Discover
7 ตามใจท่าน (ธรรมะสากัจฉา)

7 ตามใจท่าน (ธรรมะสากัจฉา)
Author: ปัญญา ภาวนา ฟังธรรมะ ปัญญาภาวนา Panya Bhavana
Subscribed: 90Played: 535Subscribe
Share
© 2024 panya.org
Description
การพูดคุยปรึกษา คือ สากัจฉาทำให้เกิดความไม่ประมาทและมีปัญญาได้, มีคำถามอยู่ที่ไหน ก็มีคำตอบอยู่ที่นี่, ตอบทุกข้อสงสัย ทั้งในการดำเนินชีวิต, หลักธรรม หรือการภาวนา โดย ร่วมพูดคุยกับคุณเตือนใจ สินธุวณิก และ พระอาจารย์พระมหาไพบูลย์ อภิปุณฺโณ ในช่วง "ตามใจท่าน". New Episode ทุกวันอาทิตย์ เวลา 05:00, Podcast นี้เป็นส่วนหนึ่งของรายการธรรมะรับอรุณ ออกอากาศทุกวันทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) มีคำถาม/ข้อเสนอแนะ หรือสมัครติดตามฟังทั้ง 7 รายการ ที่ panya.org
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
371 Episodes
Reverse
Q: การปวารณา มี 2 แบบA: “ปวารณาระหว่างพระสงฆ์” กระทำในวันออกพรรษา เปิดโอกาสให้พระสงฆ์ตักเตือนกันในด้านวัตรปฏิบัติ, “คฤหัสถ์ปวารณาต่อพระ” เป็นการออกตัวให้พระสงฆ์สามารถ ขอปัจจัยสี่ได้และควรกำหนด สิ่งของหรือมูลค่าไว้ให้ชัดเจน แต่หากปวารณาไว้แล้ว ไม่สามารถให้ได้ตามที่ถูกขอ ก็สามารถถอนหรือเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งนี้หากพระจะขอโดยไม่ปวารณา จะต้องขอกับญาติเท่านั้น Q: ความหมายของคำว่า “กัปปิยโวหาร” ?A: กัปปิยโวหาร แปลว่า คำพูดที่จะทำให้เหมาะสม ใช้ระหว่างพระและญาติโยม คำพูดที่ญาติโยมควรพูดกับพระคือ “ข้าพเจ้าถวายปัจจัยสี่อันควรแก่สมณะจะบริโภค มูลค่าเท่านี้ ได้มอบไว้กับไวยาวัจกรชื่อนี้ ถ้าท่านต้องการปัจจัยสี่อันใด ท่านสามารถไปขอกับไวยาวัจกรคนนั้นได้ ” ญาติโยมจึงควรนำเงินไปให้ไวยาวัจกร ไม่ใช่ให้พระโดยตรงและไม่ควรเอาเงินใส่ซองหรือย่ามพระ Q: ไวยาวัจกรคือใคร ?A: ไวยาวัจกร คือ ผู้รับผิดชอบจัดหาปัจจัยสี่แทนพระ และผู้ที่จะเป็นไวยาวัจกรก็ต้องปวารณากับพระด้วยว่ายินดีทำหน้าที่เป็นไวยาวัจกรให้ท่าน แล้วจึงจะกำหนดให้บุคคลนั้นเป็นไวยาวัจกรได้ Q: พระสงฆ์สามารถครอบครองที่ดิน รถยนต์ ได้หรือไม่ ?A: การบวชเป็นไปเพื่อการกำจัดกิเลส สละโภคะน้อยใหญ่ ไม่ยินดีในการรับเงิน ทอง ที่ดิน ทาสหญิงหรือชาย หากท่านมีทรัพย์มาตั้งแต่ก่อนบวชแล้ว ก็ให้ตั้งจิตว่าจะสละทรัพย์เหล่านี้ ส่วนเรื่องเอกสารสามารถทำตามทีหลังได้ Q: กัปปิยโวหารเมื่อนิมนต์พระไปฉันที่บ้านA: กล่าวแค่ว่านิมนต์ไปฉันเช้าหรือฉันเพล เวลาไหน ไปรับหรือให้มาเอง ไม่ต้องบอกว่าจะถวายอะไร เมนูไหน ถึงแม้จะปวารณาว่าให้พระขอได้ ว่าต้องการฉันอะไร พระก็ไม่ควรขอ แต่หากเป็นกรณีที่พระเจ็บป่วย ขออาหารเพื่อระงับเวทนา ถึงแม้ผู้ถูกขอไม่ได้ปวารณาไว้ ก็ควรให้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: ตั้งจิตอธิษฐานต่างกับอ้อนวอนขอร้องอย่างไร?A: ท่านตรัสไว้ว่า “ถ้าจะสำเร็จอะไรได้ด้วยการอ้อนวอนขอร้อง ในโลกนี้จะไม่มีใครเสื่อมจากอะไร”, การอธิษฐาน คือ การตั้งใจมั่นอย่างแรงกล้าที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ เป็นการตั้งใจทำด้วยตัวเอง ไม่มีการอ้อนวอนขอร้อง ส่วนการอ้อนวอนขอร้องนั้นเป็นเพียงการอ้อนวอนขอร้องแต่ไม่ได้ลงมือทำ Q: ศีลแปดกับศีลอุโบสถต่างกันอย่างไร?A: เหมือนกันคือรักษาศีล 8 ทุกข้อเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่ “ศีลอุโบสถ” จะรักษาแค่วันหนึ่งคืนหนึ่ง พอเช้าก็ออกได้เลย กลับบ้านได้เลย ไม่จำเป็นต้องสมาทานศีล 5 อีก ส่วน “ศีล 8” ไม่มีเงื่อนไขเรื่องเวลา Q: “ศีล” ถ้ารักษาได้ไม่ครบก็ไม่ควรรับศีล จริงหรือ?A: รักษาศีล ดีกว่าไม่รักษาเลย แม้จะทำได้ไม่ครบ 5 ข้อ แต่ตั้งใจที่จะรักษาแม้เพียงหนึ่งข้อ ก็เป็นสิ่งดี ถ้าเราขอศีลซึ่งเป็นการตั้งเจตนาด้วยการกล่าวออกมา แล้วพระท่านให้ศีล เราควรตั้งเจตนาไว้ว่าเราจะทำให้ได้ หากเรารับศีลมาแล้วไม่คิดว่าจะทำจะรักษา รับแต่ไม่ทำ การกระทำเช่นนี้ไม่ควรทำ หากเรารับศีลมาแล้ว เราควรปรับจิตของเรา ให้ตั้งจิตไว้ว่าจะทำให้เต็มที่ แม้เพียงครึ่งวันก็ได้หรือทำข้อที่ทำได้จึงจะถูก แต่ก็ไม่ใช่ว่าฉันรักษาศีลไม่ได้ ฉันจะไม่ขอ ก็อย่าคิดอย่างนั้น การที่เรารักษาศีลไว้ได้แม้เพียงหนึ่งข้อ แม้เพียงหนึ่งช่วงเวลา ยังดีกว่าไม่รักษาเลยQ: เมื่อต้องทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินแล้วยิงศัตรูเสียชีวิตผิด ศีลหรือไม่?A: องค์แห่งการผิดศีลคือ 1) เจตนา 2) กระทำลงไป 3) มีคนตาย ถ้าไม่มีคนตาย ก็ไม่เจตนา อันนี้ไม่ผิดศีล ซึ่งถ้าครบองค์ 3 อย่างนี้ คือผิดศีล หากเขาไม่ตายแต่เราเจตนาจะฆ่าเขา เช่นนี้ก็เป็นบาปแต่อาจไม่ผิดศีล Q: จะมีปัญญาเท่าทันความงมงายได้อย่างไร?A: ศรัทธาต้องประกอบด้วยปัญญาจึงจะไม่งมงาย การอ้อนวอนขอร้องเป็นศรัทธาที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา เราต้องมีปัญญาในการแยกแยะว่า สิ่งไหนผิด สิ่งไหนถูก สิ่งที่ถูกคือเมื่อทำแล้วกิเลสลด สิ่งที่ผิดคือเมื่อทำแล้วกิเลสเพิ่ม และเราควรตั้งศรัทธาไว้ให้ถูกที่ ไม่ยึดติดในตัวบุคคล แต่ศรัทธาในระบบ ศรัทธาใน “พุทโธ” คือการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า “ธัมโม” คือพระธรรมคำสั่งสอน “สังโฆ” คือหมู่ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: การกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตชาติมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นได้อีก และคนเรามักจะทำแบบเดิม ใช่หรือไม่?A: ไม่ใช่จะเป็นแบบนั้นทั้งหมด ทุกอย่างอยู่ที่เหตุ เงื่อนไข ปัจจัย ไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนอดีตกาล ทั้งนี้หากมีความเชื่อที่ว่า อดีตเป็นมาอย่างไร อนาคตก็เป็นอย่างนั้น การประพฤติพรมจรรย์จะไม่ปรากฏ ดังนั้น เมื่อเราฟังธรรมแล้ว ควรจับใจความให้ได้ ถึงหมวดธรรมะและคุณธรรมต่าง ๆ ที่ท่านยกมา Q: เทวดามีกายทิพย์จะปวดเมื่อยได้ไหม?A: เทวดากายละเอียด มนุษย์กายหยาบ ไม่ปวดเมื่อยเหมือนมนุษย์ แต่สิ่งที่มีเหมือนกันคือ ศีล สมาธิ ปัญญา และการบรรลุธรรม เพราะว่ามีจิตเหมือนกัน แต่ความยากง่ายจะต่างกัน เพราะจุดเริ่มต้นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน Q: เทวดาสิ้นอายุได้ใน 4 ลักษณะA: 1) ลืมทานอาหาร เล่นเพลินจนลืมทานอาหาร 2) บุญเพิ่มขึ้น คือเคลื่อนไปสวรรค์ชั้นที่สูงขึ้นไป 3) มีความโกรธ ทำให้บุญลดลง เศร้าหมอง 4) หมดอายุบุญ คือ ครบอายุบุญ Q: เทวดาที่ไม่มีรูป (อรูป) รู้สึกได้ด้วยอะไร?A: ท่านมีจิต นิ่ง ๆ อยู่อย่างเดียว ไม่สามารถติดต่อสื่อสารใดได้ เป็นดวงจิตนิ่ง ๆ เป็นพรมลูกฟัก จนกว่าจะหมดอายุไปเอง Q: มองชีวิตหลังความตายด้วยทิฏฐิที่ถูกต้องA: ชาติหน้าจะมีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเหตุ เงื่อนไข ปัจจัย ถ้าเหตุปัจจัยให้มีชาติหน้าก็มี ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยให้มีชาติหน้า ชาติหน้าก็ไม่มี เกิดได้ ดับได้ Q: การทดลองของพระเจ้าปายาสิ | ปายาสิราชัญญสูตรA: พระเจ้าปายาสิ ได้ทดลองนำคนมาผ่ามาหาจิตว่า จิตอยู่ตรงไหน ก็หาไม่เจอ บอกคนที่ทำความดีคิดว่าเขาจะไปสวรรค์แล้วกลับมาบอก ก็ไม่มีใครมา จึงมีความเชื่อว่า “แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี” ความเชื่อเช่นนี้เป็น "มิจฉาทิฎฐิ" เป็นการหาจิตโดยไม่แยบคาย Q: คำตอบจากพระกุมารกัสสปะ วิธีหาจิตให้แยบคายA: จะหาจิตโดยใช้เครื่องมือที่เห็นได้ด้วยตา หูฟังได้ด้วยเสียงไม่ได้ เพราะจิตเป็นนาม เปรียบดังเคาะสังข์แล้วจะออกให้เป็นเสียง มันไม่ได้ วิธีหาจิตนั้นมีอยู่ คือใช้การตรวจสอบด้วยตาทิพย์ โดยเราจะต้องมีปัญญา หากเราไม่มี ก็ให้อาศัยความเชื่อ อาศัยคนที่มีปัญญา Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: วิธีพิจารณาเวทนาขณะเจ็บป่วยA: คนเราตายได้ง่าย เป็นข้อที่เราต้องตระหนัก ความกลัวตายมี 2 แบบ คือ ความกลัวที่เป็นอกุศล ก็คือความกลัวที่จะตาย และความกลัวที่เป็นกุศล คือกลัวตกนรก ความกลัวตกนรกนี้เป็นกุศล เพราะจะทำให้เราตระหนักว่าเรายังมีบาปอกุศลกรรมใดหรือไม่ ที่จะทำให้ไปตกนรก ถ้ามีต้องรีบละ หากเคยทำผิดศีล ก็ให้สมาทานศีลขึ้นมาใหม่ เราต้องเข้าใจว่าสิ่งใดที่ทำไปแล้ว ก็ล่วงไปแล้ว เรากลับไปแก้ไขสิ่งที่เคยทำผิดไม่ได้ “อย่ากระนั้นเลย เราจะละสิ่งนั้นเสียเราจะตั้งใจทำใหม่” หากละได้แล้ว ก็ให้อยู่ด้วยปิติและปราโมทย์Q: วิธีพิจารณาความกลัวการพลัดพรากA: 1) พิจารณาจากของ เช่น ข้าวของเงินทอง ว่าสิ่งเหล่านี้เมื่อเราตายไปแล้วเอาไปด้วยไม่ได้ แต่หากเราตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา เมื่อเทียบทรัพย์ของเทวดากับเงินทอง เงินทองค่ามันน้อยมาก ๆ 2) พิจารณาจากคน คนที่เรารักมากที่สุดต่อให้เราตายไป โลกก็ต้องเป็นไปตามกรรม ใครทำกรรมดีก็ได้รับผลดี ใครทำกรรมชั่วก็ได้รับผลชั่ว Q: วิธีตัดความกังวลใจA: วิธีที่ 1 เข้าสมาธิให้ลึก เราจะเข้าสมาธิที่ลึกได้ เราต้องตั้งสติ อย่ากังวลใจ อย่าเพลินไปตามอาการ เมื่อเราตัดได้จิตเราจะเป็นสมาธิ จิตจะแยกจากกายได้ ร่างกายก็จะได้พัก วิธีที่ 2 ฟังบทโพชฌงค์และสติปัฎฐาน 4 การฟังธรรมะ จะทำให้เราจิตสงบเป็นสมาธิพอเรามีปิติ มีสุข มันก็จะส่งผลให้กายมีปิติ มีสุข ไปด้วย จะทำให้ร่างกายหายได้โดยควรแก่ฐานะหรือถ้าไม่หายแล้วตาย ก็ทำให้ไปดี ไปสวรรค์และถ้าเห็นความเกิดขึ้น เห็นความดับไป จะไปนิพพานได้ ไม่ก่อน ไม่หลังจากการตายQ: วิธีให้จิตอยู่เหนือกายA: การแยกจิตกับกาย ทุกขเวทนาอยู่ที่กาย รับรู้สุขทุกข์อยู่ที่จิต เราจะแยกจิตให้อยู่เหนือจากกาย เหนือจากเวทนาที่เกิดขึ้นในกาย เราต้องเห็นว่ากายนี้เป็นของไม่เที่ยง เวทนาเป็นของไม่เที่ยง เวทนาทั้งสุขและทุกข์นั้นไม่เที่ยง เห็นบ่อย ๆ จะเกิดความหน่ายคลายกำหนัด ปล่อยวางได้ในเวทนาทั้งสุขและทุกข์ เข้าใจว่าทั้งสุขและทุกข์นั้นไม่เที่ยง ไม่ยึดถือในทั้งในสุขและทุกข์ พอเข้าใจอย่างนี้ จิตของเราก็จะเหนือจากสุขและทุกข์ทางกาย เหนือโรคภัยไข้เจ็บ เหนือจากผัสสะที่เข้ามากระทบได้ Q: รักษาใจอย่างไรดีเมื่อเพิ่งรู้ว่าทำบุญกับอลัชชี?A: ให้ตั้งจิตไว้ว่า “ถวายแด่สงฆ์ คือหมู่แห่งผู้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า หมายเอาผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โดยมีภิกษุรูปนี้เป็นตัวแทน” ให้ตั้งจิตไว้แบบนี้ แม้ผู้ที่รับจะเป็นภิกษุทุศีล แต่ด้วยความที่เราตั้งเจตนาไว้ดี บุญก็จะส่งผลมหาศาล ซึ่งทานที่ให้ไปนั้น มันจะส่งผลทั้งก่อน ระหว่าง และหลัง ให้เราตั้งศรัทธาให้ถูก โทษของศรัทธาคือที่ศรัทธาในตัวบุคคลนั้นมีอยู่ ท่านจึงให้เราตั้งศรัทธาไว้ที่ “พุทโธ” คือการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ตัวพระพุทธเจ้า, “ธัมโม” คือพระธรรมไม่ใช่ตัวหนังสือแต่หมายถึงองค์ความรู้, “สังโฆ” หมายถึง หมู่ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เช่นนี้จึงจะเป็นการตั้งศรัทธาไว้อย่างถูกต้อง Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดขึ้นตรงไหน?A: อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรียกรวมว่า “ไตรลักษณ์” เป็นคุณสมบัติที่มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นระบบสมมุติทั้งหมด เรียกว่า “สังขตธรรม” ลักษณะ คือ มีการเกิดปรากฏ มีความเสื่อมปรากฏ เมื่อตั้งอยู่ มีภาวะอื่น ๆ ปรากฏ ก็คือธรรมที่มีการปรุงแต่งด้วยเหตุเงื่อนไขปัจจัย ถ้าคุณไม่เห็นว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่ใช่ตัวตน มันก็จะทำให้คุณ ยินดี พอใจ ยึดถือ เข้าใจว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ไปตลอด จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ พอมันเปลี่ยนแปลงไป เราจึงทุกข์ทันที ทุกข์เพราะไม่เป็นตามที่หวัง ที่เราไม่เห็น เพราะอวิชชาทำให้เราไม่เห็น เพราะพอเราเพลินพอใจ ตัณหา อวิชชา ทำงานคู่กัน ทำให้เราไม่เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตัณหาอวิชชาทำงานคู่กัน ทำให้เราเห็นว่าเป็นนิจจัง สุขขัง อัตตา ในสิ่งที่มันเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราจะรู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้ ต้องเกิดตรงที่เราไม่รู้Q: ใครเป็นผู้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาA: เราจะเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้ด้วยปัญญาระดับ “ภาวนามยปัญญา” เราจะมีปัญญาที่เป็นภาวนามยปัญญาได้ ต้องทำตามมรรค 8 มีศรัทธา สติ สมาธิ ความเพียร ฟังธรรมใคร่ครวญธรรมอยู่เนือง ๆ ภาวนามยปัญญาจึงจะเกิดจึงจะเห็น สิ่งที่เราเข้าใจว่านิจจัง แท้จริงเป็น “อนิจจัง” เข้าใจว่าสุขแท้จริงคือ “ทุกขัง” เข้าใจว่าเป็นตัวตนแท้จริงนั้นมันเป็น “อนัตตา” Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: จะทำจิตให้สมดุลได้อย่างไรระหว่างธรรมกับหน้าที่ ?A: เราต้องตั้งจิตให้เป็นสัมมาทิฐิก่อน ท่านให้เกณฑ์ของศีลไว้ คนที่ผิดศีล ฆ่าคน ต้องไปตกนรก การที่เราเข้าใจว่า ฆ่าคนแล้วไปสวรรค์ นั่นเป็นมิจฉาทิฐิ คนที่มีมิจฉาทิฐิแม้ตัวเองจะไม่ได้ไปออกรบเองก็จะมีคติที่ไป คือไปเกิดในนรกหรือเป็นสัตว์เดรัจฉาน และการเข้าใจว่าคนที่เป็นมิจฉาทิฐิทั้งหมด ต้องไปนรกทั้งหมดนั้นมันไม่แน่ อย่าเหมา มิจฉาทิฐินั้นจะมีสุดโต่ง 2 ข้าง ข้างหนึ่ง คือ เข้าใจว่า ที่จริงต้องไปนรกแต่เข้าใจว่าไปสวรรค์ สุดโต่งอีกข้างหนึ่ง คือเข้าใจว่า ทั้งหมดต้องไปนรก ให้เรามาตรงกลาง คือ สัมมาทิฐิ ว่าอกุศลที่เราทำไปมีอยู่ มิจฉาทิฐิกับทำผิดศีลนั้นไม่ดี “อย่ากระนั้นเลย เราจะละความเข้าใจผิดนั้นเสีย แล้วเราก็จะละการผิดศีลนั้นเสีย ละการฆ่าคนนั้นเสีย ก็จะทำสิ่งที่ควรทำ เว้นสิ่งที่ควรเว้น” Q: อะไรคือสิ่งที่ควรทำ เว้นสิ่งที่ควรเว้น?A: “สิ่งที่ควรเว้น” คือ เว้นการผิดศีล เว้นมิจฉาทิฎฐิ เว้นการฆ่าคน เว้นการกระทำที่กระตุ้นราคะ โทสะ โมหะ ให้มากขึ้น “สิ่งที่ควรทำ” คือ ตั้งจิตให้อยู่ในแดนกุศล เข้าใจว่าศีลคือสิ่งที่ต้องรักษา เข้าใจว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เมื่อเคยทำผิดศีลแล้วต่อมาเข้าใจถูก ก็เลิกพูดในสิ่งที่ผิด (ในที่นี้คือ เลิกพูดว่าฆ่าคนแล้วได้ไปสวรรค์) เมื่อทำสิ่งที่ควรทำ เว้นสิ่งที่ควรเว้นอย่างนี้แล้ว นั่นคือช่องทางที่เราจะดำเนินชีวิต ก็จะสามารถที่จะถึงกระแสพระพุทธเจ้า เป็นโสดาบันได้ Q: แล้วควรจะทำอย่างไร?A: ให้เข้าใจว่าเราไม่ได้ทำกิจนั้นตลอดเวลา ให้ตั้งจิตให้เป็นกุศล ทำจิตไว้ให้ดี ตั้งเจตนาให้ถูก ให้เข้าใจว่าถึงยังไงก็แก้ไขได้ ไม่ใช่ว่าผิดศีลแล้วคือผิดหมด ให้เข้าใจว่าแม้ผิดศีลก็แก้ไขได้ Q: วางจิตทำหน้าที่ต่างกัน ผลต่างกันหรือไม่?A: ท่านอุปมาไว้ดังรอยกรีด หากวางจิตเพื่อป้องกัน ไม่ได้มุ่งทำร้าย ก็อุปมาดังรอยกรีดบนน้ำ หากวางจิตที่หมายจะเอาชีวิต ฆ่าฟัน ก็อุปมาดัง รอยกรีดบนหิน ที่จะให้ผลหนัก Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: วิธีเจริญสติในเวลาทำงานทำอย่างไร?A: เราต้องมีเครื่องระลึกถึงคือ “สติ” ในทุก ๆ อิริยาบถ ไม่ขัดเคือง มีเมตตาให้คนอื่น เวลาทำงานถ้ากิเลสเพิ่ม นั่นคือไม่มีสติในการทำงาน เวลาทำงานถ้ากิเลสลด นั่นคือมีสติในการทำงานQ: พระเครื่องไม่มีในพระพุทธศาสนาใช่ไหม?A: มีหลังจากที่พระพุทธเจ้าท่านปรินิพพาน สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกถึงคุณของท่าน โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราควรทำ คือเดินตามทางมรรค 8 ไม่ใช่ห้อยพระ เพื่ออยากให้บันดาลสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้Q: “สิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน ที่คิดได้รู้สึกได้ว่าเป็นตัวตน” และ “สิ่งที่ถูกหลอกว่าเป็นตัวตน” นั้นคือสิ่งใด?A: สิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนคือ “ขันธ์ 5” สิ่งที่ถูกหลอกว่าเป็นตัวตนคือ “จิต” จิตหลอกตัวเองว่าจิตเป็นของเรา แล้วจิตก็หลอกตัวเองไปยึดถือขันธ์ 5 โดยความเป็นตัวตน ว่านั่นเป็นของเรา เป็นตัวตนของเรา มันล๊อกกันอยู่ 2 ชั้น ให้เราพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ความไม่ใช่ตัวตน เมื่อเห็นตรงนี้จะคลายความยึดถือและปลดล๊อกได้ ให้เรารักษาจิต ด้วยสติ ศีล สมาธิและปัญญา เมื่อความจริงปรากฏว่าจิตก็ไม่เที่ยง เมื่อเห็นความไม่เที่ยง จิตก็จะละเอียดลงๆ หลุดพ้นจากความยึดถือ อวิชชาที่อยู่ที่จิตก็จะดับไป และสิ่งเหลืออยู่ ก็คือจิตที่บริสุทธิ์นั่นเองQ: การใช้ชีวิตตอนอยู่นอกคอร์สปฏิบัติธรรม ?A: เมื่อเรายังต้องอยู่ในสังคม สิ่งที่สำคัญ คือ “จิตใจ” ให้อยู่เหนือโลก เหนือผัสสะที่จะมาทำให้เราสุข ทุกข์ ขัดเคือง ลุ่มหลง ให้เหนือจากสิ่งเหล่านี้ด้วยสติสัมปชัญญะ เหนือด้วยสติปัญญา อย่าทำตัวเป็นคนหลุดโลก คือไม่สนคนอื่นหรือทำตัวประหลาด ให้ดูว่าเพื่อนที่ไปด้วยว่าเป็นกัลยาณมิตรไหม ชวนคุยเรื่องธรรมะหรือหากคุยเรื่องงานก็ให้คุยด้วยสัมมาวาจา หากคำพูดใดที่จะทำให้อกุศลเกิดก็อย่าพูดQ: คนเลือกเกิดได้หรือไม่ ?A: ทั้งได้และไม่ได้ หากเราทำดีรักษาศีล ก็เลือกเกิดไปสวรรค์ได้ หากเราผิดศีล ก็คือเลือกเกิดไปนรก หากจะเลือกไม่เกิดเลย ก็ต้องปฏิบัติตามรรค 8 จะไปนิพพานได้ หรือหากหมายถึงเลือกเกิดได้ แบบอยากรวย สวย หล่อ ต้องตั้งจิตอธิฐาน ซึ่งอาจจะได้หรือไม่ได้ก็ได้ ไม่แน่นอน Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: ถ้าอุปัชฌาย์ปาราชิกจะมีผลต่อการบวชอย่างไร?A: ท่านบัญญัติไว้ว่าเหตุที่จะบวชไม่สำเร็จ คือ “วิบัติ 4 ประการ” 1) วัตถุวิบัติ คือ คนที่บวช พ่อ แม่ไม่อนุญาตให้บวช อายุต่ำกว่า 20 ปี เป็นโรคเรื้อน โรคมงคร่อ โรคลมบ้าหมู อวัยวะไม่สมประกอบ เคยถูกหลวงลงอาญาและไม่ใช่คน จึงต้องมีการไต่ถาม ตรวจสอบ ถ้ารู้ก่อนไม่ให้บวช คือ คนที่ไม่มีบาตร มีหนี้ ติดคดีความ ถ้ารู้ภายหลังต้องให้สึก คือเคยทำอนันตริยกรรม มีอวัยวะสองเพศ กะเทย ขันที การที่มารู้ทีหลัง คนที่บวชให้จะอาบัติ แต่พระที่บวชมาแล้วไม่อาบัติ 2) บริษัทวิบัติ ในหมู่พระขณะที่บวชนั้น จะต้องมีพระที่ไม่ปาราชิกเกิน 5 รูป ของพระที่อยู่ในในหัตถบาท และหากมีคนที่ไม่ใช่พระอยู่ในนั้น ก็วิบัติเช่นกัน 3) สีมาวิบัติ สถานที่ที่ใช้ในการบวชต้องได้รับการสมมติสีมาขึ้นอย่างถูกต้อง พระที่อยู่ในเขตสีมา ต้องอยู่ในหัตถบาส แต่ถ้าอยู่ในเขตสีมา แต่อยู่นอกหัตถบาสถือว่าบริษัทไม่บริสุทธิ์ 4) กรรมวาจาวิบัติ ถ้าคนที่จะมาบวช กล่าวไม่ถูก กล่าวผิด ถือว่าวิบัติ Q: ใครคืออุปัชฌาย์?A: อุปัชฌาย์ หมายถึง ผู้นำเข้าหมู่ ตอนแรกกฎยังไม่มาก ภายหลังพอกฏระเบียบมากขึ้นก็ต้องมีผู้แนะนำสั่งสอน ผู้สั่งสอนและนำเข้าหมู่จึงเรียกว่า “พระอุปัชฌาย์” แต่บางทีพระอุปัชฌาย์อาจจะไม่ได้สอน ก็จะมีพระอาจารย์เป็นผู้สอน Q: การจัดคอร์สในปัจจุปันมีที่ไหนบ้าง?A: สถานที่จัด: วัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก) จ.บึงกาฬ วันที่ 6-14 ธันวาคม 2568 และ วันที่ 21 กุมภาพันธ์-1 มีนาคม 2569 การเดินทาง : เดินทางได้ด้วยรถทัวร์และเครื่องบิน ลงที่สนามบินอุดรธานี มีรถไปรับ (นัดเวลากันอีกครั้ง) ท่านสามารถสมัครและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.panya.org Q: ธรรมะข้อใดที่สามารถนำมาใช้ในช่วงสงครามนี้A: ให้จิตของเราไปตามกระแสของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วรักษาจิตเราให้ดี รักษาศีลให้ดี ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: อาชีวะของภิกษุ เรื่องการซื้อการขายA: พระห้ามซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนของด้วยตัวเอง เพราะผิดพระวินัย แต่หากมีไวยาวัจกร ทำหน้าที่ซื้อขายแทน สามารถทำได้ Q: วัตถุอนามาส วัตถุที่ไม่ควรแตะต้องA: วัตถุอนามาส เป็นของที่พระไม่ควรแตะต้องเพราะจำทำให้เกิดกิเลสได้ง่าย ได้แก่ 1) ศาสตราวุธ 2) เครื่องดักสัตว์ 3) วัตถุของมีค่า 4) เครื่องประโคมดนตรี 5) สัตว์เดรัชฉานตัวเมีย รวมถึงกะเทย ผู้หญิง เครื่องแต่งกายหญิง ตุ๊กตาที่เป็นผู้หญิง 6) ข้าวเปลือกหรือผลไม้ที่ออกรวงออกผลแล้ว Q: ภิกษุกับการขับรถยนต์A: ไม่มีระบุไว้ในพระวินัย แต่ความเห็นของอรรถกถาจารย์ในประเทศไทยห้ามพระขับรถQ: การดูแลบิดามารดาที่แก่เฒ่าA: ท่านอนุญาตเรื่องการดูแล คือ การอำนวยความสะดวก เช่น หาคนมาดูแลท่าน การนำอาหารที่บิณฑบาตมาด้วยปลีแข้งของตัวเองเอาไปให้ ท่านอนุญาตให้เท่านี้ เกินกว่านี้จะอาบัติ Q: เมื่อพระป่วยจะฉันอย่างไร?A: สิ่งที่ท่านฉันได้หลังเที่ยง คือ น้ำผลไม้ที่ไม่ผ่านความร้อนไม่เติมน้ำตาลและน้ำเปล่า ท่านสามารถฉันได้โดยไม่ต้องมีเหตุ แต่ถ้าจะฉันเพื่อระงับเวทนา ท่านก็ให้พิจารณาก่อนค่อยฉัน ได้แก่ เภสัช5 น้ำต้มเนื้อเอาแต่น้ำ ข้าวยาคูแค่น Q: ที่นอนA: ที่นอนเตียงตั่งพระห้ามสูงเกินเอว ห้ามนอนเตียงตั่งยกสูง ห้ามไม่ให้เท้าของตั่งหรือเตียงเป็นรูปสัตว์หรือประดับด้วยทอง ฟูกต้องเป็นขนาดที่นอนได้คนเดียวห้ามหนาเกินคืบ หมอนต้องเป็นหมอนที่หนุนได้คนเดียว ห้ามมีหมอนข้าง Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q : วิธีเช็คจรรยาบรรณจริยธรรมในจิตเป็นอย่างไร?A : ใช้มรรค 8 เป็นเกณฑ์ ท่านให้พิจารณาไตร่ตรอง ใคร่ครวญ โยนิโสมนสิการ ด้วยจิตที่เป็นสมาธิถึงความไม่เที่ยงอยู่เนือง ๆ เมื่อเราพิจารณาอยู่เนือง ๆ ความเข้าใจบางประการจะเกิดขึ้น แจ่มแจ้งขึ้นว่า เราไม่ควรทำอย่างนั้น แล้วเราจะกลับตัวได้ เราจะเตือนตนด้วยตนได้ ยิ่งเรากลับตัวได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ถ้าหากเราเตือนตนด้วยตนไม่ได้ก็ต้องให้คนอื่นเตือน สังคมเตือน การลงโทษหรือตกนรก Q : การพยากรณ์ต่อวัสสการพราหมณ์จะเป็นใครในอนาคตA : วัสสการพราหมณ์ ในโคปกโมคคัลลานสูตร ในอรรถกถาเขียนไว้ว่าพราหมณ์ท่านนี้ปรากฏว่าไปเกิดเป็นลิง เพราะเหตุที่สมัยหนึ่งเดินลงมาจากเขาคิชฌกูฏ เห็นพระมหากัจจายนะแล้วบอกว่าเหมือนลิง พระพุทธเจ้าท่านได้กล่าวว่า “ถ้าขอขมาจะเป็นการดี ถ้าไม่ได้ขอขมาหลังจากตายแล้วจะไปเกิดเป็นลิง” แต่เขาไม่ทำตาม Q : วางจิตอย่างไรต่อข่าวในทางไม่ดีของพระA : “สงฆ์” แปลว่าหมู่ เพราะฉะนั้นเราไม่ควรเหมา การเหมาว่าพระทุกรูปจะเป็นแบบนี้ จะทำให้สรณะของเราเศร้าหมอง ให้เราขอขมาพระรัตนตรัย ด้วยการตั้งจิตแล้วขอขมาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอตั้งจิตเราต่อสรณะ 3 อย่างนี้ ไม่ควรติเตียนใคร ใครทำกรรมก็ได้ผลของกรรมนั้นไป Q : ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแสดงให้ใครฟัง แสดงที่ไหน?A : แสดงไว้ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี แสดงธรรมให้แก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 และเทวดาท่านก็ได้ยืนฟังด้วย Q : อนาถบิณฑิกเศรษฐีทุบศาลพระภูมิมาจากสาเหตุใด?A : อาจจะเป็นตอนที่จากเศรษฐีเป็นยาจก เรื่องราวทีสอดคล้องคือมาในนิทานธรรมบท ที่มีเทวดาตนหนึ่งอยู่ที่ซุ้มประตูบ้านของท่านบอกว่า ถ้าท่านยังให้ทานอยู่ท่านจะจนลงไปอีก ท่านเศรษฐีจึงทุบซุ้มประตูทิ้ง Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q : พุทธศาสนาในปัจจุบันนี้เจริญขึ้นหรือเสื่อมลง?A : คำสอนหากมีคนนำมาทำนำมาปฏิบัติย่อมเจริญ แต่หากไม่มีคนนำมาทำนำมาปฏิบัติ คำสอนก็จะเสื่อมลง เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับการนำมาใช้งาน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำสอน ท่านกล่าวไว้ว่า “ธรรมะที่จะทำให้เจริญได้ คือ ความไม่ประมาท” เป็นประโยชน์ทั้งในปัจจุบันและต่อไป ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า Q : ศาสนาเดียวกันแต่ทำไมปฏิบัติต่างกันA : ความแตกต่างกันมีอยู่แล้ว เพราะท่านสอนไว้หลายอย่าง ครูบาอาจารย์แต่ละท่าน ท่านชำนาญด้านไหนท่านก็สอนด้านนั้น Q : หลักการในการพิจารณาว่าอะไรเป็นธรรมวินัยตามคำสอนของพระพุทธเจ้าA : หากเราได้ยินได้ฟังจากใครก็ตาม แล้วเขาบอกว่านี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้เรารับฟังไว้ก่อน แล้วกำหนดบทอรรถและพยัญชนะให้ถูกต้อง จากนั้นนำไปเทียบเคียงในพระสูตรและพระธรรมวินัย ว่าเข้ากันได้ลงรับกันได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ให้ละทิ้งคำเหล่านั้นเสีย ถ้าได้คำสอนนั้นก็สามารถนำมาปฎิบัติได้ Q : สายมูกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าA : เราต้องรู้จักใคร่ครวญ พิจารณา แยกแยะ คือ โยนิโสมนสิการ พิจารณาตามมรรค 8 ตามหลักอริยสัจสี่ เราจะสามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนดีเป็นกุศลหรือสิ่งไหนไม่ดีเป็นอกุศล Q : ทำพิธีแก้กรรม แก้กรรมได้จริงหรือไม่?A : ทำให้สิ้นกรรมทำได้ แต่เราต้องทำด้วยตัวเอง คนอื่นจะทำให้ไม่ได้ การที่เราจะทำให้สิ้นกรรมได้ คือ การทำกรรมดี ทำตามระบบของมรรค 8 เราจะอยู่เหนือกรรมดีกรรมชั่วได้ เรียกว่า “สิ้นกรรม” Q : ทำไมในสมัยปัจจุบันจึงมีผู้บรรลุพระอรหันต์ได้น้อยกว่าสมัยพุทธกาลA : ท่านเปรียบดัง ทองคำแท้ คือ “สัทธรรม” และ ทองคำปลอม คือ ”สัทธรรมปฏิรูป” เมื่อไหร่ที่มีทองคำปลอมเกิดขึ้น ทองคำแท้ก็จะลดลง ที่เรารู้สึกลดลงเพราะมีทองคำปลอมอยู่มาก ดังนั้นเราจะรักษาสัทธรรมได้ด้วยการกลับมาที่คำสอนโยนิโสมนสิการด้วยปัญญา ด้วยการใช้มรรค 8 เป็นตัวตรวจสอบ Q : วิธีดูที่พึ่งที่แท้จริง / ทองคำแท้ ทองคำปลอม A : ใช้มรรค 8 เป็นเครื่องมือตรวจสอบ พิจารณาใคร่ครวญด้วยปัญญา ประกอบด้วยการทำการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้พระพุทธเจ้าท่านไม่อยู่แล้ว เราต้องเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: ไม่ควรไว้ใจในคนไม่คุ้นเคย แม้คนคุ้นเคยก็ไม่ควรไว้ใจ หมายความเช่นไร?A: หมายความว่า ไม่ประมาทแม้ในคนที่คุ้นเคยหรือไม่คุ้นเคย คือให้เราระมัดระวัง ทั้งทาง กาย วาจา ใจ ก่อนที่เราจะคิด พูดหรือทำสิ่งใด กับทั้งคนที่คุ้นเคยหรือไม่คุ้นเคย เช่น หากเรามีความคุ้นเคยกับเพื่อนของเรา ก็ไม่ใช่ว่าเราจะถือวิสาสะ พูดไม่ถนอมน้ำใจเขา หรือ เรื่องของศรัทธา ศรัทธานั้นดีแต่โทษของศรัทธาก็มี คือในข้อดีก็มีข้อที่ต้องระวัง ให้รักษาความไม่ประมาทด้วยสติ รักษากันด้วยธรรมะ เราก็จะอยู่ได้กับทั้งคนที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย Q: ขอทราบวิธีรับมือกับบุพการีที่มีอารมณ์แปรปรวนA: ให้อดทน ให้มีเมตตา มุทิตา กรุณาและอุเบกขาต่อท่าน นึกถึงตอนที่ท่านเลี้ยงเรามา หน้าที่ ที่เราต้องกระทำต่อท่าน คือ ประดิษฐานให้ท่านมีศีล ศรัทธา จาคะและปัญญา ถ้าท่านยังไม่มี ต้องทำให้มี หาโอกาสเมื่อท่านพร้อมรับฟัง ท่านอารมณ์ดีตอนไหนก็ทำตอนนั้น Q: นั่งสมาธิแล้วเกิดไอเดียดี ดีหรือไม่อย่างไร?A: คำว่า ”ดี” ในที่นี้ไม่ใด้หมายถึงสุขเวทนา แต่หมายถึงความคิดที่ไม่ได้เป็น กาม พยาบาท เบียดเบียน คือถ้าคิดเรื่องที่เป็นกุศลสามารถคิดได้ เราสามารถใช้ประโยชน์จากสมาธิกับการเรียนหรือการทำงานก็ได้ แต่ที่ท่านเน้นสอนคือใช้มาในแนวทางของการพิจารณาความไม่เที่ยง การหลุดพ้น จะได้ประโยชน์สูงสุด Q: สติคือการระลึกได้แล้วสติใช่ความคิดหรือไม่?A: สติ คือ “ระลึกถึงที่ทำ จำคำที่พูดแล้วแม้นานได้” ส่วนความคิดไม่ใช่สติ แต่การระลึกถึงความคิดได้นั้นคือ “สติ”Q: เมื่ออายุมากขึ้นควรปรับการนั่งสมาธิอย่างไร?A: การปฏิบัติธรรมอยู่ที่จิต ไม่ได้ติดอยู่กับรูปแบบ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใดก็ปฏิบัติได้หมด Q: เมื่อป่วยจนต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต ธรรมะข้อใดสามารถนำมาใช้ได้ A: ให้เราเปลี่ยนทิฏฐิคือมุมมอง ให้มองไปในทางที่จะทำให้เกิดประโยชน์ เกิดธรรมะ พอเราเปลี่ยนมุมมอง เราจะพัฒนาไปต่อได้ Q: กายคตาสติคือการน้อมไปคิดเหมือนจินตนาการใช่หรือเปล่า?A: เราจะมีสติอยู่กับอะไรก็ตาม ต้องมีอยู่ 2 ส่วน คือ สติและเรื่องที่เราจะไปมีสตินั้น ในที่นี้เราคิดไปในกายคตาสติ คือการเห็นกายเป็นของไม่สวยงาม เป็นของปฏิกูล แนวทางการคิดที่ท่านสอนไว้ คือการคิดแบบโยนิโสมนสิการ คือการคิดด้วยจิตที่เป็นสมาธิเป็นอารมณ์อันเดียว แต่ถ้าจิตไม่เป็นอารมณ์อันเดียว ความคิดนั้นคือฟุ้งซ่าน Q: ใช้บทสวดมนต์แทนการนึกภาพ ในการสร้างวิตกวิจารหรือสัมมาสังกัปปะได้หรือไม่?A: ได้ การที่เราใช้บทสวดมนต์เป็นที่ระลึกถึงนั้นเป็นธัมมานุสติ จะทำให้เรามีความดำริ ที่เป็น “สัมมาสังกัปปะ” การที่เราระลึกถึงบทสวดมนต์ เป็นการระลึกชอบ เป็นสัมมาสติ มีความเพียรเป็นกำลังที่เรามาใส่ในความระลึกถึงก็เป็นสัมมาวายามะ เพราะฉะนั้นเราจะใช้เครื่องมืออะไรก็ได้ ตามที่ท่านได้ให้แนวทางไว้ เพื่อที่จะให้จิตเรามีที่ตั้ง Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: อะไรเป็นผู้ที่คิดนึกปรุงแต่ง ?A: ไม่มีอะไรเข้าไปปรุง จิตเป็นกระแสต่อเนื่องกันมา ๆ มีสภาวะเป็นภาพลวงตา การที่เราเข้าใจว่าจิตเข้าไปปรุงแต่งนั้น เราเข้าใจผิด เพราะเราไม่รู้ว่าถูกคืออะไร ซึ่งความเข้าใจผิดนั้นความไม่รู้นั้น คืออวิชชา เราจะดับอวิชชาได้ เราต้องเห็นความไม่เที่ยง เห็นกฎของไตรลักษณ์ เข้าใจว่าสังขารการปรุงแต่งทั้งหมดคืออวิชชา พอเราเห็นความไม่เที่ยง ละอวิชชาได้ รู้ว่าสิ่งนี้ไม่ควรยึดถือแล้ว เราก็วางละความยึดถือในสิ่งนั้น เราก็จะพ้นทุกข์ได้Q: ทำไมจึงอยากพ้นทุกข์ ทั้งที่ก็ยังทำกิจที่เป็นทุกข์อยู่?A: กิจที่ควรทำกับทุกข์ คือทำความเข้าใจในทุกข์และยอมรับมัน ไม่ใช่ว่าหนีจากมัน หนีจากทุกข์ แต่สิ่งที่ไม่ดีที่เราต้องหนีต้องละ นั่นคือตัณหา พอเราละตัณหา เข้าใจทุกข์ยอมรับทุกข์ ทุกข์ก็จะไม่มาเป็นทุกข์ เรียกว่า “พ้น” จากกันQ: ข้าวหมากถวายพระได้ไหม?A: ถวายได้และรับได้ ส่วนการฉัน ท่านได้บัญญัติไว้ว่า “ห้ามดื่มสุรา” แต่ก็มีข้อยกเว้น ในกรณีที่พระท่านอาพาธ ท่านให้ฉันได้ โดยให้พิจารณาว่าฉันเป็นยา เจตนาคือฉันเพื่อระงับเวทนา Q: ทำดีจะสามารถลบล้างความชั่วได้หรือไม่?A: ถ้าทำกรรมดีในลักษณะที่เป็นมรรค 8 มรรค 8 จะเป็นเครื่องมือที่ทำให้สิ้นกรรม เข้าสู่นิพพานได้ ทั้งนี้จะต้องไม่เคยทำอนันตริยกรรมมาก่อน เพราะหากเคยทำจะต้องได้รับผลของกรรมนั้นก่อนจึงจะค่อยเหนือความชั่วอื่น ๆ ได้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: ทำบุญ/แผ่เมตตาอย่างไรคนตายจึงจะได้รับและเมื่อตายจะได้เจอกันหรือไม่?A: ท่านได้กล่าวไว้ว่า “เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นธรรมดา” เราจึงต้องพิจารณาไว้ก่อนแล้ว แม้เขาจะตายจากเราไป แต่ความดีเขายังอยู่ เมื่อการร้องไห้คร่ำครวญไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น เราจึงควรหาทางอื่นที่เป็นทางออก เราควรทำความดีทั้งทาน ศีล ภาวนา พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง เข้าใจตามความเป็นจริง เราก็จะพ้นจากทุกข์ได้ Q: ปัจจัยสี่ประการที่จะทำให้ได้เจอกันA: ท่านได้ตรัสไว้ถึงเหตุปัจจัย 4 ประการ คือ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ต้องเสมอกัน ถ้าไม่เสมอกันจะไม่เจอกัน คือสิ่งที่จะทำให้เกิดบุญและให้ไปอยู่คนละที่ นั่นเองQ: พระโพธิสัตว์จากนิทานธรรมบทมีในดินแดนอื่นนอกเหนือชมพูทวีปหรือไม่?A: ในหลักฐานตามตำราคัมภีร์ไม่ได้กล่าวถึงบริเวณอื่นนอกจากชมพูทวิปQ: เราใส่เหรียญลงในบาตรประจำวันเกิดกันทำไม?A: เป็นวัฒนธรรมของคนไทยที่หล่อหลอมรวมกันกับพุทธศาสนา ที่เพิ่งมีในสมัยนี้ ที่ได้ทำบุญด้วยการให้ทานQ: ธรรมะข้อใดสำหรับคนที่กำลังตกงาน?A: สังคหวัตถุ 4 ประกอบด้วย 1) ทาน คือการให้ทั้งสิ่งของและความรู้ คำแนะนำ 2) ปิยวาจา คือไม่นินทา พูดจาไพเราะ 3) อัตถจริยา คือประพฤติประโยชน์คือขวนขวายช่วยเหลือ และ 4) สมานัตตตา คือเสมอต้นเสมอปลาย วางตนให้เหมาะสมกับฐานะ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: ปฏิบัติธรรม ร้องเพลงได้ไหม ?A: สำหรับผู้ที่รักษาศีล 5 ร้องเพลง ฟังเพลงได้ แต่หากเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่รักษาศีล 8 ท่านห้ามเอาไว้ สำหรับนักบวช การที่มีเสียงขึ้นลงนั้นท่านให้ได้มากที่สุดคือการสวดทำนองสรภัญญะ ส่วนเนื้อเพลงท่านให้ได้แค่แต่งกลอน ที่ท่านห้ามไว้เพราะหากฟังเพลงร้องเพลงแล้ว ความเพลินความพอใจ มันจะมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่ท่านสอนคือให้เราลดกามลงQ: อรูปราคะในสังโยชน์เบื้องสูงหมายถึงอะไร?A: ภพ แบ่งเป็น “กามภพ” คือ สภาวะที่ชุ่มอยู่ด้วยกาม หากละสังโยชน์เบื้องต่ำ 3 อย่างได้ จะเป็นพระโสดาบัน เกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ แต่ยังอยู่ในกามภพ, “รูปภพ” คำว่า รูปในที่นี้หมายถึง รูปฌาน คือสมาธิขั้นที่ 1-4 หากยังยินดีในฌานสมาธินั้นอยู่ นั่นคือรูปราคะ, “อรูปภพ” คือ ตั้งแต่สมาธิขั้นที่ 5 ขึ้นไป ซึ่งก็คือ อรูปฌาน และถ้าเรายังมีความยินดีพอใจในสมาธิขั้นสูงนี้ นั่นคืออรูปราคะQ: สมาธิแบบไหนทำให้เกิดปัญญา?A: สมาธิชนิดที่เป็นสัมมาสมาธิ หมายถึง มีองค์ 7 อย่าง แวดล้อมจิตที่เป็นหนึ่งอยู่ จิตที่เป็นหนึ่งนั้นเรียกว่า สัมมาสมาธิ ซึ่งจะมีปัญญาอยู่ในนั้น มีสมาธิ มีปัญญา จะเป็นที่ตั้งของวิชชาและวิมุตหลุดพ้นได้Q: คนที่เนรคุณผิดศีลหรือไม่?A: ถ้าเขาเนรคุณแล้วไม่ได้ทำผิดศีล เขาก็ไม่ผิดศีล แต่เนรคุณเป็นบาปที่ละเอียด เราต้องใช้เครื่องมือที่ละเอียดจึงจะกำจัดได้ จะกำจัดเนรคุณได้ ก็ด้วยความรู้คุณ Q: ความแตกต่างของสีลัพพตปรามาส กับ สีลัพพัตตุปาทาน?A: “สีลัพพต” คือ ศีล (ความเป็นปกติ) และ พรต (ข้อปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งของนักบวช), “ปรามาส” คือ การจับต้อง ยึดมั่น ลูบคลำ, “อุปาทาน” คือ ความยึดถือ เมื่อยึดถือในศีลและพรต นั่นคือ “สีลัพพตตุปาทาน” เมื่อนำยึดมั่นในศีลและพรต นั่นคือ “สีลัพพตปรามาส” Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: ควรวางจิตอย่างไรเมื่อจิตติดในการพิจารณากาย?A: ในการพิจารณากาย ท่านเปรียบไว้กับคนฆ่าโค ที่เขาจะแบ่งเนื้อออกเป็นส่วน ๆ แล้วเปรียบมาที่ตัวเราว่า เมื่อแยกตัวเราออกแล้ว แล้วตัวเราอยู่ตรงไหน หากขณะที่เราแยกออก แล้วเราสงสารวัว เรายังข้ามจุดนี้ไปไม่ได้ ก็อย่ากินสัตว์ใหญ่ พิจารณาว่าเขาฆ่าเจาะจงเพื่อเราหรือไม่ หากเห็น ได้ยิน และสงสัยว่าเขาจะฆ่าเจาะจงเพื่อเรา ก็อย่ากิน พิจารณาว่าการที่เรามีกรุณาต่อมันนั้นดีแล้ว ให้ใช้อุเบกขาเพื่อไม่ให้จิตเราเศร้าหมองQ: ศีลอุโบสถรักษาอย่างไรที่ไหน?A: สามารถทำที่ไหนก็ได้ เพราะศีลอยู่ที่กาย วาจา โดยมีเจตนาเป็นตัวนำ โดยตั้งจิตไว้ว่า พระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์ท่านรักษาศีลไว้ดีแล้วตลอดชีวิต เราจะเอาวันหนึ่งคืนหนึ่ง เช่นนี้ เราก็ได้ชื่อว่าได้อยู่ใกล้ท่านวันหนึ่งคืนหนึ่ง จะเป็นการปฏิบัติบูชาที่ดีมาก Q: การพิจารณากายคตาสติ ทำไมต้องเห็นกายเป็นปฏิกูลและไม่ปฏิกูล?A: หนึ่งในการพิจารณากายคือ การพิจารณาโดยความเป็นของทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูล โดยท่านให้แนวทางพิจารณาไว้ คือ เห็นว่าสิ่งปฏิกูลไม่ปฏิกูล, เห็นสิ่งที่ไม่ปฏิกูลเป็นปฏิกูล, เห็นสิ่งที่ปฏิกูลโดยทั้งเป็นปฏิกูลและที่ไม่ปฏิกูล, เห็นสิ่งที่ไม่ปฏิกูลโดยทั้งเป็นปฏิกูลและที่ไม่ปฏิกูลและไม่เห็นทั้ง 2 อย่าง แต่เห็นโดยความเป็นอุเบกขา เราพิจารณาเพื่อให้เห็นตามจริง เพื่อละราคานุสัย เพื่อละปฏิฆานุสัย เพื่อกำจัดอวิชชาให้หมดไปQ: เข้าสมาธิแล้วมีอาการเจ็บหน้าอกควรแก้ไขอย่างไร?A: ควรปรึกษาแพทย์ก่อน หากตรวจแล้วร่างกายปกติ ค่อยมาพิจารณาว่าการเจ็บเป็นอาการอย่างหนึ่ง เป็นสภาวะจิตที่เราข้องอยู่ จะข้ามปัญหานี้ได้ คืออย่าไปใส่ใจมัน เพราะจิตเราเมื่อน้อมไปในสิ่งไหนสิ่งนั้นจะมีพลัง ถ้าเราไม่น้อมไปในสิ่งนั้น สิ่งนั้นก็จะอ่อนกำลัง เราก็จะข้ามตรงนี้ไปได้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: สตรีควรปฏิบัติตนกับพระภิกษุอย่างไรจึงถูกต้องเหมาะสมตามหลักพระวินัยA: สำหรับพระภิกษุท่านสอนว่า อย่าไปพูด คุยหรือมองสตรี หากต้องพูดคุย ต้องทำอย่างมีสติ ทั้งทางกาย ทางวาจาและทางใจ สำหรับสตรีไม่ควรเข้าไปใกล้พระQ: เรื่องของสัมผัสทางกายA: พระและสตรี ไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน ทั้งกายและของที่เนื่อง ด้วยกายคือของที่ต่อจากตัว เช่น เส้นผม เสื้อผ้า ทั้งนี้ หากท่านไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้มีจิตกำหนัด ท่านไม่ผิด สำคัญที่เจตนา แต่หากท่านมีจิตกำหนัด แปรปรวน รักใคร่ ทั้งทางกายและทางใจ ถือว่าเป็น “อาบัติสังฆาทิเสส” นอกจากนี้พระยังไม่ควรแตะต้องเงินทอง อัญมณีและสิ่งของที่มีมูลค่ามาก เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นวัตถุอนามาสพระสงฆ์ไม่ควรแตะต้องQ: การนั่งอยู่ในที่เดียวกันA: พระและสตรีไม่ควรนั่งหรือนอนในที่เดียวกัน ไม่ว่าที่แห่งนั้นจะมีสตรีคนเดียวหรือหลายคนก็ตาม หากมีพระอยู่รูปเดียวโดยไม่มีชายที่รู้เดียงสาหรือมีพระอื่นอยู่ด้วย ถือว่าอาบัติปาจิตตีย์ แต่หากท่านยืนขึ้น ท่านจะพ้นจากอาบัติข้อนี้ได้ Q: การเดินทางไกลด้วยกันA: พระกับสตรี ห้ามเดินทางด้วยกันลำพัง ต้องมีผู้ชายหรือพระรูปอื่นไปด้วย Q: การถ่ายรูปคู่กันA: ตอนถ่ายรูปให้มีคนอื่นอยู่ด้วย คือการถ่ายรูปไม่ผิดธรรมวินัยอยู่แล้ว Q: การพูดการฟังที่ปรารภเรื่องที่เหมาะสมและไม่เหมาะสม และสถานที่พูดA: การพูด ไม่พูดคำพูดที่ทำให้มีจิตกำหนัด ไม่พูดชักสื่อให้ชายหญิงอยู่ร่วมกัน ไม่พูดกระซิบข้างหู สถานที่ แบ่งเป็นที่สาธารณะ (เช่น สนามบิน ศาลาปฏิบัติธรรม คือเป็นสถานที่ที่ใครจะเข้ามาก็ได้) และที่ลับหูลับตา, ที่ไม่ลับตาแต่ลับหู(เห็นอยู่ไกลคนอื่นไม่ได้ยินว่าพูดอะไรกัน) ซึ่งสถานที่แบบนี้มักจะมีปัญหา เพราะคนมองไม่เห็น บางทีมีการสัมผัสกัน อาจมีคำพูดที่ไม่เหมาะสม เช่น การยั่วเย้าไปในทางเพศสัมพันธ์ อาจจะมีอาบัติและถูกโจษได้Q: การแสดงธรรมแก่มาตุคามA: ห้ามแสดงธรรมกับผู้หญิงเกิน 5-6 คำ (หมายถึงพระบาลี) แต่ถ้าแสดงเพื่ออธิบายธรรม ไม่ได้มีสิกขาบทห้ามไว้ หากแสดงธรรมที่มากกว่านี้ต้องมีชายรู้เดียงสาหรือคนอื่นอยู่ด้วยQ : การพูดจาชักสื่อA: ห้ามพระเป็นพ่อสื่อแม่ชัก ให้ชายหญิงแต่งงานหรืออยู่ร่วมกัน รวมถึงการบอกฤกษ์ยามแต่งงาน หรือยุให้แตกกันQ: การแต่งกายA: สตรีให้ระมัดระวังการแต่งกาย แต่งกายให้สุภาพ ไม่วาบหวิว Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: เหตุใดอุบาสก อุบาสิกา จึงนิยมสวมใส่ชุดขาวมาปฏิบัติธรรมและอุบาสก อุบาสิกา ในสมัยพุทธกาลได้แต่งชุดขาวหรือไม่อย่างไร?A: สันนิษฐานว่า อาจจะเกี่ยวกับคืนวันที่ท่านจะตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ท่านได้ฝันคือมหาสุบิน ในฝันนั้นท่านเห็นหนอนตัวสีขาวหัวดำ คลานมาจากทุกทิศทุกทางทุกวรรณะ และในมหาประนิพพานสูตร ตอนที่มารมาขอให้ท่านปรินิพพาน หนึ่งในเหตุผลที่ท่านกล่าวกับมาร คือท่านจะยังไม่ปรินิพพานตราบใดที่อุบาสก อุบาสิกา ผู้ที่นุ่งขาวห่มขาว ประพฤติพรหมจรรย์ (ถือศีล 8) และอุบาสก อุบาสิกา ผู้นุ่งขาวห่มขาวที่ยังบริโภคกาม (รักษาศีล 5) ยังไม่แกล้วกล้า ยังไม่สามารถแสดงธรรม ข่มขี่ ปรัปวาทให้ราบคาบโดยธรรม แล้วแสดงธรรมพร้อมทั้งความน่าอัศจรรย์ได้ ถ้ายังไม่ได้ยังไม่ปรินิพพานQ: อะไรคือการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมA: “ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ” แปลว่า การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม อีกคำหนึ่งที่ใช้คือ “ทำให้เป็นบริกรรม” หมายความนัยยะแรกคือปฏิบัติต่อเนื่องเหมาะสม และทำจนกว่าจะถึงจุดที่สำเร็จขึ้นมา นัยยะที่สองคือการใช้ธรรมะให้ถูกเหมาะสมกับเรื่องราว Q: เราสามารถดูได้อย่างไรว่า พระภิกษุผู้ใดเป็นผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ?A: ดูที่พระวินัยคือศีลของพระ ถ้าไม่มีศีลแม้จะโกนผมห่มเหลืองก็ไม่ใช่พระ ถ้ามีศีลต่อให้ไม่โกนผมไม่ห่มเหลืองก็เป็นพระได้Q: พระที่เรียกว่า "พระสุปฏิปันโน" มีลักษณะอย่างไร? A: ในบทสังฆคุณ 9 เริ่มจากสุปฏิปันโน คือปฏิบัติดี เริ่มจากศีล สมาธิ และปัญญา หมายถึง การปฎิบัติตามมรรค 8 ปฏิบัติตามทางสายกลาง ไม่สุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่ง มีศีลเป็นพื้นฐาน ศีลจะรู้ได้ด้วยตา ฟังได้ด้วยหู สมาธิจะรู้ได้ด้วยเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่น่าพอใจแล้วยังดีเช่นเดิมได้ ปัญญาดูได้จากการสนทนา ศีล สมาธิ ปัญญา จะเป็นตัวบ่งบอกได้Q: ผู้ที่บวชมาเป็นพระในพุทธศาสนาแล้ว แต่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิเดินจงฺกมเลย ท่านจะบาปหรือไม่?A: ดูที่พระวินัยที่ศีล ท่านไม่ได้ทำผิดศีลท่านไม่บาป หากแต่ท่านจะไม่มีสมาธิ ปัญญา บรรลุถึงพระนิพพานได้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: เมื่อหมดไฟจากการทำงานในระบบราชการ เกิดความเบื่อเซ็งควรทำอย่างไร?A : การที่เราเบื่อเซ็งแล้วหาทางออกของปัญหา นั่นคือเรามีสติ หลักธรรมที่จะแก้ความเบื่อเซ็งได้คือ “อิทธิบาท4” ให้เราตั้งธรรมเครื่องปรุงแต่งขึ้นมา (งาน) และใช้สมาธิเพื่อเชื่อมธรรมเครื่องปรุงแต่งกับอิทธิบาท 4 เข้าด้วยกัน คือเวลาเราทำงานก็จดจ่อในงาน ตั้งฉันทะไว้ด้วยจิตเป็นสมาธิ เราก็จะมีการคิดพัฒนาปรับปรุงคือวิมังสา แล้วก็ใส่ความเพียรเข้าไปคือวิริยะ เกิดความเอาใจใส่คือจิตตะ โดยให้เริ่มทำจากตรงที่เราทำได้ เช่น ตอนที่เราทานอาหารหรือออกกำลังกาย ค่อย ๆ พัฒนาขึ้น ๆ แล้วจึงฝึกที่หน้างาน คือเมื่อเราอยู่ที่ทำงาน ให้ฝึกสังเกต เมื่อเราสังเกตเห็นอารมณ์นั้น สติก็จะมา เมื่อเรามีสติ จิตก็จะน้อมไปในทางแก้ปัญหา ไม่น้อมไปในทางเบื่อเซ็ง Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
Q: ความหมายของศีล 8 ในข้อ 7 และ ข้อ 8A: ศีลข้อ 7 คือ เว้นจากดูการละเล่นอันเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ การตกแต่งร่างกายในฐานะที่จะแต่งให้สวยงาม, ศีลข้อ 8 คือ เว้นจากที่นอนอันสูงใหญ่ ยัดด้วยนุ่นและสำลี ลักษณะคือเตียงสูง ต้องขึ้นบันได มีเสาสูง Q: ผลกรรมที่ทำผิดศีล 5A: ไม่ว่าจะอดีต อนาคต ปัจจุบัน ศีลก็จะให้ผลเหมือนกัน เพราะธรรมะเป็นอกาลิโก คือไม่เนื่องด้วยกาล ตัวอย่างเช่น คนโกหก ไม่ว่าจะพูดที่ไหนก็จะไม่มีใครเชื่อQ: ผู้ที่นับถือศาสนาอื่นจะนรกหรือสวรรค์เดียวกันกับผู้ที่นับถือพุทธหรือไม่?A: ไม่ว่าจะเป็นคนที่ไหน ก็ล้วนแต่มี หู ตา จมุก ลิ้น กาย ใจ เหมือนกัน มีผัสสะ มีตัณหา มีอุปาทานเหมือนกัน ศาสนาพุทธที่ท่านสอนเรื่องนรกสวรรค์ เพราะมีผู้เห็นเปรต เทวดา แล้วมาเล่าให้ท่านฟัง ท่านจึงได้สอน แจกแจง บัญญัติ ซึ่งศาสดาแต่ละท่าน ๆ ก็สอนตามที่ท่านรู้ แต่ในพุทธศาสนานั้น คำสอนมีความบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ทั้งอรรถะและพยัญชนะ เบื้องต้น ท่ามกลาง ืและที่สุด รัดกุมรอบคอบ ไม่หละหลวม ซึ่งคนที่ไม่ใช่สัมมาสัมพุทธะจะทำแบบนี้ไม่ได้ ศาสนาพุทธเท่านั้นที่สอนจนถึงนิพพาน Q: สัดส่วนของความสุขความทุกข์ในนรกและสวรรค์A: นรกและสวรรค์ มีทั้งทุกข์และสุข สวรรค์จะสุขมากกว่าทุกข์ นรกจะมีทุกข์มากกว่าสุข Q: การละสักกายทิฏฐิA: คนที่มีสักกายทิฏฐิ เขาจะเข้าใจว่านี่เป็นตัวตนของเรา พอมีความเพลินพอใจ มีความกำหนัดยินดี เขาก็จะยึดถือในสิ่งนั้นทันที เราจะละสักกายทิฏฐิได้ เราต้องมีสัมมาทิฏฐิ คือเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน พอเราเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นอนัตตา อวิชชาจะดับ วิชชา วิมุตจะเกิดได้ ก็ต้องอาศัยโพชฌงค์ 7 อาศัยสติปัฏฐาน 4 เจริญสติขึ้นมา สักกายทิฏฐิก็จะละไป ปัญญาจะเกิดตรงนี้ Q: ทำสมาธิ พิจารณาร่างกาย แต่ใจเศร้าหมองไม่เบิกบาน แก้ไขอย่างไรดี?A: จะทำวิชชาให้เกิด ก็ต้องทำโพชฌงค์ 7 ให้เกิดก่อน จึงมีการเจริญโพชฌงค์ตามกาลตามสภาวะของจิต โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน เอาสติไว้ตรงกลาง ฝ่ายที่ทำให้จิตฮึกเหิม คือ วิริยสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์, ฝ่ายที่ทำให้จิตสงบลง คือ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ท่านเปรียบดังเปลวไฟ ถ้าอากาศหนาวแล้วไฟริบหรี่ ก็ให้ใส่ฟืนแห้ง เพื่อให้ไฟลุกโพรงขึ้นมา เราก็ต้องดูแลจิตของเรา ให้มีความเพียรสม่ำเสมอ พอดี ๆ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.