เป็นคู่หรือสองฝั่งธรรมที่เป็นฝั่งของพระผู้มีพระภาคเจ้า ≠ นั่นไม่ใช่ธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า1.    ธรรมที่เป็นไปเพื่อคลายความกำหนัด ≠ ธรรมที่เป็นไปเพื่อกำหนัด2.    ...เพื่อความพราก ≠ ...เพื่อความประกอบไว้3.    ...เพื่อการไม่สะสม ≠ ...เพื่อการสะสม4.    ...เพื่อความมักน้อย ≠ ...เพื่อความมักมาก5.    ...เพื่อความสันโดษ ≠ ...เพื่อความไม่สันโดษ6.    ...เพื่อความสงัด ≠ ...เพื่อความคลุกคลีหมู่คณะ7.    ...เพื่อปรารภความเพียร ≠ ...เพื่อความเกียจคร้าน8.    ...เพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย ≠ ...เพื่อความเป็นคนเลี้ยงยากพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต โคตมีวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
loading
Comments