DiscoverFriendtalkative Podcast
Friendtalkative Podcast
Claim Ownership

Friendtalkative Podcast

Author: เพื่อนปรึกษา

Subscribed: 212Played: 3,808
Share

Description

Podcast สาระนานาประโยชน์ เช่นจิตวิทยา ปรัชญา ธรรมะ ฯลฯ และชวนคุยเรื่องปัญหาชีวิตในทุกแง่มุม ผสมผสานอย่างลงตัวด้วยความเชื่อที่ว่า ’ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ’
1295 Episodes
Reverse
ข้อความโพสต์จาก Peter Mallouk ได้เขียนข้อความไว้ว่า "คุณภาพของความสัมพันธ์นั้นสำคัญสำหรับคุณมากกว่า จำนวนปริมาณของความสัมพันธ์" - บางคนสนใจแต่ปริมาณจนเพิกเฉยคุณภาพไป แล้วสิ่งนี้นำไปปรับใช้กับทุกสิ่งบนโลกใบนี้ - การเงินและการลงทุน ให้เน้นที่คุณภาพของสินทรัพย์นั้น ๆ อย่าไปเน้นที่จำนวนที่เราถือครอง - ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่เราสามารถรักษาความสัมพันธ์ที่ทรงคุณค่าไว้ได้นานที่สุด มันคือการเยียวยาจิตใจไปพร้อมกับวิถีชีวิต - ยิ่งเราใช้เวลาหาความสัมพันธ์ใหม่ ๆ มากแค่ไหน เราก็จะยิ่งเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้ากับความสัมพันธ์มากแค่นั้น - ทั้งนี้ ความสุขที่สุดของชีวิตก็ยังไม่ใช่จำนวนปริมาณของความสัมพันธ์ แต่ก็ยังเป็นคุณภาพที่ดีของความสัมพันธ์อยู่ร่ำไป
หนังสือ Six Pillars of Self-Esteem ของ Nathaniel Branden - เมื่อความพึงพอใจในตนเองเป็นสิ่งที่ต้องไขว่คว้าหาคำตอบ เราจึงควรลองแสวงหาโอกาสให้กับตัวตน - ถ้าเรามีคุณค่าให้กับตัวเองมากพอ ไม่ว่าจะมาจากการกระทำหรือการแสดงออกไปมันจะนำมาซึ่งความพึงพอใจในตนเอง - 6 หลักของการที่จะสร้างความพึงพอใจแก่ตนเอง คือ 1. ใช้ชีวิตอย่างมีสติ 2. ยอมรับตัวเอง 3. รับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำลงไป 4. ประเมินว่าเราคือใคร 5. อยู่อย่างมีเป้าหมาย และ 6. รักษาความจริงใจไว้ - จงมอบพื้นที่ให้กับผู้คน มันคือรากฐานของความสำเร็จในชีวิต และมันคือปีกที่จะช่วยให้เขาได้โบยบินขึ้นไปได้ - ทั้งนี้ ความหยิ่งยโสโอหัง ความมีอัตตา หรืออีโก้สูง มิใช่ความพึงพอใจในตนเอง แล้วส่วนต่อขยายของการพึงพอใจ เป็นไปเพื่อความสงบและราบรื่นในระยะยาว
มีคนมาปรึกษาว่า สำหรับคนที่ค่อนข้างจริงจังเรื่องช้อนกลาง ทำยังไงในการไปกินบิงซูกับเพื่อน ๆ คะ - การที่เราไม่ชอบเรื่องการกินร่วมช้อนกับใครก็ถือเป็นเรื่องส่วนบุคคล บางคนถือ บางคนไม่ถือแล้วแต่คน - ลองดูว่าถ้วยมันใหญ่แค่ไหน เพราะของบางชนิดก็แบ่งไม่ยาก บางชนิดอาจจะแบ่งยากหน่อย ให้ลองแยกซื้อเลยจะดีกว่า - ถ้าเกิดว่าจะแบ่งขนมหวานที่มันเป็นน้ำแข็ง อาจจะต้องรีบแบ่งและขอถ้วยจากพนักงานตั้งแต่ตอนแรกเลย เพราะมันจะละลายไวมาก - บางคนใช้แปรงสีฟันร่วมกันได้ บางคนใช้เสื้อผ้าเดียวกันกับเพื่อนได้ และบางคนสามารถกินของ ๆ เพื่อนหรือคนที่เราสนิทได้เหมือนของตัวเอง - การชอบใช้ช้อนกลางเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้วในเรื่องสุขอนามัย แต่ให้ลองสังเกตเพื่อนดูว่าเขามีปฏิกิริยาอย่างไรเรื่องการกินช้อนกลางบ้าง
ข้อความโพสต์จาก Ray Dalio ได้เขียนข้อความไว้ว่า "ของขวัญที่ดีที่สุดที่จะมอบให้คือพลังของความสำเร็จ ให้โอกาสผู้คนที่ให้เขาได้ล้มเหลวด้วย เพราะอุปสรรคจะช่วยให้คนแข็งแกร่งขึ้น การให้การชมเชยนั้นง่าย แต่มันไม่ช่วยให้เขาเติบโตขึ้น พยายามหาจุดอ่อนและความผิดพลาดบ้าง เพื่อให้เขาได้รับมือกับมันอย่างถูกวิธี แต่มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะทำแบบนั้น ทว่า มันย่อมดีกว่ามากในการเดินทางระยะยาวของชีวิต" - จงจดจำไว้ว่า ความรักที่ถึกทนมักจะมีทั้งความโหดหินและความเมตตาอยู่ร่วมด้วยเสมอ มันเป็นการยากที่จะรับไว้แต่มันส่งผลดีแน่นอน - ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เงิน หรือความรัก ก็ล้วนแต่ต้องรักษาจุดตรงกลางเอาไว้ให้ได้ มันจะเป็นไปไม่ได้เลยกับการที่เราดีมาก หรือแย่มาก - ความรักควรจะมาพร้อมกับความเมตตา ส่วนความดีควรจะมาพร้อมกับความมุ่งมั่น ทั้งสองสิ่งนี้จะต้องควบคู่ไปด้วยตลอดเวลา - อคติเป็นตัวขวางกั้นการพัฒนาของชีวิต พอเรารักใครก็เอนเอียง ส่วนพอเราเกลียดใครก็เอนเอียงเช่นกัน - ทั้งนี้ การสอนผู้คน ย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละปัจเจกชนให้เลือกสอนตาม อุปนิสัย พื้นเพ วัฒนธรรม และพื้นที่ในการเติบโตของบุคคลนั้น ๆ ด้วย
หนังสือ The Go-Giver: A Little Story About a Powerful Business Idea ของ Bob Burg and John David Mann - จงเริ่มต้นที่จะให้ก่อน แล้วเราจะได้รับหลังจากนั้น แต่เราก็ไม่ควรคาดหวัง เพราะเรากำลังให้ไป - การให้กับการลงทุนนั้นต่างกัน แต่มีความหมายเดียวกัน สิ่งที่ต่างคือจิตใจระหว่างกระทำเท่านั้นเอง - 5 กฎของความสำเร็จ คือ 1. กฎของคุณค่า 2. กฎของการมอบให้ 3. กฎของอิทธิพล 4. กฎของความแท้จริง และ 5. กฎของการรับมา - การหาสายสัมพันธ์ (Connection) สามารถทำได้จริง แต่เราต้องเชื่อใจบุคคลที่ควรเชื่อใจ และต้องเสาะแสวงหาหนทางว่าเราสามารถแก้ไขปัญหาให้คน ๆ นั้นได้อย่างไร - แม้ว่าการมอบให้จะเป็นสิ่งที่ดี แต่การฝึกฝนที่จะโอบรับให้เป็นด้วยก็คือสิ่งที่ดีเหมือนกัน เพราะมีผู้คนมากมายเขาก็อยากที่จะให้เหมือนกับเราเช่นกัน มันคือการเปิดใจรับ
มีคนมาปรึกษาว่า คบกับแฟนมา 3 ปี อายุ 24 ปีเท่ากัน ตอนนี้ประสบปัญหารู้สึกเบื่อแฟนไม่อยากคุย หงุดหงิดทุกอย่างที่แฟนทำ แต่ก็ไม่ได้อยากมีแฟนใหม่ ไม่รู้จะจัดการกับความคิดความรู้สึกตัวเองยังไงดี เราไม่ได้อยู่ด้วยกันเจอกันแค่วันหยุด เรารู้สึกว่าเขาไม่สามารถบริหารจัดการชีวิตตัวเองได้ เหมือนต้องรอให้ใครสักคนช่วยไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม แล้วเขาเป็นคนที่ทำอะไรค่อนข้างช้า ต้องวางแผนทุกอย่างโดยละเอียดก่อนทำในทุก ๆ เรื่อง แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ดูงง ๆ เช่น เราขอให้เขาช่วยเปิดหน้าต่างตอนเช้า เขาก็เปิดหน้าต่างแต่ปิดม่านไว้เหมือนเดิม หรือเราขอให้ช่วยทำอะไรสุดท้ายก็ต้องทำเองทุกอย่าง เหมือนช่วยให้เหนื่อยเท่าเดิม หรือว่ามากกว่าเดิมอีก และเขาเป็นคนที่หัวรั้นมาก เราก็เตือนหรือมีคนอื่นมาเตือนอะไรก็ไม่ค่อยรับฟัง พอมีอะไรขึ้นมาค่อยมาพูดทีหลังว่ารู้งี้น่าจะเชื่อตั้งแต่แรก หลาย ๆ อย่างที่เราปล่อยผ่านมันสะสมจนเราไม่รู้จะต้องรู้สึกยังไง กลายเป็นมันเฉย ๆ ไปเลย เบื่อ ๆ เหนื่อย ๆ แค่เห็นชื่อเขาขึ้นหน้าจอมือถือตอนโทรก็รู้สึกเหนื่อยจนถอนหายใจก่อนรับสายเลยค่ะ - บางคนเราไม่สามารถไปเปลี่ยนเขาได้ นอกเสียจากเปลี่ยนตัวเราเอง ถ้าเรารู้สึกอะไรก็ให้หมั่นถามไถ่ตัวเอง - ยิ่งเราไปเปลี่ยนอีกคนหนึ่ง มันจะยิ่งทำให้เรารู้สึกเหนื่อยเพิ่มมากขึ้น ถ้าเขาเป็นแค่แฟนและเพิ่งคบหากันมาก็ถือว่าเป็นข่าวดี - แต่ถ้าเป็นคนในครอบครัว ความรู้สึกย่อมลึกซึ้งและกินใจมากขึ้นกว่านี้อย่างมาก เพราะเราไม่รู้ว่าจะต้องทำทุกอย่างไปอีกนานแค่ไหน - คำว่าหัวรั้น หัวแข็ง หัวทึบ และหัวหมอ แต่ละความหมายย่อมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บางคนไม่ได้เป็นคนฉลาดแต่ทำเหมือนฉลาดแบบนี้น่ากลัวกว่ามาก - ทั้งนี้ การที่เราสามารถแก้ปัญหาได้ดี เป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้รักษาสิ่งนี้ไว้ และการคบหากันเป็นแฟนย่อมต้องมีความน้อยกว่า เสมอกัน และมากกว่า นั่นจึงเป็นเงื่อนไขของแต่ละคู่
ข้อความโพสต์จาก Ray Dalio ได้เขียนข้อความไว้ว่า "ความศรัทธาอย่างแท้จริงไม่ได้จำเป็นจะต้องมีความคิดที่แย่อยู่ตลอดเวลา การมองไปที่ความสำเร็จบ้าง และลองหาสาเหตุเหล่านั้นดู สิ่งนี้จะเป็นตัวขับเคลื่อนการกระทำให้นำไปซึ่งผลลัพธ์ และสร้างต้นแบบให้กับคนที่ใคร่รู้" - ให้ลองเรียนรู้จากความสำเร็จดังเช่นความล้มเหลวอยู่เสมอ - ไม่มีอะไรที่จะขวางกั้นชีวิตเราไปมากกว่า ความยึดติดความสำเร็จเลย - ความล้มเหลวเป็นเพียงแง่มุมหนึ่ง ส่วนความสำเร็จเป็นเพียงเหตุการณ์หนึ่งที่เข้ามายังชีวิต - จดจำกระบวนการสร้าง และเรียนรู้จากสิ่งนั้น เพื่อเป็นต้นแบบที่สมดุลให้คนรุ่นหลังสืบไป - ความสำเร็จไม่ใช่เป็นจุดจบของชีวิต แต่เพียงเป็นจุดเริ่มต้นให้เราสร้างเบ้าหลอม และออกแบบชีวิตหลังจากนั้นอย่างแท้จริง
หนังสือ How to Attract Money ของ Joseph Murphy - การย้ำเตือนกับตัวเองว่า ฉันดีพอที่จะเป็นคนที่ร่ำรวย ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญ แต่ห้ามลืมสิ่งที่สำคัญกว่านั่นคือการกระทำ - แล้วการกระทำก็เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยอย่างแท้จริง หากสมการใดสมการหนึ่งขาดหายไป ผลลัพธ์ย่อมผิดแผกไปจากเหตุอย่างแน่นอน - ความคิดส่งผลต่อความเชื่อ และความเชื่อก็ส่งผลต่อความศรัทธาสืบไป จงศรัทธาว่าชีวิตที่มั่งคั่ง มิใช่มาจากเงินทองโดยส่วนเดียว แต่รวมไปถึงความสัมพันธ์ด้วย - หนทางจะปรากฏเด่นชัด ถ้าเราเชื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างไม่มีข้อกังขา ทว่า ชีวิตเป็นค่าเฉลี่ยของสิ่งที่คิด พูด และกระทำ จงเลือกสรรการกระทำที่ผ่านมาจากการขบคิดเท่านั้น - หนังสือเล่มนี้เน้นไปจุดที่เรียกว่าจิตใจ บางคนไม่เคยเชื่อ บางคนหมดศรัทธา และบางคนก็สิ้นหวังกับความสำเร็จของชีวิต บางส่วนอาจจะดูงมงายและขาดข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ไป
มีคนมาปรึกษาว่า อยากปรึกษาค่ะ สามีเราได้สารภาพว่าชอบลูกน้องในร้าน แล้วก็บอกกับเจ้าตัวแล้วด้วย แต่ลูกน้องไม่เอาด้วย สามีเลยถอดใจกลับมาหาเรา ส่วนเราตอนที่เขามาเล่าให้ฟังก็ทำใจไม่ได้ ถึงตอนนี้มันผ่านมา เกือบ 3 เดือนแล้ว คิดทุกวันก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ทุกวัน เราเลือกที่จะให้อภัย เพราะตั้งแต่แต่งงานกันมา 20 ปีมาเขาไม่เคยมีเรื่องชู้สาวเลย เราเลือกถูกไหมที่ได้ให้อภัยเขาไป แต่เราต้องทำยังไงให้มันไม่นึกถึงเรื่องนี้อีก ทุกวันนี้ลูกน้องคนนี้ก็ยังอยู่ทำงานที่ร้าน เราไม่ได้ไล่เขาออก อาจจะเพราะว่าเขาไม่ได้เล่นด้วย แต่ตอนนี้เราอยากให้เขาลาออกไป เนื่องจากเราระแวงทุกครั้งที่เขาสองคนเจอหน้ากัน เราจะต้องจัดการกับความรู้สึกนี้ยังไงดี - การที่สามีบอกเราตรง ๆ เรื่องที่ชอบอีกคนหนึ่ง ถ้ามองในแง่ดีคือเขาจริงใจกับเราอย่างมาก - แต่แน่นอนว่าเมื่อการนอกใจเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เราจึงต้องปรับความคิดและจิตใจอย่างมหาศาล - ลองถามดูว่าจุดเริ่มต้นจากความชอบพอกันมันเกิดจากตรงไหน หาสาเหตุที่แท้จริงแล้วพยายามป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก - แม้ว่าการไล่ออก หรือให้ห่างกันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์สานต่อไม่ได้ แต่ใจไม่ใช่เรื่องของกาย มันอยู่ที่ความรู้สึก - ทั้งนี้ การไม่เล่นด้วยของลูกน้องในร้านเป็นเพียงแค่คำพูด ให้สังเกตที่การกระทำและลองดูให้ถี่ถ้วนว่ามันมีตื้นลึกหนาบางอย่างไรบ้างอีกชั้นหนึ่ง
ข้อความโพสต์จาก Ray Dalio ได้เขียนข้อความไว้ว่า "การที่เราใจดี แต่มันไม่สามารถที่จะเลือกสรรย่อมเป็นภัยกับผู้คนได้ และมักจะทำให้มันลุกลามไปยังองค์กรเช่นกัน" - หากว่าในท้ายที่สุดแล้วความถี่ถ้วนและความอ่อนโยนคือสิ่งเดียวกัน มันไม่ได้ผิดแผกจากกันเลย - บางครั้งเราใจดีผิดคน ผิดเวลา และผิดที่ มันย่อมส่งผลกระทบเชิงลบได้มากกว่าที่เราคิด - การปล่อยปละละเลยเรื่องบางเรื่อง เราอาจจะมองว่านั่นคือความรัก แต่มันคือระเบิดเวลาที่ทำให้ชีวิตเราพังทลายลง - จงเลือกสรรบางสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการทำดีกับผู้คน และการทำไม่ดีกับผู้คน ทั้งสองสิ่งมันตีความได้หลากหลาย อยู่ที่เจตนาเป็นหลัก - แม้ว่าเราจะพูดดีแค่ไหน ต่อให้คนนั้นคิดไม่ดี เขาย่อมไม่เข้าใจสิ่งที่เราสื่อ และต่อให้เราพูดแย่แค่ไหน แล้วถ้าคนนั้นคิดดีเขาย่อมกลั่นจากคำพูดเป็นปรัชญาได้เสมอ
หนังสือ What I Wish I Knew When I Was 20: A Crash Course on Making Your Place in the World ของ Tina Seelig - ถ้าหากว่าคุณย้อนเวลากลับไปได้ อาจจะไม่ต้องเป็นอายุ 20 ปี แต่เป็นช่วงวัยรุ่นกว่านี้ เด็กกว่านี้คุณจะทำสิ่งใด - แม้เพียงแค่หนึ่งไอเดีย สิ่งหนึ่งย่อมบ่งชี้ว่าเราได้เริ่มต้นขึ้นมาแล้ว สิ่งนั้นจะมาเป็นตัวช่วยให้อนาคตเรามีคำตอบชัดเจน - ไม่มีคำตอบที่ตายตัวในการใช้ชีวิต การที่จะใช้ชีวิตหลังเรียนจบแล้วเราไม่สามารถตอบคำถามตัวเองได้ในวันนี้ จึงเป็นเรื่องปกติสามัญ - การสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้ต้องมีจุดเริ่มต้น แล้วกระบวนการสร้างจะทำอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้นด้วยตัวของมันเอง เริ่มต้นที่ความคิดเป็นหลัก - สิ่งที่ควรเรียนรู้มากที่สุดในชีวิต ก็คือเมื่อเรามองย้อนกลับมาแล้วเราจะไม่เสียใจกับสิ่งที่เราทำ ให้ลองสังเกตตัวเองในวันนี้ว่าอนาคตเราจะคาดหวังให้ตัวเองในวันนี้ทำสิ่งใด
มีคนมาปรึกษาว่า ถ้ารู้สึกเบื่อสุด ๆ กับชีวิต แล้วจะจัดการกับความรู้สึกนี้ยังไง เราเพิ่งมารู้สึกสองสามวันนี้ มันเริ่มจากการอยู่คนเดียว เพื่อนก็ไม่ได้เจอกัน ต่างคนต่างทำงาน แถมเราก็ไม่ได้ไปเจอใคร ทำงานที่ห้อง ชีวิตวนลูป เราเพิ่งมาใช้ชีวิตคนเดียวหลังเลิกกับแฟนมาได้ 6 เดือนแล้ว ความรู้สึกตอนนี้ก็ไม่ได้เหงาแต่เบื่อ ก่อนหน้านี้เราไปไหนกับเพื่อน รุ่นพี่ตลอด หลัง ๆ มาก็เริ่มคิดมาก กลัวว่าคนอื่นจะอึดอัดไหมที่ต้องไปไหนมาไหนกับเรา พอเล่นเกมส์ก็เบื่อ อะไรที่เคยชอบทำ มันก็กลับกลายเป็นเบื่อไปหมดเลย ความรู้สึกนี้มันคืออะไร ต้องแก้ยังไงบ้าง - ปัญหาในตอนนี้คือเรื่องจังหวะของชีวิต ถ้าจังหวะชีวิตมันไม่สมดุล มันจะมีคำถามเกิดขึ้นมากมาย - หาจุดตรงกลางให้เจอว่าเราต้องการสิ่งใดกันแน่ในชีวิต ลองฝึกฝนที่จะตั้งคำถาม แสวงหาคำตอบ แล้วเราจะพบเจอคำตอบเอง - เมื่อถึงจุดหนึ่งของชีวิต เราจำเป็นจะต้องถูกการเปลี่ยนแปลงเข้ามายังชีวิตของเรา มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วในการดำเนินชีวิต - ความสุขของชีวิตจะไม่มีทางเหมือนเดิม ตอนเด็กเราชอบเล่น พอโตหน่อยเราชอบเรียน พอแก่ตัวลงไปเราชอบรู้ สังเกตชีวิตตัวเองว่าอยู่ตรงไหน - ความเบื่อมาย้ำเตือนมนุษย์ทุกคนว่า สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นย่อมดับไปเสมอ ไม่มีใครสุขกับเรื่อง ๆ เดียวทั้งชีวิต แต่เราจะต้องปรับเปลี่ยนเพื่อการอยู่รอดต่อไป
ข้อความโพสต์จาก Morgan Housel ได้เขียนข้อความไว้ว่า "หลุยส์ อาร์มสตรองเรียนรู้บทเพลงได้ดี มิใช่เพียงเพราะว่าเขาได้ยินนักดนตรีคนอื่นเล่นเท่านั้น แต่ทว่าเขาได้เรียนรู้จากนักดนตรีคนอื่นว่าเขาเล่นดนตรีนั้นอย่างไร" - การเล่นดนตรีเป็นทักษะหนึ่งในชีวิต มันคือการสังเกต ผสมผสานกับการเข้าใจบทเพลงว่ามันคือสิ่งใด - แต่ละสายอาชีพล้วนมีอัตลักษณ์ที่เป็นแบบเฉพาะ ไม่มีอะไรในชีวิตที่เรียนรู้ไม่ได้ มันอยู่ที่ตัวเราเองทั้งหมด - พรสวรรค์ไม่มีอยู่จริง มีแต่พรแสวงที่เราพยายามอยู่ทุกวัน เรียนรู้ในสิ่งที่มันเป็นไปจริง ๆ ถ้าเราต้องการเป็นเลิศในสายอาชีพ - เพียงแค่รับรู้ไม่เพียงพอต่อการพัฒนา เราจึงจำเป็นจะต้องเสาะแสวงหาหนทางต่าง ๆ อย่างขมักเขม้น แล้วหลังจากนั้นจะพบเจอทางออก - บางคนมีการจับจังหวะของดนตรีได้ดี เพราะเขาเข้าใจหลักของการจับจังหวะ เฉกเช่นเดียวกับชีวิตที่ถ้าเรามีความเข้าใจชีวิตก็จะจับจังหวะได้เช่นกัน
หนังสือ The Education of a Value Investor: My Transformative Quest for Wealth, Wisdom, and Enlightenment ของ Guy Spier - มื้ออาหารที่มีมูลค่า 650,100 เหรียญสหรัฐกับวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง - การลงทุนนั้นไม่ยาก แต่การจะลงทุนท่ามกลางปัญหาและข่าวที่เราได้ยินทุกวันนั้นยากกว่ามาก - หลักการง่าย ๆ ของการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคือ เลือกบริษัทที่ดีเยี่ยมในราคาที่เหมาะสม มีกำแพงที่แน่นหนา และมีสภาพคล่องที่พอเหมาะ - บางคนอาจจะคิดไปว่า การไปนั่งฟังนักลงทุนระดับโลกจะได้อะไร สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ผู้เขียนก็ได้บอกเสมอว่า เขาได้สิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงไปทั้งชีวิต - ถึงแม้ว่าเราจะฟังมากแค่ไหน แต่จังหวะ โอกาส และทัศนคติ ก็ย่อมเป็นส่วนประกอบอันสำคัญอยู่เสมอ ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นนักลงทุนคุณค่าของแท้ได้
มีคนมาปรึกษาว่า คือขอเกริ่นก่อนว่าเรามีปัญหาในที่ทำงาน และรู้ว่ามีคนไม่ชอบขี้หน้าเรา แต่ที่เราไม่เข้าใจคือคนในที่ทำงานจะตามยุ่งเรื่องส่วนตัวเราทำไมกัน ตามแล้วเอาไปคุยกันแบบนี้เหรอ ล่าสุดพอติดตามชีวิตเราไม่ได้ก็ลามไปโซเชียลมีเดียของญาติพี่น้องเราแล้ว อยากรู้ว่าจะจัดการยังไงดี - โลกใบนี้มี 8 สิ่งที่เป็นคู่กันอยู่ นั่นคือ สุข ทุกข์ สรรเสริญ นินทา มีลาภ เสื่อมลาภ และมียศ เสื่อมยศ - เราจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงทั้ง 8 สิ่งนี้ได้เลย โลกธรรมเป็นสิ่งคู่โลก อยู่กับมนุษย์ผู้ที่ยังข้องแวะกับเรื่องราวในชีวิตอยู่เป็นนิตย์ - เรื่องราวของเรามักจะสลักสำคัญสำหรับคนอื่นเสมอ หากเพราะเรื่องของเรามันทำให้เขาเหล่านั้นมีเรื่องให้ได้พูดคุยกัน แต่กลับกลายเป็นเพิกเฉยเรื่องของตัวเอง - ถึงแม้ผู้คนจะนำเรื่องราวของผู้อื่นมานินทาว่าร้าย แต่คนส่วนใหญ่ก็มักจะลืมแล้วก็กลับมาขบคิดเรื่องตัวเองในบั้นปลายอยู่ดี ไม่ต้องกังวลไป - ความสุขของมนุษย์ยังเจือปนด้วยกิเลสอยู่มาก ยังมีทั้งคำชม คำติฉินนินทา และคำพูดอีกมากมายที่พร้อมทำให้เราเป็นทุกข์ไปกับมัน แต่ขอให้เรามีสติในชีวิตประจำวันก็พอ
ข้อความโพสต์จาก Ray Dalio ได้เขียนข้อความไว้ว่า "ไม่มีใครที่ได้รับข้อยกเว้นในกระบวนการนี้ สิ่งต่าง ๆ จะไปได้ด้วยดีนั้นจะขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้คนที่สามารถประเมินได้อย่างจริงใจ ในทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน โดยเฉพาะจุดอ่อน" - จงเริ่มต้นที่จะเข้าใจว่าคุณและคนของคุณนั้นจะจัดการให้มันผ่านพ้นไปยังกระบวนการสร้างของวิวัฒนาการ - ขณะที่เวลาเจอสภาวะยากลำบาก ให้เราแนะนำเหมือนเราเป็นผู้น้อยและรับฟังสิ่งนั้นด้วย มันจะสร้างความสุขและทำให้องค์กรประสบผลสำเร็จตามไป - ไม่ว่าจะเป็นจุดแข็งหรือจุดอ่อน ทั้งสองสิ่งมีความสำคัญไม่แพ้กัน แต่เวลาให้ความสำคัญกับจุดอ่อนคือการให้กำจัดจุดอ่อนอย่างตรงจุดที่สุด - การควบคุมเป็นสิ่งอันตราย ถ้าเราไม่มีคู่มือในการควบคุมผู้คน เราจะไม่สามารถเรียนรู้ได้เลยว่า คนใดควรคุมหรือไม่ควรคุม รวมไปถึงปล่อยให้เขาเรียนรู้เอง - จุดอ่อนเป็นสิ่งที่ควรพัฒนา ถ้ามันสามารถพัฒนาต่อไปได้ ทั้งหัวหน้าและผู้น้อยจำเป็นจะต้องปรับตัวเข้าหากัน ไม่มีใครคนใดควรปรับอยู่คนเดียว
หนังสือ Eat That Frog!: 21 Great Ways to Stop Procrastinating and Get More Done in Less Time ของ Brian Tracy - ถ้าการผัดวันประกันพรุ่งคือกบตัวหนึ่ง เราควรกินกบตัวนั้นซะ เพราะว่าถ้ากบมันเป็นตัวขวางกั้นนี่คือคำอุปมา - สิ่งที่ทำให้ชีวิตเนิ่นช้าหลัก ๆ คือคิดว่าวันพรุ่งนี้คือวันที่เราจะทำสิ่งที่เราตั้งใจ ไม่ใช่วันนี้ที่เราควรทำมากที่สุด - ปัญหาของปัญหาก็คือปัญหาอยู่ดี การคิดว่าวันหนึ่งปัญหาจะมลายหายไป เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในสากลจักรวาล - กำหนดการจัดการของปัญหาชีวิตทั้งหมดในวันนี้ ไม่สร้างปัญหาถ้าเราไม่รู้เรื่องทั้งหมดของมัน แล้วค่อย ๆ แก้ไขมันไปทีละจุด - ทั้งนี้ การมีเวลามากขึ้นไม่จำเป็นจะต้องหาเวลาเพิ่ม แค่ลดเวลาที่ไม่สำคัญลงไป ซึ่งมันจะต้องดูว่าเวลาใดบ้างที่ไม่สำคัญเท่าที่ควร
มีคนมาปรึกษาว่า เรื่องมีอยู่ว่า เรากับพ่อของลูกมีปัญหากันจนถึงขั้นต้องตัดสินใจแยกทางกัน เรากับพ่อของลูกตกลงกันแล้วว่าจะบอกกับลูกว่าพ่อต้องไปอยู่กับย่า ไปดูแลย่าอะไรประมาณนี้ค่ะ เรายังไม่ได้บอกกับลูกตรง ๆ ว่าพ่อกับแม่เลิกกันแล้ว เพราะกลัวลูกจะเสียใจ และไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อกับแม่เลิกกัน เราจบกันด้วยดีนะคะ เรายังคงติดต่อกันเรื่องลูกอยู่ เขาก็โทรหาลูก วันหยุดก็มาหาลูกปกติ ทุกครั้งที่เข้ามาหาลูกเขากลับไปลูกก็แอบร้องไห้คนเดียวทุกครั้ง เพราะคิดถึงพ่อ เราก็เข้าไปกอดและคุยกับเขาทุกครั้ง ลูกก็จะถามกับเราตลอดว่าทำไมพ่อไม่มานอนกับเรา เราก็ไม่รู้ว่าจะตอบลูกไปว่ายังไง จะบอกไปตรง ๆ ว่าเลิกกันแล้วหรือว่ายังไงดีคะ พอจะมีวิธีพูดหรืออธิบายแบบไหนเพื่อให้ลูกเสียใจน้อยที่สุดไหมคะ ตอนนี้ลูกเราอายุ 5 ขวบค่ะเป็นผู้หญิง - ให้ลองสังเกตลูกของเราก่อนว่า เขานิสัยเป็นอย่างไร ติดพ่อ รักพ่อ รวมไปถึงชอบอยู่กับใครมากกว่า - การเลิกกันของพ่อแม่ ก็คือการเลิกกันของพ่อแม่ ส่วนลูกยังคงเป็นลูกพ่อและแม่เหมือนเดิม ให้เน้นย้ำกับลูกฟังเมื่อถึงเวลาที่สมควร - เด็กบางคนไปเชื่อมโยงว่าพอแม่และพ่อไม่ได้รักกัน ก็อาจจะส่งผลทำให้เด็กกลัวว่าจะไม่รักเขาไปด้วย ซึ่งมันก็มีส่วนเป็นไปได้ในความรู้สึกส่วนลึก - เด็กทุกคนมีการสังเกตอยู่แล้วว่า การเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์กำลังจะเกิดขึ้น รวมไปถึงเกิดขึ้นไปแล้ว ระยะทำใจจึงจำเป็นต้องปล่อยให้เด็กแต่ละคนเยียวยาตัวเองส่วนหนึ่ง - ทั้งนี้ ไม่ต้องไปคิดแทนลูกของเรา ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าใจในวันนี้ แต่วันหนึ่งเขาย่อมต้องเข้าใจ ให้เราที่อยู่ในฐานะพ่อแม่ ทำอย่างสิ่งที่ปรารถนาจะดีกว่า ทุกสิ่งจะเดินไปอย่างสิ่งที่ควรจะเป็นเอง
ข้อความโพสต์จาก Morgan Housel ได้เขียนข้อความไว้ว่า "มันไม่จำเป็นต้องหาสิ่งใดมาโน้วน้าวเพื่อที่จะเชื่อว่าเราชาญฉลาดและมีสุขภาพที่ดี แต่มันจะต้องใช้ข้อเท็จจริงอย่างยิ่งเพื่อที่จะโน้วน้าวที่จะเชื่อสิ่งตรงกันข้าม - Dan Gilbert" - แง่มุมของคนที่ชาญฉลาดหรือมีชีวิตที่ดีอยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะมีสติรู้ตัวและไม่ค่อยชื่นชมตัวเองอะไรมาก - แต่ในอีกมุมมองหนึ่ง เราอาจจะต้องใช้ข้อมูลมากมายเพื่อที่จะพิสูจน์ตัวเองว่า เราอาจจะไม่ได้ฉลาดหรือมีชีวิตที่ดีขนาดนั้น - เมื่อสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งหนึ่งย่อมเกิดขึ้นตาม ถ้าเรารู้อะไรมากจริง ๆ แบบของจริงเลย เราจะทำความเข้าใจอะไรอย่างง่ายดาย - บางทีคนที่ดื้อด้านที่สุดอาจจะไม่ใช่คนที่มีชีวิตที่ดี แต่เป็นคนที่มีชีวิตที่ไม่ค่อยดี แล้วปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้นก็ได้ - ทั้งนี้ การโน้มน้าวใครก็ตาม ไม่ใช่เรื่องที่จะคิดแบบตื้น ๆ ได้เลย เราจำเป็นจะต้องขบคิดถึงปัญหา สาเหตุ รวมไปถึงผลลัพธ์ของทางที่จะโน้มน้าวไปด้วย
หนังสือ The Myth of Normal: Trauma, Illness, and Healing in a Toxic Culture ของ Gabor Maté and Daniel Maté - เมื่อยุคสมัยของความเป็นปกตินั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง มันจะหมายถึงอย่างไรถ้าเราผิดปกติ - การพูดถึงคำว่าปกตินั้น มักจะพูดอยู่กรอบแคบว่า เราต้องเป็นเหมือนคนในสังคมถึงจะปกติ แต่จริง ๆ ทางจิตวิทยาไม่ได้เป็นแบบนั้น - สุขภาพของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน สภาพแวดล้อม ความคิด รวมไปถึงจิตใจก็เป็นส่วนที่สำคัญที่จะเข้าใจตัวเราเองว่าสิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นย่อมมีเหตุผลเสมอ - การเปลี่ยนแปลงของความคิดและจิตใจ ก็จำเป็นจะต้องเรียนรู้ที่จะมีพันธะ กับความเป็นเนื้อแท้ของสรรพสิ่ง เพราะชีวิตจะขาดการยอมรับและการค้นหาตัวเองไปไม่ได้ - สิ่งใดเกิดขึ้นกับความคิด อารมณ์ และจิตใจของเราล้วนเป็นเรื่องปกติสามัญ ถ้าเราไม่ไหวที่จะเป็นแบบนี้ก็ขอให้ปรึกษาคนที่ปรึกษาได้ วัฒนธรรมที่เป็นพิษจะทำให้เราแย่ลงได้
loading
Comments