DiscoverLuangpor Paisal Visalo‘s Podcast (ธรรมะ จาก หลวงพ่อไพศาล วิสาโล)
Luangpor Paisal Visalo‘s Podcast (ธรรมะ จาก หลวงพ่อไพศาล วิสาโล)
Claim Ownership

Luangpor Paisal Visalo‘s Podcast (ธรรมะ จาก หลวงพ่อไพศาล วิสาโล)

Author: watpasukato

Subscribed: 549Played: 21,222
Share

Description

เสียงบรรยายธรรมของหลวงพ่อไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต
Dhamma talks by Venerable (Luangpor) Paisal Visalo, Abbot of Watpasukato, Chaiyaphum, Thailand.

MP3 files are courtesy of https://www.facebook.com/Zensukato

Contact admin: watpasukato19@gmail.com
1290 Episodes
Reverse
10 ส.ค. 68 - เจออะไรใจก็นิ่งได้ : ความสุขที่แท้ คือจิตที่สงบ ที่ประกอบไปด้วยธรรม แม้ปัญญายังไม่มีมากพอ หมายความว่า พอเจอสิ่งที่ถูกใจก็เกิดความยินดี สิ่งเย้ายวนก็เกิดความเพลิดเพลิน พอเจอสิ่งที่ยั่วยุก็ทำให้เกิดความโกรธ สิ่งที่ไม่ถูกใจก็เกิดความหงุดหงิด ความหวั่นวิตก แต่ถ้ามีสติมันก็จะช่วยรักษาใจได้ อารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ความอยาก ความกลัว ความโกรธมีขึ้นในใจ แต่ก็มีสติรักษาใจไม่ให้มันครอบงำ หรืออาจจะเผลอปล่อยใจจมเข้าไปในอารมณ์เหล่านั้น ก็มีสติดึงจิตออกมาจากอารมณ์เหล่านั้นได้ สุดท้ายมันจะเกิดความสงบขึ้นมา   อันนี้จะว่าไปแล้วมันคือจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา ในมงคลสูตร 4 ข้อสุดท้ายนี้ก็เป็นเรื่องนี้แหละ จิตของผู้ใดอันโลกธรรมถูกต้องแล้ว ไม่หวั่นไหว ไร้ธุลีกิเลส เป็นจิตเกษมศานต์ ไม่โศกเศร้า นี้เป็นมงคลอันสูงสุด   ถ้าคนเราถือว่านี่เป็นจุดมุ่งหมาย ก็ต้องพยายามไปให้ถึง แต่ถ้าเราไม่คิดว่านี่คือสิ่งที่วัดความก้าวหน้า เราก็ปล่อยใจไปตามอำนาจของสิ่งล่อเร้าเย้ายวน แล้วเราก็คิดว่าใคร ๆ เขาก็ทำกัน ใคร ๆ เขาก็ทำกัน ใคร ๆ เขาก็เป็นกัน คิดแบบนี้ก็ถือว่ามองข้ามศักยภาพที่เรามี เราสามารถจะทำได้มากกว่านั้น หรือเป็นได้มากกว่านั้น   เพราะฉะนั้นถ้าจะถามว่า สิ่งที่จะวัดความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมของเราคืออะไร คำตอบง่าย ๆ คือการรู้จักรักษาใจให้นิ่งสงบ ไม่ว่ามีอะไรมากระทบ หรือไม่ว่าประสบกับอะไรก็ตาม
8 ส.ค. 68 - ยิ่งอยากหนี ก็ยิ่งเจอ : ธรรมดาคนป่วยก็อยากหาย แต่ความอยากหายที่ทำให้ป่วยได้นานขึ้น เพราะว่าพอไม่หายอย่างที่หวังก็เครียด ไม่พอใจ ความเครียดมันก็ทำให้การฟื้นตัวของร่างกาย หรือการหายจากโรคเป็นไปได้ช้าลง ของแบบนี้ถ้าไม่มีสติ มันก็ทำได้ยาก เพราะว่ามันอดไม่ได้ที่จะปล่อยให้ความอยากเข้ามาครอบงำ ไม่ว่าจะอยากถูกหวย อยากหายจากโรคภัยไข้เจ็บ อยากหายจากความฟุ้งซ่าน อยากระงับความโกรธ อยากเลิกเหล้า พวกนี้ถ้าวางใจไม่เป็น มันกลับเป็นตัวซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้มากขึ้น มีสติรู้ทันความอยากนะ ความอยากมันก็ดีพาให้เรามาที่นี่ แต่พอลงมือปฏิบัติก็ต้องวางความอยาก อยากหายโกรธนี่เป็นเรื่องดี แต่ว่าพอพยายามฝึกใจให้มีสติ เพื่อจะรู้ทันความโกรธ ก็วางความอยากลง แล้วถ้าเราสามารถเอาชนะ หรือรู้ทันความอยากได้ รู้ทันความคาดหวังได้ มันก็จะมารบกวนจิตใจเราน้อยลง
7 ส.ค. 68 - ชีวิตที่ต้องมีตัวกวน : ถ้าจะว่าไปแล้วการที่มีความคิดปรุงขึ้นมา มันก็เป็นตัวป่วนตัวกวนอย่างหนึ่งซึ่งมีประโยชน์ ในการปฏิบัติธรรมเราต้องการตัวกวนตัวป่วน ต่างจากทางโลก ทางโลกพยายามหนี ใครที่คิดหนีสิ่งที่มาปั่นป่วนกวนจิตใจ แสดงว่ายังคิดแบบทางโลกมาก แต่ถ้าคิดแบบทางธรรมแล้ว กลับอยากจะให้มีมากๆ ถ้าไม่มีอาจารย์ ก็ทำหน้าที่เองเป็นตัวป่วนเสียเอง แล้วก็ทำให้ได้บทเรียน ถึงแม้ไม่มีอาจารย์มาคอยเป็นตัวกวนตัวป่วน แต่ในชีวิตประจำวันเราก็จะมีพวกนี้อยู่แล้ว เรียงหน้าเข้ามาเป็นระยะๆ สิ่งนั้นก็คืออนิฏฐารมณ์ หรือบางทีเราก็เรียกว่าทุกข์นั่นเอง ทุกข์ก็เป็นตัวป่วนตัวกวนที่มีประโยชน์มาก เหมือนกับเชื้อโรคที่เข้ามาในร่างกายแล้วทำให้เรามีภูมิคุ้มกัน บางทีเชื้อโรคไม่มีก็ต้องฉีดยาเข้าไป ยาในที่นี้คือการเอาเชื้อโรคเข้ามาในร่างกายเพื่อไปกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกัน   นักปฏิบัติธรรมต้องมี ต้องเจอทุกข์ แล้วทุกข์นี้จะทำให้เรามีภูมิคุ้มกันความทุกข์ ก็คือเกิดปัญญา เกิดสติ หลวงปู่กงมาท่านเคยพูดว่า ถ้ากลัวทุกข์ก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ แต่ถ้าอยากพ้นทุกข์ก็ต้องเข้าหาทุกข์ แต่ก็อย่างที่บอก เราไม่จำเป็นต้องเข้าหาก็ได้ เพราะมันก็มาหาเราอยู่แล้ว แต่บางทีเราต่างหากที่หนีมัน หรือเรียกร้องที่จะไม่ให้มีสิ่งที่เป็นตัวกวนตัวป่วน แต่ถ้าเรายอมรับมันได้ ก็จะทำให้เราเติบโตได้ จนกระทั่งสามารถออกจากทุกข์ หรืออยู่เหนือทุกข์ได้
6 ส.ค. 68 - แม้ถูกกวนแต่ใจไม่ขุ่น : ที่จริงในชีวิตประจำวันก็มีสิ่งพวกนี้อยู่แล้วที่มากวนเรา ไม่ว่าจะเป็นแมลง อากาศร้อน เสียงดังจากข้างนอก หรือว่าพฤติกรรมที่น่ารำคาญน่าระอาของใครบางคนที่อยู่รอบตัวเรา หลายคนพอเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจก็โวยวายตีโพยตีพาย หารู้ไม่ว่านี่เป็นของดีที่เขามาฝึกใจเรา หนองป่าพงบางทีก็ไม่ค่อยมีสิ่งนี้ หลวงพ่อชาท่านก็เลยทำเสียเองเลย สวดปาฏิโมกข์ก็แกล้งให้สวดผิดสวดถูก ใครที่ภาคภูมิใจว่าสวดเก่ง พอเจอแบบนี้เข้าก็อายขายหน้า แต่ที่จริงแล้วแม้ใครมาแกล้ง แม้สวดไม่ดี ไม่ทุกข์ก็ได้ ถ้าหากไม่ไปหลงใหลเพลิดเพลินในความสำเร็จ นี่เป็นสิ่งที่เราต้องฝึกเอาไว้ ทำอะไรก็ตาม ทำเต็มที่แต่ว่าอย่าไปคาดหวังความสำเร็จ มีความสำเร็จก็แค่รู้เฉยๆ ถ้าไม่สำเร็จไม่มีคนชมก็รู้เฉยๆ เราทำดี ไม่มีคนเห็น ก็เฉย ใครชมเรา เราก็เฉย เพราะเรารู้ว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่เที่ยง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ แล้วจริงๆ เราไม่ต้องรอให้ครูบาอาจารย์มากวนใจเราให้ขุ่น เพราะว่าจริงๆ แล้วมันมีสิ่งต่างๆ ที่จะคอยกวนใจเราอยู่เสมอ เพียงแต่ว่าเราพยายามหลีกพยายามเลี่ยง   แต่ถ้าเกิดว่าเรารู้จักเผชิญกับมันบ้าง แล้วมองว่าเขามาฝึกใจเรา ทำอย่างไรแม้จะมีสิ่งมากวนใจแต่ว่าใจไม่ขุ่นใจ ยังสงบได้ ถ้าทำได้อย่างนี้ถึงเรียกว่าการปฏิบัติธรรมของเราก้าวหน้า แต่ถ้าใจสงบเพราะไม่มีอะไรมากวน พอมีอะไรมากวนเข้า ใจนี่ขุ่นมัวหงุดหงิดหัวเสีย แสดงว่าเรายังต้องฝึกอีก
5 ส.ค. 68 - เจออะไรไม่สำคัญเท่ากับมองมันอย่างใร : ความทุกข์เป็นสิ่งที่เราทุกคนหลีกหนีไม่พ้น ไม่ว่าร่ำรวยหรือยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ต้องพบกับความไม่สมหวัง รวมทั้งความพลัดพรากสูญเสีย ดูแลรักษาสุขภาพดีอย่างไร ก็ยังต้องเจ็บป่วย ตั้งใจทำงานเพียงใดก็ยังเจอความล้มเหลว ระมัดระวังเพียงใด ก็ยังต้องเสียทรัพย์ แต่ไม่ว่าจะเกิดเหตุร้ายอย่างไร ใจเราก็ยังสามารถเป็นปกติ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ เพราะความสุขนั้นแท้ที่จริงอยู่ที่ใจ ป่วยกาย แต่ใจไม่ป่วย เสียทรัพย์ แต่ใจไม่เสีย เป็นสิ่งที่เราทำได้ หาเกินความสามารถของเราไม่ ไม่ว่าเจออะไร ย่ำแย่แค่ไหน ก็ยังมีความสุขให้เราสัมผัส หรือพบได้แม้ในท่ามกลางความทุกข์ ดังมีพุทธภาษิตว่า “ผู้มีปัญญา แม้ประสบทุกข์ ก็ยังหาสุขพบ” ความสุขอย่างหนึ่งที่เราพบได้ในทุกหนแห่งก็คือความสุขที่ใจ ขอเพียงแต่เรารู้จักรักษาใจ หรือหันกลับมาดูแลใจ รวมทั้งคิดให้ถูก มองให้เป็น ก็พบความสุขได้ไม่ยาก
4 ส.ค. 68 - ฝึกใจให้เป็นนายความคิด : คำว่า รู้ มีประโยชน์ แต่ถ้า รู้งี้ ไม่ค่อยมีประโยชน์ แต่มันมักจะเกิดขึ้นกับคนที่รู้แต่ไม่ทำ เพราะห้ามใจไม่ได้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะไม่ได้ฝึกใจ และถ้าฝึกใจไว้อยู่เสมอ แม้จะรู้ไม่มากแต่ว่าถ้าฝึกใจเอาไว้ รู้เท่าไหร่ก็ทำเท่านั้น มันก็ทำให้ชีวิตเลี่ยงทุกข์แล้วก็ประสบสุขได้ แต่รู้มากเพราะใช้ความคิดเยอะ ได้ยินได้ฟังมาเยอะ แต่ว่าไม่ได้ฝึกจิตเลย แล้วบางทีก็รู้ว่าควรจะฝึกแต่ว่ามันก็มีข้ออ้างในการไม่ฝึก ก็มักจะลงเอย จบไม่สวยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นนอกจากการฝึกหรือการรู้จักใช้ความคิดให้มีประโยชน์ รู้จักคุมความคิด ใช้ความคิดเพื่อกระตุ้นให้เกิดความไม่ประมาทในชีวิตแล้วมันต้องฝึกด้วย   ต้องฝึกจิต ฝึกให้มีสติ ฝึกให้มีความรู้สึกตัว ฝึกให้มีปัญญา ซึ่งจะช่วยทำให้ไม่ว่าคิดอะไร ใจก็จะไม่คล้อยตาม แล้วก็ช่วยทำให้กิเลส อวิชชา ครอบงำจิตใจเราน้อยลง และช่วยทำให้รู้จักพาใจไม่ให้ทุกข์ได้แม้จะเจอความทุกข์ คือความเจ็บ ความป่วย ก็ป่วยแต่กาย ใจไม่ป่วย แม้กระทั่งตายก็มีแต่ความตายแต่ไม่มีผู้ตาย ไม่มีผู้ทุกข์
3 ส.ค. 68 - ทำดีแล้ว ทำใจด้วย : ถ้าหากว่ารู้จักเอาธรรมะพื้น ๆ นั้นมาใช้ นั่นก็คือการวางใจให้เป็น เช่น การให้อภัย การรู้จักมีเมตตากับคนที่เขาสร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่น อย่าปล่อยให้ใจมันเกิดความโกรธเกลียด เพราะถ้าเรานึกไปถึงชะตากรรมที่เขาต้องประสบในวันข้างหน้าอันเป็นผลจากการทำไม่ดีของเขา มันจะทำให้เรามีแต่ความสงสาร ความโกรธ ความแค้น ก็จะน้อยลง ยิ่งตระหนัก หรือมีสติระลึกว่า หรือเห็นภัยของความโกรธว่ามันมีแต่จะกัดกร่อนจิตใจเรา ถ้ารักตัวเอง ก็อย่าให้ความโกรธครองใจ ให้มีสติ รู้จักวางมันบ้าง หลายคนเจอปัญหานี้ไปไม่เป็น แม้จะรู้เข้าใจเรื่องอนัตตา เรื่องปรมัตถธรรม แต่มันรู้แค่หัว บางทีรู้ว่าไม่มีตัวกู-ของกู แต่พอเจอปัญหาแบบนี้นี่ก็จมอยู่ในความทุกข์ มันไม่ใช่เรื่องโลกุตตรธรรม มันเป็นเรื่องโลกียธรรม ซึ่งต้องรู้จักเอามาใช้เพื่อแก้ปัญหาชีวิตของตัว แก้ปัญหาจิตใจ   และไม่ใช่แค่ความโกรธเกลียดพี่สาว ความน้อยใจพ่อแม่ก็เหมือนกัน ถ้าวางใจให้เป็น มองให้ถูก มันก็มีแต่ความเข้าอกเข้าใจเขา แล้วก็มันก็มีแต่การรู้จักปล่อย รู้จักวาง เพราะเห็นว่าจริง ๆ แล้วเหตุแห่งทุกข์มันอยู่ที่ใจเรานั่นเอง คาดหวังให้เขาเห็นความดีของเรา คาดหวังว่าเขาควรทำสิ่งที่ถูกต้อง การไปคาดหวังคนอื่นมันมีแต่จะสร้างความทุกข์ เมื่อพบว่าเขาไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด อย่างที่เราคาด แต่เรามาปรับใจของเราดีกว่า วางใจให้ถูก มองให้เป็น มันก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทุกข์
2 ส.ค. 68 - เห็นธรรมในทุกสิ่ง :  ธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าหมายถึงอะไร หมายถึงทุกสิ่งเลย ทั้งที่เป็นความคิด อารมณ์บวกและลบ รวมทั้งเสียง รูป ที่เกิดขึ้น ถ้าเราเห็นธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้น ๆ อย่างแจ่มแจ้ง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน แล้วทำเช่นนั้นบ่อย ๆ ก็จะเห็นธรรม เราจะเห็นธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าได้ ก็เพราะมีสติ เมื่อเห็นธรรมะที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า เห็นมันอย่างที่มันเป็น ปัญญาก็เกิด ปัญญา คือ ความเข้าใจความจริงของสรรพสิ่ง ฉะนั้นฝึกเอาไว้ เจออะไร ก็มองเห็นธรรมจากสิ่งนั้น   นักดนตรีอย่างซานตาน่า เขาเห็นทำนองเพลงจากทุกสิ่ง แต่ว่าผู้ใฝ่ธรรมอย่างพวกเรานี้ ต้องหรือควรจะมองเห็นธรรมะจากทุกสิ่งได้ด้วย แล้วเราก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง เพราะไม่อย่างนั้นถ้าเราไม่เห็นธรรมจากทุกสิ่ง เราก็จะตกหลุมแห่งความทุกข์ได้ง่าย จะหลุดจากทุกข์ได้ ก็เพราะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรม ถ้าไม่เห็นมัน มันก็ทุกข์สถานเดียว
1 ส.ค. 68 - ผ้าขี้ริ้วสอนธรรม : ถ้าเรากลับมาดูตัวเองเราก็จะไม่ปล่อยให้กิเลสเหล่านั้น หรือสิ่งที่เป็นอกุศลของคนที่อยู่ข้างนอกหรือคนที่อยู่รายรอบเรา เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรา เราก็ต้องรู้จักขัดเกลาตัวเองบ้าง ไม่ใช่ว่ายิ่งทำไปตัวเองก็ยิ่งแย่ จิตใจก็ตกต่ำดำมืด แล้วขณะเดียวกันถ้าดูตัวเองมันช่วยทำให้เรารู้จักขัดเกลาตัวเองด้วย ไม่ใช่ขัดเกลาแต่คนอื่น อย่างที่บอกผ้าขี้ริ้วมันทำความสะอาดให้กับทุกอย่าง แต่มันทำตัวมันเองให้สะอาดไม่ได้ เราไม่เหมือนผ้าขี้ริ้ว จิตใจเราสามารถจะขัดเกลาตัวเองได้ ถ้าเรารู้จักฝึกฝน กลับมามองใจอยู่เสมอ เราก็จะเห็นกิเลส เราก็จะรู้เท่าทันกิเลส ไม่ปล่อยให้กิเลสมันมาครองใจ ยิ่งเราขัดเกลาคนอื่นมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งต้องกลับมาดูใจเรา อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ไปซึมซับรับเอาความไม่ดีของคนที่อยู่รอบ ๆ เราเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของใจเรา   ฉะนั้นการหมั่นมองตนมันก็จะทำให้เกิดทั้งความสุข ช่วยทำให้ความทุกข์จางคลาย และมันช่วยทำให้ความดีหรือกุศลธรรมในจิตใจเราก็ยังดำรงคงอยู่ เพราะไม่อย่างนั้นทั้ง ๆ ที่เราพยายามทำความดี อยากช่วยใครต่อใครมากมาย สอนคนโน้นคนนี้ แต่สุดท้ายเราต้องกลับแย่ลง ขัดเกลาคนอื่นได้มากมาย ถากคนอื่นมากมาย แต่ว่าลืมถากใจตัวเอง อันนี้ต้องระวังมากเลย   อันนี้คือสิ่งที่คนที่ทำความดีทำประโยชน์ต้องระมัดระวัง เห็นผ้าขี้ริ้วแล้วก็เอามาเตือนใจว่า ตอนนี้ใจของเราหรือชีวิตของเราเป็นเหมือนผ้าขี้ริ้วหรือเปล่า เอาผ้าขี้ริ้วมาสอนใจ ก็จะทำให้เราสามารถจะทำประโยชน์ตนควบคู่ไปกับประโยชน์ท่านได้ หรือว่าทำประโยชน์ท่านโดยที่ไม่ได้ทิ้งประโยชน์ตน ขัดเกลาคนอื่นแล้วก็ขัดเกลาตัวเองไปด้วย
31 ก.ค. 68 - ใฝ่สร้าง อย่าใฝ่เสพ : ความสงบนี่เราต้องรู้จักสร้างให้เกิดขึ้นมาในใจ อย่าไปหวังพึ่งพาสิ่งแวดล้อม อย่าไปคาดหวังจากคนนั้นคนนี้ อย่าไปคาดหวังจากสิ่งแวดล้อมหรือธรรมชาติ แต่พร้อมที่จะเอาสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา และเกิดขึ้นในใจเรา มาเปลี่ยนให้กลายเป็นความสงบ และไม่ใช่ความสงบอย่างเดียว กลายเป็นความสว่างด้วย จากความสงบกลายเป็นปัญญา จะทำอย่างนี้ได้มันต้องมีท่าทีแบบผู้ใฝ่สร้าง แต่ถ้ามาวัดด้วยท่าทีของผู้ใฝ่เสพ มันจะไม่มีความสุขเลย เดี๋ยวโน่นเดี๋ยวนี่ ไม่เห็นสงบ ไม่เห็นราบรื่น ไม่เห็นเรียบร้อยเลย เพราะว่าพอเจออะไรที่ไม่ถูกใจก็เป็นทุกข์   เหมือนกับคนที่ไปเที่ยวโรงแรม พอเจอเสียงดัง เจอพนักงานไม่เรียบร้อย ก็มีความทุกข์ อันนั้นก็ธรรมดาเพราะเขาไปเที่ยว ไปในฐานะผู้ใฝ่เสพ แต่เรามาวัดเราต้องมาในฐานะผู้ใฝ่สร้าง สร้างคือสร้างความสงบให้เกิดขึ้นในใจ ไม่ว่ารอบตัวเราจะเป็นอย่างไรก็ตาม
30 ก.ค. 68 - ค้นพบคุณค่าในตัวเอง : อย่าให้อารมณ์ที่เป็นลบเข้ามารบกวน แล้วก็อย่าไปเติมอารมณ์ลบๆ ให้กับใจด้วยการเสพสิ่งที่ไม่ดี มันอาจจะถูกใจ แต่จริงๆ แล้วมันถูกกิเลสมากกว่า แต่มันทำร้ายจิตใจของเรา สื่อรอบตัว ถ้าเราไม่รู้จักแยกแยะในการเสพ ก็เท่ากับเรากำลังเอายาพิษมาทำลายใจของเรา อันนี้ก็เป็นเรื่องยาก เพราะว่าเดี๋ยวนี้เราแยกไม่ออกระหว่างสิ่งที่ถูกใจกับสิ่งที่ถูกต้อง ถูกใจจริงๆ มันคือถูกกิเลสนั่นเอง ส่วนสิ่งที่ถูกต้องมันไม่ถูกกิเลส แต่ว่ามันเกื้อกูลต่อจิตใจ เกื้อกูลต่อสุขภาพ ต่อความผาสุก เราจะรู้จักแยกแยะได้ก็ต่อเมื่อรู้จักหมั่นเฝ้าดูจิตใจ รับรู้ว่าเวลารับอะไรเข้าไป ใจเป็นอย่างไร เวลาคิดลบคิดร้ายใจเป็นอย่างไร เวลาคิดบวก ใจเป็นอย่างไร เวลาใจมันแบกทุกข์แบกอารมณ์ ใจเป็นอย่างไร เวลาใจปล่อยวาง มันเป็นอย่างไร เวลาช่วยเหลือคนอื่น ใจมีความสุขไหม แต่เวลาเราคิดแต่จะเอา ใจมันเป็นอย่างไร อาจจะถูกใจกิเลส แต่ลึกๆ เราก็มีความทุกข์   พวกนี้ต้องอาศัยการเฝ้าดูจิตใจ จะเฝ้าดูจิตใจก็ต้องมีเวลากับใจ อย่าปล่อยเวลาให้เพลิดเพลินกับความสนุกสนานชั่วครู่ชั่วคราว เพราะถึงเวลาที่เกิดทุกข์ เกิดความเจ็บป่วย เกิดความพลัดพรากสูญเสีย กิเลสไม่ได้ช่วยเราเลย มีแต่ซ้ำเติมเรา แต่ว่าใจที่ฝึกไว้ดีแล้ว จะช่วยให้ความทุกข์เบาบาง หรือสามารถจะพบสุขท่ามกลางความทุกข์ได้ อย่างที่พุทธเจ้าตรัสว่าผู้มีปัญญาแม้ประสบทุกข์ก็ยังหาสุขพบ
29 ก.ค. 68 - เตรียมการแล้วอย่าลืมเตรียมใจ : ถ้าฝึกจิตเอาไว้อยู่เสมอ เวลามีอะไรที่ไม่พอใจ ไม่ถูกใจมากระทบ ก็นึกถึงพุทโธเอาไว้ เวลาแม่ค้าพูดไม่ถูกหูเรา หรือว่าเอาอาหารที่เราไม่ได้สั่งมาให้ หรือสั่งแล้ว แต่ว่าเขาเอาอาหารที่ไม่ดี ไม่ถูกใจเรา แทนที่จะปล่อยให้ความหงุดหงิดไม่พอใจครองใจ เราก็มีสติรู้ทัน ฝึกจิตรับมือกับความไม่ถูกใจ กับความหงุดหงิดที่มันเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ถ้าฝึกจนคล่อง ถึงเวลาเจอใครมาต่อว่าด่าทอแรงๆ ซึ่งๆ หน้า สติมันก็มารับหน้าได้ทัน รับมือกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนที่มันจะกลายเป็นความโกรธ มันก็แค่เกิดอาการหวั่นไหวใจกระเพื่อม แล้วมันก็ดับไป ไม่กลายเป็นความโกรธจนลืมเนื้อลืมตัว เวลาเราจะทำอะไร การเตรียมการเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็อย่าลืมการเตรียมใจ และไม่มีการเตรียมใจอะไรที่ดีเท่ากับการฝึกใจ อย่าเตรียมแค่คิดเอา หรือนึกเอาจากการฟัง การจินตนาการเท่านั้น แต่ว่าต้องฝึกจากของจริงด้วย ควบคู่กับการฝึกในรูปแบบ
28 ก.ค. 68 - ห้ามทุกข์ไม่ได้ แต่ใจไม่ทุกข์ได้ : ถ้ามีสติ รู้ทันความกลัว ความกลัวนั้นก็ทำร้ายจิตใจไม่ได้ หรืออีกวิธีหนึ่งก็คือว่า รู้ทันว่าใจเผลอคิดไป ใจมโนไป จินตนาการไป ฉะนั้นจะพาให้ใจหยุดมโน หยุดจินตนาการ ก็ด้วยการกลับมาอยู่กับปัจจุบัน ด้วยการตามลมหายใจเข้าออก หรือทำความรู้สึกตัว หรือว่าสวดมนต์ เพื่อใจจะได้ไม่ไปมโน จินตนาการในสิ่งที่น่ากลัว พอใจไม่คิดถึงสิ่งที่น่ากลัว ความกลัวก็หายไป นี่เรียกว่ารู้ทันความคิด ซึ่งเป็นต้นตอของอารมณ์ ง่ายกว่าการไปรู้ทันอารมณ์ แล้วจะไม่หลงจมเข้าไปในอารมณ์ เช่น ความกลัว การรู้ทันความคิดมันง่ายกว่ารู้ทันอารมณ์ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่คุ้มกันใจไม่ให้ทุกข์ ไม่ให้อารมณ์เหล่านี้มาทำร้ายจิตใจเราได้​ แม้ว่าเราจะห้ามทุกข์ไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้ แต่เรารักษาใจไม่ให้ทุกข์ ทำได้ ถ้าเรามีปัญญา หรือว่ามีสติ   แต่ปัญญากับสติ ก็ต้องฝึกต้องสร้างเพราะว่าเป็นของใหม่ ถ้าใช้แต่ความคิด พอเกิดเหตุเข้า เอาไม่อยู่แล้ว ความคิด เหตุผล มันเป็นเรื่องสมอง มันต้องฝึกใจด้วย ฝึกใจให้มีปัญญา ฝึกใจให้มีสติ จึงจะเอาอยู่ได้​ เพราะฉะนั้น ให้เรามั่นใจว่า แม้จะห้ามทุกข์ไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้ แต่เราสามารถดูแลรักษาใจไม่ให้ทุกข์ได้
27 ก.ค. 68 - อย่าหลงสมมุติจนลืมความเป็นมนุษย์ : อันนี้ต้องระวัง เพราะยิ่งมีความโกรธเกลียดเท่าไหร่ มันก็ยิ่งมีความเป็นมนุษย์น้อยลง อย่างเบิ้ม ไม่มีน้ำใจกับเพื่อนเลย มีความเป็นมนุษย์น้อยมาก แต่จะไปว่าเขาก็ไม่ได้ เพราะว่าเขาถูกปลูกฝังความโกรธเกลียดจากผู้ใหญ่ โดยที่ผู้ใหญ่ก็ไปติดสมมุติไม่ต่างจากเด็กอย่างเบิ้ม หรือเก้าด้วยซ้ำ ตอนนี้ต้องระวังมาก มันมีการกระตุ้นให้เราโกรธเกลียดกัน เพียงเพราะว่าคนละเชื้อชาติ คนละภาษา เพียงเพราะว่าเกิดคนละฟากของพรมแดน เส้นเขตแดน เท่านั้นก็ทำให้กลายเป็นศัตรูกันได้​ ชาวพุทธเราต้องก้าวไปให้พ้นสมมุติพวกนี้ หรืออย่างน้อยก็รู้จักใช้สมมุติให้เป็นประโยชน์ ไม่ให้ยี่ห้อมันไปกลบความเป็นมนุษย์ ความเป็นเพื่อนของกันและกัน
26 ก.ค. 68 - ทุกข์เพราะความยึดมั่น : ความจริงเป็นเรื่องหนึ่ง ไม่สำคัญเท่ากับว่า เรารู้สึกอย่างไร ความรู้สึก หรือความสำคัญมั่นหมาย หรือจินตนาการนี่เอง ที่มันสามารถทำร้ายเราได้ แม้ว่าความจริงจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง​ เพราะฉะนั้น การที่เรามารู้ทันความคิดปรุงแต่งในใจเรานี่ สำคัญมาก แม้เราจะยังไม่เห็นถึงขั้นว่า ไม่มีเรา ไม่มีของเรา แต่อย่างน้อย ก็รู้ทันความคิดปรุงแต่งหรือจินตนาการที่เกิดขึ้น เพราะถ้าไปยึดมั่นถือมั่น เผลอไปหลงเชื่อมัน ความคิดหรือความเชื่อนั้น มันก็สามารถทำร้ายเราได้ ความจริงเป็นอย่างไรนั้นเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่เราจินตนาการ สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เรามโนนี่ อันนี้สำคัญกว่า มันสามารถจะสร้างความทุกข์ให้กับจิตใจเราได้ แต่ถ้าเรารู้ทันมัน รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา มันเป็นความคิดที่จินตนาการขึ้นมา แล้วเราก็ไม่หลงเชื่อมัน มันก็ไม่สามารถจะยัดเยียดความทุกข์ให้กับเรา ไม่ว่ากายหรือใจได้
25 ก.ค. 68 - ซ้ำเติมเพิ่มทุกข์เพราะความคาดหวัง : คนเราทุกวันนี้มีความทุกข์มากเพราะความคาดหวัง หรือพูดอีกอย่างก็คือว่า ความจริงมันไม่สอดคล้องกับความคาดหวัง หรือความคาดหวังมันไม่สอดคล้องกับความจริง คนเราทุกวันนี้มีเงินมีทอง มีความสะดวกสบาย อยากจะดูหนังฟังเพลงเมื่อไหร่ก็ได้ อยากจะซื้ออะไรก็มีได้กิน ไม่ต้องออกไปไหน สั่งไลน์สั่งแกร็บมา แต่มีความทุกข์ใจมาก ความทุกข์ใจยิ่งกว่าคนรุ่นก่อน ทำไมในเมื่อมีเงินเยอะ มีความสะดวกสบายมาก แต่มีความทุกข์ใจ ส่วนหนึ่งก็เพราะว่ามีความคาดหวังสูง ยิ่งมีเงินเยอะ ยิ่งมีความสะดวกสบายมาก ยิ่งเรียนสูง ยิ่งอ่านมากรู้มาก ความตั้งใจหรือความคาดหวังก็สูงขึ้นไปด้วย แล้วพอมันสูงเกินกว่าความจริง หรือความเป็นจริงที่ได้รับที่ประสบ ก็เลยเกิดความทุกข์
24 ก.ค. 68 - ฝึกใจให้เป็นนายความคิด : คนทุกวันนี้คิดเก่ง แต่ว่าวางความคิดไม่ได้ แล้วคิดเก่งจนกระทั่งไปหลงสำคัญผิดว่า เราใช้ความคิด แต่ที่จริงความคิดมันใช้เรา มันใช้เราให้คิดๆ ๆ จนไม่ได้หลับไม่ได้นอน จะนอนแล้วก็ยังคิด ในใจเราก็บอกขอนอนได้แล้ว หยุดคิดได้แล้ว มันบอกมันจะคิดต่อ ต้องคิด เป็นเรื่องสำคัญ เราเป็นพ่อเราก็ต้องห่วงลูก เราเป็นแม่ก็ต้องห่วงลูก เราเป็นเจ้านายก็ต้องคิดถึงเรื่องงานการ มันหาข้ออ้าง มันมีสาเหตุ มันมีข้ออ้างที่จะคิด แล้วเราก็หลงเชื่อมันก็เลยคิดไป สุดท้ายนอนไม่หลับ สุดท้ายมันก็ปั่นหัวเรา เราคิดว่าเราเป็นนายความคิด แต่ว่าความคิดนี่มันเป็นนายเรา มันปั่นหัวเรา ให้โกรธ ให้โมโห ให้เศร้า ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเราไม่รู้ทันความคิด ความคิดมีประโยชน์ แต่เราต้องรู้จักใช้มัน แต่จะใช้มันได้นี่ต้องรู้จักมัน เท่าทันมัน แล้วก็รู้จักทักท้วงมันด้วย ไม่หลงเชื่อมันทุกอย่าง   แต่การที่เราจะรู้ทันความคิดได้ ต้องทำเป็นขั้นตอน ขั้นตอนพื้นฐานคือให้มารู้กายก่อน กายเคลื่อนไหวก็รู้ ที่เรียกว่าเห็นกายเคลื่อนไหว ต่อไปพอรู้กายได้ดีต่อเนื่อง มันก็จะรู้ใจ อันนี้เรียกว่า เห็นกายเคลื่อนไหวรู้ใจคิดนึก เพราะฉะนั้นใหม่ๆ ก็อย่าเพิ่งไปสนใจที่จะไปรู้ทันความคิด แค่รู้กาย รู้สึกว่ากายเคลื่อนไหว เวลาเดิน เวลาสร้างจังหวะ เวลาทำกิจต่างๆ เอาเท่านี้ก่อน แล้วต่อไปมันก็จะเขยิบจากรู้กายเป็นรู้ใจ รู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ แล้วรู้จักวางได้
23 ก.ค. 68 - ใช้กายช่วยใจให้มีสติ : การปฏิบัติโดยอาศัยกายนี้สำคัญมาก นอกจากการที่เราอาศัยกายเป็นครูอย่างที่พูดเมื่อวานแล้ว กายยังมีประโยชน์ในการฝึกจิต ไม่ใช่มีประโยชน์แค่ในแง่ที่ว่าพาให้เราเคลื่อนไหวไปมา เดินกลับไปกลับมา ยกมือกลับไปกลับมาเท่านั้นแต่ยังมีประโยชน์อย่างอื่นได้อีกหลายอย่าง ซึ่งล้วนแต่เป็นไปเพื่อทำให้เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา เริ่มตั้งแต่การทำให้ใจมีที่ตั้ง มีบ้าน ไม่ระเหเร่ร่อน ทำให้ใจมีงานทำ แล้วก็ทำให้มีตัวบ่งชี้ว่า ตอนนี้เรารู้สึกตัวอยู่หรือเปล่า รู้กายเมื่อไหร่ก็แสดงว่ารู้สึกตัวเมื่อนั้นไม่ต้องไปคลำหาที่ไหน ความรู้กายจะบอกเรา ต่อไปความรู้กายจะช่วยทำให้ใจที่หลง ใจที่ลอย ใจที่ไหลเข้าไปในความคิด มันกลับมารู้สึกตัว รู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมา เป็นตัวช่วยที่สำคัญ   การปฏิบัติ การเจริญสติ สำหรับผู้มาใหม่ต้องอาศัยตัวช่วยเยอะ ตัวช่วยส่วนหนึ่งคือสถานที่ สถานที่ที่ไม่มีเสียงอึกทึก ไม่มีความวุ่นวาย แล้วก็ไม่มีสิ่งที่จะมาแย่งเวลาของเราจารการปฏิบัติ คือให้เราปฏิบัติได้เต็มที่ ไม่ต้องทำงาน มีเวลาให้การปฏิบัติ ไม่มีคนมาชวนคุย มีเวลาอยู่กับตัวเองมากๆ พวกนี้มันเป็นตัวช่วย แล้วตัวช่วยที่สำคัญก็คือกาย   กายที่เอามาใช้เป็นเครื่องฝึกจิต กายที่เอามาเป็นตัวบ่งชี้ว่า เราปฏิบัติได้ก้าวหน้าเพียงไหน แล้วยังเป็นตัวที่ช่วยเตือนสติ หรือสะกิดใจให้กลับมารู้เนื้อรู้ตัว พวกนี้ถ้าเราใช้เป็นมีประโยชน์มาก นี่ไม่ใช่แค่ทำตามรูปแบบ แต่มันมีความหมายของมัน​ ฉะนั้นเรื่องกายกับใจจึงเป็นเรื่องที่แยกจากกันไม่ออก การฝึกกาย การใช้กายเพื่อฝึกใจ ใช้ให้เป็น ใจเราก็จะเจริญเติบโต มีสติ มีความรู้สึกตัวได้ไว
22 ก.ค. 68 - ฝึกใจโดยเอากายเป็นครู : ใครที่ปฏิบัติด้วยความอยาก อยากให้มีสติไว ๆ อยากให้รู้ทันความคิดเร็ว ๆ จะยิ่งมีสติช้า เท่านั้นไม่พอ มีความเครียดด้วย หลายคนทำแล้วเครียด ไม่ใช่เพราะวิธีการผิด แต่เพราะวางใจผิด คือทำด้วยความอยาก อยากเอาชนะความหลง อยากมีสติ อยากได้ความสงบ ความอยากพวกนี้ ล้วนแต่เป็นอุปสรรคทั้งนั้น จะทำให้ได้ดีต้องทำแบบไม่มีความอยาก ทำเล่น ๆ เหมือนกับเวลาเราเล่นหมากฮอส เราเล่นหมากรุก เราเล่นไพ่ ถ้าเราไม่ได้อยากชนะ บางทีเราเล่นได้ดีแล้วก็เพลินด้วย ดังนั้นการปฏิบัติ หลักก็คือ อย่าทำด้วยความอยาก ทำเล่น ๆ อย่าเพิ่งเอาคุณภาพ เอาปริมาณไว้ก่อน   ทำใหม่ ๆ เอาปริมาณไว้ก่อน เอาปริมาณคือว่า ทำเยอะ ๆ ไว้ก่อน ถ้าเอาคุณภาพจะท้อ เพราะว่ามันหลงแทบจะทั้งวันเลย ทำไปหนึ่งพันครั้ง รู้สึกตัวแค่ครั้งสองครั้ง ถ้าเอาคุณภาพจะท้อมากเลย แต่ถ้าเอาปริมาณ มันไม่ท้อ มันก็ทำไปเรื่อย ๆ อันนี้เป็นหลัก เป็นเคล็ดลับในการปฏิบัติสำหรับผู้ใหม่ คือทำเล่น ๆ ทำโดยไม่อยาก วางความคาดหวังลง ไม่เอาคุณภาพ แต่เอาปริมาณไว้ก่อน
19 ก.ค. 68 - ใจเป็นมิตรเพราะชีวิตมีธรรม : คนที่เข้าใจเรื่องธรรมะนี้ เขาจะแม้จะรู้ว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย แต่ก็ดูแล แล้วก็ดูแลอย่างถูกต้อง คือไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่กระเทือนถึงใจ แม้ทรัพย์จะหาย แม้ร่างกายจะป่วย ทั้ง ๆ ที่ดูแลดีแล้ว แต่มันก็ป่วยแต่กาย เสียแต่ทรัพย์ แต่ใจไม่ป่วย ใจไม่เสีย นี่แหละธรรมะ สำคัญตรงนี้แหละ ทำให้เราสามารถจะรักตัวเองได้อย่างแท้จริง คือนอกจากไม่ไปหาเรื่องใส่ตัวแล้ว เวลาเจออะไรมากระทบก็ไม่ซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้ตัวเอง หรือแม้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ไม่มโน ไม่ปรุงแต่ง จนกระทั่งเกิดความเดือดเนื้อร้อนใจ​ ทั้งหมดนี้สรุปง่าย ๆ คือว่า ธรรมะทำให้เรามีใจเป็นมิตร มีจิตเป็นเพื่อน อย่างแท้จริง และแม้จะไม่มีใครเหลือเลย ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ทรงคุณค่ามาก คือการมีมิตรอยู่ในเรือนใจ
loading
Comments (2)

Sompop Keawsakdanurak

อนุโมทนาครับ 🙏

Jun 20th
Reply

Xallazin

ขออนุโมทนาค่ะ

Jul 20th
Reply