DiscoverFriendtalkative Podcast
Friendtalkative Podcast
Claim Ownership

Friendtalkative Podcast

Author: เพื่อนปรึกษา

Subscribed: 228Played: 3,898
Share

Description

Podcast สาระนานาประโยชน์ เช่นจิตวิทยา ปรัชญา ธรรมะ ฯลฯ และชวนคุยเรื่องปัญหาชีวิตในทุกแง่มุม ผสมผสานอย่างลงตัวด้วยความเชื่อที่ว่า ’ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ’
1387 Episodes
Reverse
หนังสือ Take Charge of Your Life ของ Jim Rohn - มีสักกี่คนที่จะควบคุมชีวิตได้อย่างหมดจด ผู้คนส่วนใหญ่แล้วควบคุมไม่ได้แม้กระทั่งความคิดของตัวเอง - เมื่อเราควบคุมตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ เราจะสามารถควบคุมผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตได้ - ไม่มีทางที่ชีวิตจะปล่อยไปตามลม เราไม่สามารถใช้ชีวิตได้โดยไม่คิด พูด หรือกระทำสิ่งใดได้จริง - หากเราต้องตัดสินใจอย่างหนึ่งในชีวิต เราจำเป็นจะต้องเลือกทางที่ใช่ที่สุด ที่เหมาะสมกับตัวเราเอง - ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เริ่มต้นจากตัวเราเองทั้งหมด อย่าไปเปลี่ยนสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะมันจะเสียเวลาโดยใช่เหตุ
มีคนมาปรึกษาว่า ลูกชายอายุ 15 ปี กำลังจะไปตามหาความฝันที่กรุงเทพ แต่โรงเรียนที่ไปไม่มีหอในมีแต่หอนอก ควรจะให้ลูกไปไหมคะ - การที่เราต้องปล่อยลูกเราไปจากอ้อมอก เป็นสิ่งที่ยากสำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ แต่มันคือสิ่งที่สักวันหนึ่งก็ต้องทำ - สังเกตลูกของตัวเองให้ได้ละเอียดถี่ถ้วนมากที่สุด เช่น มีความรับผิดชอบไหม มีคำมั่นสัญญาที่ดูหนักแน่นไหม เพราะทุกอย่างมีเหตุผลอยู่เสมอ - คนที่จะไปอยู่หอนอก อาจจะต้องควบคุมตัวเองสูงกว่าหอใน เพียงเพราะเราจะสามารถพาใครเข้ามาก็ได้ และมันอาจจะเลยเถิดไปได้ไกล - วัฒนธรรมของแต่ละครอบครัวนั้นแตกต่างกัน เราจำเป็นจะต้องชั่งน้ำหนักด้วยดุลยพินิจของครอบครัวเราให้ได้มากที่สุด - ทั้งนี้ แต่ละคนก็แต่ละหนึ่ง ถึงแม้เราจะปรึกษาคนนับพัน นับหมื่น แต่ยังไงแล้วคนที่ตัดสินใจครั้งสุดท้ายก็ย่อมเป็นเราอยู่ดี
ข้อความโพสต์จาก James Clear ได้เขียนข้อความไว้ว่า "ยิ่งคุณใช้เวลาไปกับการวิจารณ์กับสิ่งที่คุณควรได้รับ คุณจะเสียเวลาโดยใช่เหตุกับสิ่งที่คุณควรจะสร้างมันขึ้นมา จงโฟกัสในสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้เท่านั้น" - มีผู้คนมากมายต้องการที่จะเปลี่ยนสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่น จิตใจคน สังคมแวดล้อม รวมไปถึงโลกใบนี้ - แถมการที่เรามัวแต่รอคอยผลลัพธ์อย่างเดียว โดยที่ไม่ได้ทำเหตุให้ถึงพร้อม ก็ไม่สามารถให้ปลายทางนี้สุขสมได้เลย - หากว่าเราเป็นคนที่สงสัยในผลลัพธ์ที่ตัวเองได้ ก็ให้ลองสอบทานตัวเองอีกรอบหนึ่งว่า โลกใบนี้อยุติธรรมกับเราจริง ๆ รึเปล่า - ทุกคนย่อมได้สิ่งที่สมควรได้รับ ตามเหตุที่ได้สร้างไว้ สร้างอะไรก็ได้รับอย่างนั้น แล้วก็ทำอะไรก็ได้อย่างนั้นเช่นกัน - ทั้งนี้ โลกนี้ให้ผลที่ยุติธรรม โลกใบนี้ไม่เคยรักใคร ชังใคร จะยากดีมีจนแค่ไหนโลกใบนี้ก็ย่อมให้พื้นที่กับบุคคลนั้นเสมอ
หนังสือ How to Talk to Anyone: 92 Little Tricks for Big Success in Relationships ของ Leil Lowndes - กลวิธีที่ทำให้เราสามารถชนะใจคนได้ นั่นก็คือการเอาใจเขามาใส่ใจเรา เปิดใจมองมุมที่เขามองไม่ใช่มองแค่มุมตัวเอง - เมื่อมีคนกำลังพูด แล้วเรากำลังทำอะไรอยู่ ถ้าเราตั้งใจฟังเราจะได้การตอบสนองอีกแบบ ส่วนถ้าเราเพิกเฉยเราก็ย่อมได้รับอีกแง่มุมหนึ่ง - รอยยิ้ม บางครั้งอาจจะดูเหมือนไม่สำคัญ แต่การสนทนากันเราควรจะยิ้มหรือยินดีไปกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดด้วยเสมอ มันย่อมสร้างเสน่ห์ได้ - แล้วมันก็เป็นสิ่งที่แน่นอนว่า คนที่จะคุยกันอย่างรู้เรื่อง คุยเรื่องเดียวกัน หรือมีมุมมองเดียวกัน ย่อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่เราก็ต้องรับฟังอยู่เสมอ - ทั้งนี้ มีคนอยู่สองประเภทที่เมื่อเข้าห้องไปแล้วเขาก็มักจะพูดนั่นคือ คุณอยู่นั่นเองกับฉันอยู่นี่ไง แล้วมันเป็นการย้ำเตือนว่าคนสองประเภทนี้จะมีชีวิตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
มีคนมาปรึกษาว่า อยากรู้ว่ามีความคิดยังไงกับคำว่า การเลี้ยงลูกและการทำงานบ้านงานเรือนคือหน้าที่ของภรรยาคะ - เมื่อโลกใบนี้กำหนดค่านิยามหนึ่งขึ้นมา เช่น คนนี้ต้องทำแบบนี้ คนนั้นต้องทำแบบนั้น นี่เรียกค่านิยม - เพศมีการกำหนดค่านิยามขึ้นมา โดยพื้นฐานจากฮอร์โมน วิถีชีวิต และพื้นฐานของผู้คนว่ามีชุดความคิดหนึ่งมากรอบเท่านั้น - แต่ถ้าเราพูดถึงการกำหนดหน้าที่ขึ้นมา ไม่ว่าใครก็ตามต้องล้วนมีหน้าที่นั้นเสมอ ไม่ใช่ว่าใครแต่ต้องรวมไปถึงทุกคน - บางคนใช้คำพูดประมาณว่า คุณจำเป็นต้องทำหน้าที่นี้ ต้องรับผิดชอบหน้าที่นั้น แต่เจ้าตัวเองกลับไม่มีการรับผิดชอบสิ่งใดเลย - ไม่จำเป็นต้องใส่ใจคำพูดทุกคนว่าให้เราต้องทำสิ่งใด จงตระหนักและตื่นรู้ว่าวันนี้เราสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง ที่ให้ชีวิตมวลรวมของเราดีขึ้น
ข้อความโพสต์จาก Ray Dalio ได้เขียนข้อความไว้ว่า "มันมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องดึงทุกความสงสัย ก็เพราะว่า 1. สิ่งที่ไม่ดีเพียงแค่เล็กน้อย อาจจะเป็นสาเหตุทำให้ปัญหาใต้พรมปะทุอย่างรุนแรงขึ้นมาได้ 2. การแก้ปัญหาเพียงแค่เล็กน้อยในแง่มุมใดแง่มุมหนึ่ง ย่อมป้องกันปัญหาอีกหลายส่วนได้ และ 3. ให้พยายามสร้างวัฒนธรรมที่เน้นความยอดเยี่ยม และความมุ่งมั่นในการจะเล็งเห็นถึงปัญหา ไม่ว่าปัญหามันจะเล็กน้อยเพียงใด มันคือสิ่งที่สลักสำคัญอย่างยิ่ง (ไม่เช่นนั้นปัญหาของเราจะกลายเป็นตัวอย่างที่ยึดถือในค่ากลาง) ส่วนการจัดลำดับความสำคัญก็มักจะเป็นสาเหตุให้เราเพิกเฉยต่อปัญหารอบตัวได้ สังเกตปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรามองข้ามไป หรือเราไม่ได้สนใจมันเท่าที่ควร เพื่อเสริมสร้างความรับรู้ว่ามันคือสิ่งที่ยอมรับได้ รวมไปถึงจะทนทานได้หรือไม่ ให้ลองจิตนาการว่าทุกปัญหาในทุกชิ้นส่วนนั้นถูกทิ้งไปยังอีกห้องหนึ่ง แน่นอนว่าห้องนั้นย่อมมีความสำคัญ แต่มันก็ทำให้เราไม่เจ็บปวดถึงแม้มันจะเข้ามาหาเรา โดยที่เราต้องสนับสนุนความยอดเยี่ยม มันจะช่วยให้ทุกสิ่งดีขึ้นจริง แล้วลำดับถัดไปก็จะทำให้องค์กรมีผลกระทบในทางที่ดีเช่นกัน ในขณะที่คุณไม่ได้หยิบอะไรขึ้นมา คุณก็ไม่ควรที่จะละเลยในการใส่ใจถังขยะนั้น หรือไม่มันก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงที่คุณจะหยิบปัญหา สักชิ้นสองชิ้นระหว่างทางที่คุณไปก็ได้" - ดึงทุกความสงสัยเพื่อนำมาใคร่ครวญอยู่อย่างเสมอ - ไม่ว่าเราจะเพิกเฉยสิ่งใดไป สิ่งนั้นย่อมย้อนกลับมาหาเราอย่างนั้น แล้วมันก็จะเป็นแบบนี้ตลอดไป - ทุกแง่งามของชีวิตคือสิ่งที่จะเน้นย้ำว่า ตัวตนที่แท้จริงของเราเป็นใคร แล้วปัญหาที่อยู่ใต้พรมนี้ มันจะสะท้อนอะไรขึ้นมาบ้าง - ขยะของปัญหาที่เราทิ้งไปแบบผิดวิธี วันหนึ่งมันจะย่อมส่งผลกระทบต่อชีวิตเราอย่างหาที่สุดมิได้ เราจึงต้องทิ้งให้ถูกที่และถูกเวลาด้วย - ทั้งนี้ อนาคตกาลเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นมาแล้ว โดยปัจจุบันขณะนี้เอง ยุคสมัยใหม่กำลังปรากฏขึ้น การหนีปัญหาจะยิ่งลุกลามไปไกลจนเราไม่สามารถวาดฝันไว้ได้เลย
หนังสือ The Wise Investor: A Modern Parable About Creating Financial Freedom and Living Your Best Life ของ Rich Fettke - เรื่องเล่าของการเงิน อาจจะไม่ได้เป็นเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมาทั้งหมดแต่ก็ยังสอดแทรกปรัชญา - ชีวิตไม่ได้มีแค่แง่มุมเดียว ผู้คนมักจะคิดเสมอว่าพอมีเงินแล้วทุกอย่างจะจบ แต่บางครั้งก็จบไม่สวยก็มี - เรียนรู้กับชีวิตว่า ถ้าเราอยากจะมีอิสรภาพทางการเงิน เราก็จำเป็นจะต้องมีมันอย่างชาญฉลาดด้วยเสมอ - เงินไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต ถึงแม้วันนี้เราอาจจะยังไม่มีเงิน แต่อย่างน้อยเราก็ต้องเริ่มตั้งคำถามตั้งแต่วันนี้ว่า เราต้องการสิ่งใดกันแน่ - ความรุ่มรวยอาจจะมิใช่แค่เงินทอง หรือของนอกกาย แต่มันอาจจะหมายถึงความมั่งคั่งของจิตใจและการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ได้อย่างสมดุล
มีคนมาปรึกษาว่า อยากปรึกษาค่ะ คือเราเป็นคนติดแฟนมาก แต่มีแฟนอยู่ไทย ส่วนตัวเราเองอยู่ต่างประเทศ อยากคุยกับแฟนเยอะ ๆ แต่แฟนเป็นคนคุยน้อย และเขาก็คงเปลี่ยนมาคุยเยอะกว่าเดิมไม่ได้อีก เลยมีคำถามว่า 1. มีคนมาจีบเราเยอะมาก ๆ มีคนดี ๆ ตามจีบมาเป็นปี แต่เราก็ยังมั่นคงกับแฟน เคยลองคิดว่าคบกับคนใกล้ตัวดีกว่าไหม แต่ผลที่ได้คือไม่สามารถทำแบบนี้ได้จริง ๆ และ 2. ไม่สามารถมองผู้ชายคนอื่นว่าหล่อ หรือน่ารักได้เลยนอกจากแฟนเรา เพราะเขาเป็นคนหน้าตาธรรมดาที่น่ารักที่สุดแล้วในสายตาเรา เลยสงสัยว่าจะเปลี่ยนทัศนคติตัวเองยังไง ให้ไม่งี่เง่างอแงเรื่องที่เขาไม่ค่อยมีเวลาให้ดีคะ - ความรักมันไม่ได้เลือกว่าต้องอยู่ใกล้หรือไกล คนมันจะรักก็คือรักแค่นั้นเลย - ปัญหาในตอนนี้คือ อยากให้แฟนเป็นดังใจเราไปเสียทั้งหมด ซึ่งนิสัยบางอย่างถ้าไม่มีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในระยะยาวก็ปล่อยไปบ้าง - ต้องดูเนื้อในของความเงียบแฟนเราว่า เขาเงียบเพราะไม่มีเรื่องคุย เงียบเพราะปิดบัง หรือเงียบเพราะไม่มั่นใจว่าจะคุยไปได้ยาวจริง ๆ ไหม - บางทีความเงียบอาจจะเป็นคำตอบบางอย่างให้เรารับรู้ถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป บางคนเงียบโดยนิสัยก็อาจจะไม่มีอะไร แต่บางคนอาจจะไม่ใช่ - ทั้งนี้ การที่เราพยายามหาคนรักคนอื่นเพื่อดีกว่าแฟนเรา มันอาจจะไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะถ้าเราชอบคนอื่นจริง ๆ เราจะไม่ต้องพยายามขนาดนั้น
ข้อความโพสต์จาก Simon Sinek ได้เขียนข้อความไว้ว่า "บริษัทใหญ่โตส่วนใหญ่มักจะล้มเหลว ก็เพียงเพราะเขาลืมว่าเขาสร้างบริษัทนั้นมาเพราะเหตุใด" - จุดเริ่มต้นนั้นสำคัญที่สุด มันคือจุดที่เราจะต้องกลับไปสู่ฐานอยู่เสมอ เหมือนกลับบ้านไปบ่มเพาะตัวเอง - มีผู้คนมากมายหลงคิดไปว่า การออกเดินทางคือการบ่มเพาะ แต่ในความเป็นจริงแล้วประสบการณ์นั่นแหละเป็นตัวชี้วัด - การกลับมาทบทวน สอบทาน และทดสอบ จะช่วยให้บริษัทและชีวิตของตนเองดีขึ้นได้มาก มันคือวิถีของปรมาจารย์ - ยิ่งเดินทางออกจากบ้านไปนานมากเพียงใด ก็ย่อมต้องใช้เวลาบ่มเพาะนานเท่านั้น ธรรมชาติคือครูชั้นเลิศที่จะมาสั่งสอนเรา - บริษัทที่จะยืนหยัดต่อสู้ไปได้ คือบริษัทที่ยังคงปรัชญาในการดำเนินธุรกิจอยู่เสมอ รวมถึงไม่เพิกเฉยต่อการปรับตัวใด ๆ เลย
หนังสือ Success Through a Positive Mental Attitude ของ Napoleon Hill and W. Clement Stone - ชีวิตเราจะมีทั้งความคิดในแง่บวก และความคิดในแง่ลบ ซึ่งทั้งสองความคิดนี้กำลังกำหนดวิถีชีวิตเราอยู่ - ถ้าเราปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จ เราจะต้องมองไกล มองกว้าง และมองลึกซึ้ง ในสิ่งที่หมุดหมายไว้ - ความขี้เกียจบ้าง อาจจะเป็นสิ่งที่ดี แต่การขี้เกียจตัวเป็นขนแบบนี้จะทำให้ชีวิตมวลรวมตกต่ำลงอย่างหาที่สุดมิได้ - ความจริง ความมุ่งมั่น และความกล้าหาญ จะมาเป็นส่วนช่วยเหลือให้ปัญหาชีวิตของเราถูกลดทอนลงไปมาก - ทั้งนี้ มุมมองคือวิถี ทิศทางคือการเลือกเดิน เราจึงจะต้องใส่ใจเรื่องวิถีทางในการดำเนินชีวิตไปให้มากที่สุด
มีคนมาปรึกษาว่า รบกวนปรึกษาค่ะ คือตอนนี้เราคบกับผู้ชายสิงคโปร์ เราทำงานกลางคืนที่นี่ เขาแต่งงานแล้วแต่ภรรยาเป็นคนไทย แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เพราะมีเหตุจำเป็นที่เขาเข้าประเทศสิงคโปร์ยังไม่ได้ แต่เขาก็กำลังยื่นเรื่องพาภรรยากลับมา เราคบกันมาสักพัก เกือบ 3 เดือน ถึงรู้ว่าเขามีภรรยาอยู่แล้ว เขาพาเราเข้าไปนอนบ้าน แล้วที่ไม่รู้เพราะเขาไม่เคยให้โซเชียลมีเดีย จนเพื่อนเขามาบอกว่าแฟนเราแต่งงานแล้ว เราก็ทักไปหาภรรยาเขา และรับปากว่าจะเลิกคุย แต่เราเลิกไม่ได้ เพราะเขาบอกจะเลิกกับภรรยาให้เรารอ จนภรรยาเขาจับได้อีกครั้งว่าเรายังคุยกัน เราก็รับปากอีกว่าเราจะเลิกคุย แต่เราก็เลิกไม่ได้จริง ๆ เพราะมันรักไปแล้ว ตอนนี้เราแอบคุยกับเขาแต่มันทรมานมากค่ะ เราสามารถไปอยู่กับเขาที่บ้านได้ เพราะเขาอยู่คนเดียว แต่เราไม่สามารถเปิดตัวในโซเชียลได้ เพราะเขาก็ขึ้นสถานะว่าแต่งงานแล้ว มันเลยเหมือนว่าไม่สามารถทำให้เรารู้สึกเป็นตัวจริงได้เลย มันรู้สึกเจ็บมากเลยค่ะ เราจะทำยังไงดี ใจก็อยากรอให้เขาเลิกและหย่ากับภรรยาแบบที่เขาบอก แต่เขาบอกว่าเขาจะค่อย ๆ เลิกกับภรรยา เพราะกลัวภรรยาฟ้องค่ะ เราควรรอเขาต่อไปดีไหมคะ - คำว่าเป็นเบอร์สอง เราก็ต้องอยู่แบบเบอร์สองต่อไป บางครั้งเหมือนว่าเรากำลังฝันอยู่ว่าเมื่อไหร่เราจะได้เป็นเบอร์หนึ่ง - จงเลือกและอยู่ในจุดที่ใช่ในสิ่งที่เราปรารถนาจริง ๆ ไม่ใช่ว่าพอรู้ความจริงแล้วก็บอกว่า ฉันรักเขาไปแล้ว ฉันจึงยอมแบบนี้ไม่โอเค - การใช้โซเชียลเป็นตัวชี้วัดว่าคน ๆ นี้มีแฟนไหม แต่งงานหรือยัง แบบนี้อาจจะช่วยได้ส่วนหนึ่ง แต่บางคนก็ไม่ได้ลงอะไรมาก - ถ้าเรารู้ความจริงทั้งหมด แล้วเราอยากจะมีชีวิตที่มีความสุข สงบ และทรงพลังอย่างแท้จริง ให้เราเลือกทางที่ถูกต้อง - ทั้งนี้ ถูกใจหรือถูกต้องจำเป็นจะต้องเลือกสรรให้ดี ๆ ไม่เช่นนั้นชีวิตเราจะถูกเหวี่ยงไปยังจุดที่ไม่ใช่ตลอดเวลา
ข้อความโพสต์จาก Robert Kiyosaki ได้เขียนข้อความไว้ว่า "ต้องขอโทษด้วย ฉันหมายถึงการจะเป็นผู้ประกอบการและจะไม่ทำงานประจำอีกเด็ดขาด ขอบคุณ" - มุมมองของการทำงานประจำกับการเป็นผู้ประกอบการ คือสิ่งที่เป็นเพียงแค่แง่มุมหนึ่งเท่านั้น - ชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวว่า เราจะต้องเดินทางไหน แต่ให้สอบทานตัวตนที่แท้จริงว่าเราต้องการสิ่งใด - วาสนาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เหมือนกับคำที่ว่าแข่งอะไรก็แข่งได้ แต่แข่งวาสนาแข่งกันไม่ได้ - หน้าที่เราคือตัดสินใจ ขอโทษที่เราไม่ได้ทำงานประจำ แล้วก็ขอบคุณที่เราเลือกทางที่เป็นผู้ประกอบการ - ทั้งนี้ ไม่มีทางใดที่ดีที่สุดในชีวิต จงเลือกเมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือก ห้ามเพิกเฉยสัญญาณในการเลือกอย่างเด็ดขาด
หนังสือ The Sleep Prescription: Seven Days to Unlocking Your Best Rest ของ Aric Prather - การนอนหลับเป็นยาชั้นเลิศที่เราต้องเคารพมัน ซึ่งเราจะไม่สามารถต่อรองกับมันได้เลย - บางคนมีปัญหาการนอนหลับตั้งแต่เด็ก มันจึงเป็นสิ่งที่เราต้องน้อมนำการนอนว่า มันไม่ง่ายเลยที่จะนอนหลับให้สนิท - แม้กระทั่งการกินก็ย่อมส่งผลให้เรานอนหลับได้ดี และการสะสมพลังในการนอนหลับเพื่อวันใหม่ด้วย - ตั้งเวลาการนอนหลับ และตื่นอย่างเป็นระบบ ร่างกายจะจดจำเวลาที่ร่างกายต้องการอยู่เสมอ อย่าเลื่อนเวลานอนอย่างเด็ดขาด - ทั้งนี้ สุขภาพกายเป็นสิ่งที่จะขับเคลื่อนชีวิตไปข้างหน้าได้ เปรียบเสมือนสารถีที่เราจะต้องใช้งาน จงดูแลรักษาเอาไว้ให้ดีที่สุด
มีคนมาปรึกษาว่า ทำไมผู้ชายถึงทิ้งผู้หญิง 90% ไปหาผู้หญิง 10% คะ แฟนเราทิ้งเราโดยไม่มีเหตุผล เราถามเขาก็ไม่ยอมตอบ เขาขอโทษเรา แล้วยังบอกว่าพี่ไม่ดีเอง ไม่ต้องคิดมากเรื่องพี่ เราเลยถามเพื่อนที่เขาเล่นเกมด้วย เพื่อนเขาก็บอกว่าแฟนเราเสียอาการ และพูดเหมือนจะจีบเขา เราก็เลยพูดไม่ออกเลย และอีกเรื่องเราเห็นโปรไฟล์เขาในแอปพลิเคชันหาคู่ แล้วก็มาพอรู้ความจริงว่าน่าจะแอบคุยกันมา 2 เดือนแล้ว เราก็เลยคิดว่าเราซื่อหรือใจกว้างกันแน่ ไม่สงสัยเพราะก็ต่างคนต่างทำงาน สอบ เรียน แล้วเขาก็ไม่มีเวลาให้เราเลยส่วนเราก็มีเวลาให้เขาตลอด ตอนขอคืนดีกันบอกว่าจะให้เวลา จะเอาใจใส่มากกว่าเดิม แต่ไม่เลือกคนที่คบกันมาเกือบ 2 ปี ไปหาคนคุยกัน 2 เดือน เราก็เลยสงสัยว่าจะเสียน้ำตาทำไมกับคนที่แสร้งรักเรามาตลอด - มนุษย์เราไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยการใช้เหตุและผลขนาดนั้น แม้กระทั่งเลิกกันไปนานแล้ว แต่เรายังไม่ลืมมันก็อาจจะยังมีใจให้กันอยู่ดี - การตัดสินใจของมนุษย์ยังมีความเอนเอียงอยู่มาก เราเชื่อความรู้สึกมากกว่าเชื่อสิ่งที่มันเป็นไปจริง ๆ เราจึงต้องค่อย ๆ พิจารณา - จำนวนคน 90% อาจจะไม่ได้หมายถึงคนที่เราจะต้องถูกรับเลือกเสมอไป แต่คนจำนวนอีก 10% เขาอาจจะมีความแตกต่างจากผู้คนทั่วไปก็ได้ - ซึ่งความเป็นจริงแล้ว เราอาจจะไม่ได้กำลังเลือกใคร และก็ไม่มีใครเลือกเรา ทุกอย่างเป็นเรื่องของเหตุปัจจัยและโชคชะตาผนวกรวมกัน - ถ้าเราเป็นคู่กันก็จะไม่แคล้วกัน ทุกคนมีสิ่ง ๆ หนึ่งที่บ่งชี้ว่าตัวเราจะต้องเป็นไปในรูปแบบไหน ไม่มีใครได้รับมากกว่าหรือน้อยกว่าในสิ่งที่ควรจะเป็นได้เลย
ข้อความโพสต์จาก James Clear ได้เขียนข้อความไว้ว่า "ความรับผิดชอบคือการสร้างสรรค์ผลงานให้มันเป็นไป แล้วอย่าตัดสินมันโดยทันที งานของคุณก็คือตกหลุมรักที่กระบวนการสร้าง ไม่ใช่ผลลัพธ์ว่าจะออกมาดีแค่ไหน" - ไม่จำเป็นต้องคาดหวังกับสิ่งที่ทำ หน้าที่เราคือทำ หน้าที่ของผลลัพธ์คือธรรมชาติ - ธรรมชาติไม่เคยอคติ ลำเอียง หรือว่าไม่ชอบอะไรในตัวเรา มีแต่มันทำหน้าที่ของมันเช่นกัน - การตกหลุมรักในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น ชีวิต ความรัก การงาน หรือการเงิน ก็ย่อมต้องคอยสอบทานอยู่เสมอ - ความสุขของชีวิตคือสิ่งที่เราได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ เพราะเมื่อเรามองย้อนกลับมามันจะสบายใจที่ได้ทำไปแล้ว - ไม่ต้องห่วง พะวง หรือกังวลกับสิ่งใดที่เราได้ทำลงไปแล้ว รอดูผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น นั่นแหละจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิต
หนังสือ Life Is Hard: How Philosophy Can Help Us Find Our Way ของ Kieran Setiya - ทำไมชีวิตจึงเป็นสิ่งที่ยาก แล้วเราจะทำอย่างไรให้มันง่าย หรือเราควรปล่อยมันไปแบบนั้น - ปรัชญาของชีวิตที่มาเน้นย้ำว่า ความยากของชีวิตไม่ได้ให้แง่มุมที่เลวร้ายอย่างเดียว แต่มันอาจจะคือแง่งามของความสุข - เราสามารถปล่อยชีวิตไปตามกระแสลมได้ มันหมายถึงเราไม่ต้องดึงรั้งสิ่งใด หรือว่าครอบครองสิ่งใด แต่เราก็จะไม่สามารถเรียนรู้ได้เลย - ลองทบทวนดูว่าชีวิตที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้เป็นอย่างไร เรามีความสุข หรือความทุกข์อย่างไร แล้วสิ่งต่าง ๆ มันพอที่จะรับมือกับมันได้ไหม - บางครั้งชีวิตที่มีความสุข อาจจะไม่ใช่เป็นสิ่งที่ต้องสร้างเงื่อนไขขึ้นมา ทุกอย่างเป็นอย่างนั้นมาตั้งนานแล้ว มีแต่ใจเราไปยึดติดถือมั่นก็เท่านั้นเอง
มีคนมาปรึกษาว่า อยากปรึกษาค่ะ คือเราเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ตอนนี้มีลูกสองคน และเรามีแฟนใหม่ค่ะ คบกันมา 2 ปีแล้วกำลังจะเข้าปีที่ 3 เขาเป็นผู้ชายที่ดีมากค่ะ เสมอต้นเสมอปลาย รักเราและลูกของเรา ดูแลทุกอย่างที่แบบว่าวันแรกเป็นยังไง ทุกวันนี้เขาก็ยังเหมือนเดิมค่ะ เรื่องที่เราอยากปรึกษาคือ เขาอยากมีลูกที่เป็นลูกของเขาเองค่ะ ซึ่งเราก็เลยมีความรู้สึกว่าเราไม่อยากมีอีก เพราะกลัวจะมีปัญหาลูกฉันลูกเธอ คนที่บ้านเขาก็ไม่อยากให้มี เพราะกังวลเรื่องเดียวกับเรา แต่แฟนเราก็ยืนยันว่าจะไม่มีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น แต่เรากลับรู้สึกว่าทุกอย่างมันคือเรื่องของอนาคต แม้ขนาดวันพรุ่งนี้เรายังคาดเดาอะไรไม่ได้เลย แต่อีกใจหนึ่งเราก็เข้าใจเขาค่ะ เลี้ยงลูกคนอื่นมันก็อาจจะไม่สนิทใจทั้งหมด ซึ่งตอนนี้ลูกเราผู้ชายอายุ 8 ขวบ ผู้หญิง 6 ขวบ ส่วนแฟนอายุ 36 ปีค่ะ เลยอยากขอคำชี้แนะและแนวคิดอีกทางหนึ่งด้วยค่ะ ขอบคุณมากนะคะ - ปัญหาหลัก ๆ อาจจะไม่ใช่เรื่องของการมีลูกเป็นของตัวเอง หรือว่าลูกเลี้ยง แต่มันอยู่ที่ใจของทั้งสองคนมากกว่า - ซึ่งบางคนก็จะต้องมีปัญหาลูกฉันลูกเธอบ้าง เป็นเรื่องปกติแล้วในเรื่องนี้จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแต่ละบุคคล - ความรักมันอาจจะมีวันที่จืดจางกันไป ซึ่งเราก็ต้องถามตัวเราเองว่าเราอยากจะมีลูกคนที่สาม คนที่สี่ หรือมากกว่านั้นอีกไหม - ให้เราลองวางแผนชีวิตอย่างจริงจังดู คำว่าทุกอย่างมันคือเรื่องของอนาคต แม้วันพรุ่งนี้เรายังไม่รู้เลย อาจจะเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องทั้งหมด - วันนี้จะเป็นตัวกำหนดอนาคต มันไม่ใช่ว่าเราจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองไม่ได้ แต่ทุกการตัดสินใจย่อมส่งผลต่ออนาคตทั้งหมดทั้งสิ้น
ข้อความโพสต์จาก Ray Dalio ได้เขียนข้อความไว้ว่า "ผู้คนมากมายมักจะตอบด้วยทฤษฎีที่ผิดพลาด หรือว่ากลับกลอกไปมา คุณจึงจำเป็นจะต้องตรวจสอบ แล้วสอบทานอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะบางคำตอบที่มันดูน่าฉงนสงสัย ผู้จัดการบางคนไม่ต้องการที่จะทำแบบนี้ มันเหมือนว่าเราไม่ให้ความเคารพแก่ผู้คนเหล่านั้น แต่ผู้จัดการควรจะตระหนักว่า การจะเชื่อใจใครสักคนนั้นมันก็มีทั้งได้รับและสูญเสียอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นคุณจึงจำเป็นจะต้องฝึกปรือตนเองให้มีความแม่นยำในการตัดสินใจเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้คนนั้นกำลังบอกกล่าวเรื่องราวนั้น ๆ และคุณก็จะได้รู้ว่าใครคือคนที่ควรจะฝากชีวิตเอาไว้" - อย่าไปนึกตรึกเอาว่าคำตอบของผู้คนนั้นจะถูกต้องเสมอไป - ผู้จัดการบางคนไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งที่ควรตัดสินใจ การปล่อยปละละเลยของข้อมูลมักจะมีปัญหาตามมามาก - เก็บเกี่ยวประสบการณ์โดยการสังเกตว่า ผู้คนนั้นจะมีทัศนคติที่ผิดพลาดอย่างไร เนื่องด้วยมีคนส่วนน้อยที่คิดถูกต้องในยุคสมัยนี้ - วิธีสุ่มเดินอาจจะไม่มีอยู่จริง แต่บางคนก็คิดว่าโลกจะเหวี่ยงสิ่งที่ใช่มาให้เรา โดยที่เราไม่ต้องขวนขวายทำอะไรให้มันดีขึ้นเลย - ไม่ต้องกังวลไปว่า เราจะไม่เคารพผู้คนในสังคม แต่ให้เราเคารพความดี และความถูกต้องเอาไว้เป็นเกณฑ์ เพราะความสงสารไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นจริง
หนังสือ The Go-Giver Leader ของ Bob Burg and John David Mann - เรื่องเล่าของผู้นำที่มีการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย มันจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยการตัดสินใจที่แหลมคม - ผู้นำที่ดีคือผู้นำที่เราสามารถบอกกับตัวเองได้ว่า เราภูมิใจกับสิ่งที่เราได้เลือกทางนั้นไป โดยปราศจากความลังเล - ปัญหาจะเกิดขึ้นมาก ถ้าผู้นำไม่สามารถนำไปยังทิศทางที่ถูกต้องได้เท่าที่ควร มันจึงเป็นการเกลาของชีวิต - มองทางออก สร้างผู้คน ทำงานที่พึงกระทำ ยืนหยัดเพื่อบางสิ่ง และฝึกปรือตนเองเพื่อการเป็นผู้นำที่ดี - ทั้งนี้ ถ้าเกิดว่าเราอยากสร้างผู้นำจริง ๆ เราจะต้องเชื่อมั่นในบุคคลนั้นที่เราได้มอบหมายหน้าที่รับผิดชอบไปด้วยอย่างใจจริง
มีคนมาปรึกษาว่า ไม่สนิทกับครอบครัว ปกติไม่คุยกันเลย ไม่ไปไหนด้วยกัน อยากกระชับมิตรแบบใดได้บ้าง เห็นพ่อแม่เหงา ๆ แต่จู่ ๆ ชวนไปทำนู่นทำนี่ก็กลัวเขาจะอึดอัด - เมื่อเราต้องการอยากจะสนิทกับคนใกล้ตัว เราก็ต้องรู้จักตัวเองก่อน แล้วเราจึงจะรู้จักผู้อื่น - นิสัยของแต่ละคนจะแตกต่างกัน บางคนชอบคนเอาใจ บางคนชอบคนพูดน้อย หรือบางคนก็ชอบคนที่ว่านอนสอนง่าย - แต่มันก็อาจจะไม่สามารถช่วยให้อะไร ๆ ดีขึ้นได้จริง ก็เพียงเพราะความสนิทสนมต้องเริ่มจากปัจจัยพื้นฐานก็คือนิสัยของเราเอง - อย่าคาดหวังว่าความสัมพันธ์มันจะดีอย่างสิ่งที่เราตั้งใจเอาไว้ มันเหมือนว่าธรรมชาติของบ้านเราเป็นแบบนี้ วัฒนธรรมเป็นแบบนั้นก็จึงต้องน้อมรับ - ทั้งนี้ เราเองจะต้องเป็นคนไม่คิดมาก และทำไปเลย ตัดสินใจอย่างสิ่งที่ตัวเองมีเจตนาแบบนั้น เพื่อให้ทุกสิ่งมีการขับเคลื่อนไปข้างหน้าบ้าง
loading