10 ก.ย. 68 - ทุกข์เบาบาง เมื่อวางใจถูก : เวลามีอะไรร้าย ๆ เกิดขึ้นกับเรา สิ่งสำคัญคือใจ ถ้าเราวางใจให้ดี มันก็จะไม่ซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทุกข์มันจะจางคลายลง ถ้าเราวางใจให้ถูก วางใจให้เป็น
9 ก.ย. 68 - ฝนสอนธรรม : เราจะตั้งมั่นที่จะเตรียมตัวให้พร้อม เหมือนกับถ้าไม่อยากให้ฝนตกมาเปียก เราก็สร้างบ้าน สร้างอาคาร มุงบังให้แน่นหนา ฝนตกแต่ตัวไม่เปียก ดังอุปมาอุปไมย หมายความว่า ถ้าเรามีเครื่องรักษาใจ อย่าว่าแต่ฝนเลย แม้ว่าเหตุร้ายต่าง ๆ ที่ใคร ๆ ไม่ประสงค์แม้เกิดขึ้น ก็ไม่ทำให้ใจทุกข์ได้ นี้คือความสำคัญหรือเหตุผลที่เราต้องมาฝึกจิตรักษาใจ เพราะว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตนี้ที่ควบคุมไม่ได้เลย และฝนก็เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น เพราะฉะนั้น จะว่าไปแล้ว ฝนเขาก็มาสอนธรรมให้กับเรา แทนที่เราจะบ่นว่าฝนตกทำไม ทำไมมาตกเวลานี้ เราก็มาถามตัวเราเองว่า ฝนสอนอะไรเรา ให้แง่คิดอะไรกับเราบ้าง
8 ก.ย. 68 - ชีวิตเปลี่ยนเพราะตั้งคำถามถูก : ความทุกข์เกิดจากความคาดหวังของเรา เป็นความคาดหวังที่ไม่สอดคล้องกับความจริง รถติดไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่การที่เราตั้งความหวังไม่ตรงกับความจริง นั่นก็หมายความว่า เหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ใจเรา ไม่ใช่เพราะรถติด รถติดแต่จิตไม่ตกก็ได้ ถ้าเราวางใจเป็น เช่นเดียวกัน เวลาใครมาส่งเสียงดัง หรือว่าโทรศัพท์มือถือไม่ปิด มีเสียงสัญญาณ มีเสียงเข้ามา เราก็รำคาญ อาจจะนึกในใจว่า ทำไมเขาไม่ปิดโทรศัพท์มือถือ ไม่รู้หรืออย่างไรว่าที่นี่เขาให้ปิดโทรศัพท์มือถือ ถ้าถามแบบนี้ มันทำให้เราหงุดหงิดง่าย แต่ถ้าเราถามใหม่ว่า ทำไมเราต้องหงุดหงิดกับเสียงโทรศัพท์ด้วย พอถามอย่างนี้ ก็ทำให้เรากลับมาดูตัวเองว่า เราหงุดหงิดเพราะอะไร แล้วเราก็จะพบคำตอบว่า เหตุแห่งทุกข์ หรือเหตุแห่งความหงุดหงิดอยู่ที่ใจเรา เพราะว่าถ้าเราวางใจถูก เสียงโทรศัพท์ดัง ใจเราไม่ทุกข์ก็ได้ เพราะมีสติ รู้ทัน เวลาจิตกระเพื่อม เมื่อมีเสียงกระทบหู ฉะนั้น การตั้งคำถามเวลาเจอเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจไม่ว่า รูป รส กลิ่น เสียง ที่มากระทบ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิต ถ้าเราตั้งคำถามถูกจะได้ประโยชน์ เป็นคำถามที่ชวนให้กลับมาใคร่ครวญตัวเอง เป็นคำถามที่ชวนให้กลับมาดูแลใจตัวเอง แต่ถ้าเราตั้งคำถามไม่ถูก ก็กลายเป็นการซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับจิตใจ ลองถามตัวเองว่า ที่เราทุกข์ทุกวันนี้ เป็นเพราะเราตั้งคำถามผิดหรือเปล่า ไม่ใช่เฉพาะในการดำเนินชีวิต แม้กระทั่งในเวลาทำงานด้วย
7 ก.ย. 68 - น้อมใจสู่วิถีธรรม : แม้ปัญหาบางอย่างต้องไปจัดการภายนอกด้วย แต่ก็ทำด้วยใจที่สงบ เรียกว่าทำกิจและทำจิตด้วย วิถีโลกเขาทำกิจอย่างเดียว จัดการกับสิ่งภายนอก ใครไม่ดีก็จัดการเอาออกไป หรือไม่ก็เล่นงาน แต่ว่าในทางวิถีธรรม เมื่อมีความไม่พอใจเกิดขึ้นในใจ เราก็จัดการที่ใจเรา เพราะปัญหาไม่ได้เกิดจากภายนอกย่างเดียว ปัญหาเกิดขึ้นจากใจของเราด้วย วิถีธรรมก็นำไปสู่การแก้ที่ใจ มีความไม่ถูกต้องเกิดขึ้น เห็นมันชัด ๆ แต่ว่าก็ไม่ลืมที่จะมาดูแลใจให้ถูกต้องเสียก่อน เพราะถ้าไม่ดูแลใจให้ถูกต้อง ปล่อยให้ใจไม่ถูกต้อง สิ่งที่ทำไป ก็จะนำไปสู่ปัญหา นี่คือวิถีธรรมที่เราต้องเข้าใจ ต่างจากวิถีโลกมาก แต่บางคน ที่จริงจะว่าไปก็เกิดขึ้นกับหลายคนมาก เวลามาปฏิบัติธรรมมาวัด แต่ว่าใจก็ยังคิดแบบโลก ๆ อยู่ อยากมั่งอยากมี อยากเด่นอยากดัง อยากให้คนชม หรือว่าเวลามีความทุกข์ใจเกิดขึ้น ก็คิดแต่จะจัดการกับสิ่งที่อยู่ภายนอก ไม่ได้มองว่าใจของเราก็เป็นปัญหาที่เราต้องจัดการเหมือนกัน ต้องเข้าใจความแตกต่างให้ดี ระหว่างวิถีโลกกับวิถีธรรม เพื่อที่ว่าเวลาเรามาวัด เราก็จะไม่เอาวิถีโลกมาใช้ในการแก้ปัญหา และมีความพยายามที่จะน้อมใจเข้าสู่วิถีธรรม เพราะนั่นคือสิ่งที่จะช่วยทำให้จิตใจเราเจริญงอกงาม ช่วยให้พบกับความสงบเย็นอย่างแท้จริง
6 ก.ย. 68 - ความรูสึกที่ควรมีให้มาก : เมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกตัวขึ้นมามันจะวาง เกิดความเบาขึ้นมา คนที่ท้อ คนที่เหนื่อยหน่าย หรือคนที่งัวเงีย อารมณ์พวกนี้จะหายไปเลย แล้วจะทำให้เราไม่ได้เป็นทาสของความรู้สึก ถ้าคนเราเป็นทาสของความรู้สึก โดยเฉพาะเป็นทาสสุขเวทนา ชีวิตก็มีแต่จะผิดศีลผิดธรรมได้ง่าย แต่ถ้าเรารู้สึกตัวเมื่อไหร่ ก็จะมั่นคงอยู่ในศีลมั่นคงอยู่ในธรรม และเจริญก้าวหน้าจนพบธรรมที่ลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้ความรู้สึกตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เรามาฝึกกันที่นี่ หลายคนถามว่าทำไมไม่เน้นเรื่องสมาธิ ไม่เน้นเรื่องความสงบ อันนั้นเป็นผลพลอยได้ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมีความรู้สึกตัว แต่ถ้าเอาความสงบเป็นหลักก็อาจจะเกิดความสงบประเภทที่จมอยู่ในความหลงก็ได้ หรือมีสมาธิแต่ไม่มีสติ แต่ถ้ามีสติเมื่อไหร่การเกิดสมาธิก็ไม่ใช่เรื่องยาก และสติเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้เกิดความรู้สึกตัว และทำให้ใจนี่พบกับความสงบ ความโปร่ง ความเบาได้ เพราะว่าวางสิ่งที่ทำให้จิตใจว้าวุ่น ฉะนั้นมาเรียนรู้เรื่องความรู้สึกตัว ทำความเข้าใจความรู้สึกตัวให้ดีๆ
5 ก.ย. 68 - อย่าให้ความอยากเอาชนะครองใจเรา : เรื่องนิสัยหรือว่าความอยากเอาชนะ มันเป็นเรื่องที่น่ากลัว ข้อดีมันก็มี แต่เราต้องระวัง เพราะถ้าเราไม่รู้เท่าทันมัน อย่างน้อย ๆ มันก็ทำให้เราเสียเวล่ำเวลาไปกับการเล่นเกม เล่นการพนัน เป็นบ้าเป็นหลังกับการเอาชนะคู่แข่ง คู่ต่อสู้ ความต้องการเอาชนะ ถ้าเรารู้จักควบคุมมันให้พอดี มันก็มีประโยชน์ เจออุปสรรคก็ไม่ยอมแพ้ จะสู้ แต่ถ้าเราควบคุมไม่ดี มันทำให้เกิดอุปสรรคทั้งการปฏิบัติและในความสัมพันธ์กับผู้อื่น มันก็เป็นตัวเดียวกับความต้องการอวดว่า กูเก่ง กูแน่ มีอะไรก็อยากจะอวด อยากจะโชว์ แต่ถ้าเจอคู่แข่ง ก็ต้องการเอาชนะ ยอมไม่ได้ เวลามีการโต้เถียงกันก็ไม่ยอมแพ้ เอาชนะให้ได้ เสร็จแล้วก็ถึงขั้นเลิก พ่อแม่ตัดลูก ผัวกับเมียทะเลาะกัน ก็เลิกรากัน เพราะว่าความต้องการเอาชนะ มันก็นำไปสู่ความบาดหมางกันในที่สุด ฉะนั้น คุมมันให้ดี รู้ทันมันให้ได้ ไม่งั้นมันพาชีวิตจิตใจของเรานี้จมดิ่งไปสู่ความทุกข์เลย
4 ก.ย. 68 - เลือกไม่ถูก ชีวิตทุกข์ยาก : คนเราถ้าไม่มีสติ มันก็จะเลือกไปในทางต่ำ หรือเลือกไปข้างความสุขอย่างหยาบๆ ได้ แม้กระทั่งสิ่งที่ทำความทุกข์ให้กับเรา เราก็เลือกที่จะไปจดจ่อมัน ทั้งๆ ที่อีกทางหนึ่งมันให้ความสุขกับเรามากกว่า การที่มีสติสำคัญมาก ช่วยทำให้เราเลือกในสิ่งที่ถูก สิ่งที่เป็นคุณกับเรา ผู้ใฝ่ธรรมจะต้องมีโจทย์ให้ต้องเลือกอยู่เสมอ เรียกว่าทุกวันก็ว่าได้ โดยเฉพาะเมื่อต้องเจอกับความทุกข์ เช่น เจ็บป่วย เจ็บป่วยนี่จะเลือกเอาจมอยู่กับความทุกข์ ทุกขเวทนา เป็นผู้ทุกข์ หรือเลือกที่จะเห็นความทุกข์ ส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะเป็นผู้ทุกข์ แทนที่จะเห็นความทุกข์ ถ้าเราเลือกที่จะเห็นความทุกข์ มันก็ทุกข์แต่กาย ใจไม่ทุกข์ แต่พอไปเลือกเป็นผู้ทุกข์ เป็นผู้ป่วย มันป่วยทั้งกายป่วยทั้งใจเลย เพราะฉะนั้นต้องเลือกให้ถูก เลือกไม่ถูกนี่โดนความทุกข์มันกินไปเลย
3 ก.ย. 68 - มองตนจนพ้นอำนาจของกิเลส : ถึงเวลามีสิ่งล่อเร้าเย้ายวน หรือมีสิ่งยั่วยุ เราจะไม่เผลอตกอยู่ในอำนาจของมัน ทำสิ่งที่ต้องเสียใจในภายหลัง หรือทำสิ่งที่ต้องสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ฉะนั้นการเห็นนี่สำคัญ เห็น รู้ทัน ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อต้องหมั่นมองตนบ่อยๆ มองตนจนเป็นนิสัย จนกระทั่งมันมีเสียงเตือนเวลาใจกระเพื่อม ไม่ใช่ว่าต้องมองจิตอยู่ตลอดเวลา เราอาจจะทำงานทำการต่าง ๆ แต่พอใจมันสั่นไหว ใจมันกระเพื่อม ก็รู้เลย เหมือนกับแมงมุม เวลามีเหยื่อมาติดใยมัน มันรู้เลย เพราะใยมันสะเทือน ไม่ใช่ว่ามันต้องคอยจ้องใย มันไม่จ้องใยนะ มันก็ทำอะไรของมันไปเรื่อย ๆ แต่พอมีเหยื่อมาติดที่ใยของมัน มันจะรู้เอง เพราะมีแรงสั่นสะเทือน ใจเราก็เหมือนกัน ถ้าใจเรามีกิเลส มีอารมณ์เกิดขึ้น มันจะกระเพื่อมขึ้นมาเลย และเราก็จะรู้ ตัวที่ทำให้รู้กระเพื่อมก็คือสตินั่นแหละ เหมือนกับเป็นสัญญาณเตือน ต้องรู้จัก แล้วก็ทำให้สติชนิดนี้เกิดขึ้นในใจเรา
2 ก.ย. 68 - รู้ทันเหตุผลของกิเลส : อย่าลืมว่าพอเมื่อเรามีธรรมะ เมื่อเรารู้ธรรมะเยอะ กิเลสมันก็รู้ธรรมะด้วย คนจบปริญญาเอก กิเลสมันก็จบปริญญาเอกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นกิเลสมันก็สามารถจะหลอกพวกปริญญาเอกได้ด้วยเหตุผลที่สวยหรู คนรู้ธรรมะก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเรารู้คนเดียว กิเลสมันก็รู้ด้วย แล้วมันก็จะเอาธรรมะนี้มาหลอกเรา อ้างธรรมะสวยหรู เพื่อที่จะหลอกให้เราทำตาม เพราะฉะนั้นคนมีธรรมะรู้ธรรมะ ไม่ได้เป็นหลักประกันเลยว่าจะรอดพ้นอำนาจของกิเลส หรือบ่วงมารได้ มันต้องมีสติ มันต้องมีปัญญา ต้องมีธรรมะที่เป็นกุศลคอยหน่วงเหนี่ยวจิตใจ หรือทักท้วงความคิด ทักท้วงเหตุผล เพราะไปเชื่อเหตุผลทุกอย่างไม่ได้ คนที่ทำชั่ว มีกิ๊ก มีเมียน้อย พวกนี้มีเหตุผลทั้งนั้นแหละ แต่เหตุผลมันไม่ใช่เหตุผลที่จะพาเราไปสู่ความเจริญงอกงามได้ หรือพาเราไปสู่ทางที่สูง มันมีแต่ฉุดเราไปสู่ทางที่ต่ำ ต้องมีสติรู้ทัน ทักท้วงความคิด ไม่หลงเชื่อมัน นอกเหนือจากการที่รู้จักเฝ้าดูอยู่ห่างๆ อยู่เฉยๆ ดูอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น ต้องฝึกเอาไว้นะ ฝึกการดูอารมณ์ที่เกิดขึ้น ดูความคิดที่เกิดขึ้น โดยที่ไม่ไปหลงใหล หลงเชื่อมัน เรียกว่ารู้ซื่อๆ รู้เฉยๆ รวมทั้งรู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ ไม่ว่ามันจะมีเหตุผลสวยหรูอย่างไร ก็เท่าทันมันเสมอ
1 ก.ย. 68 - มองจากมุมของคนอื่นบ้าง : การที่คนเรารู้จักมองเหตุการณ์จากมุมของคนอื่นบ้าง มันช่วยได้เยอะ ช่วยบรรเทาความโกรธ ความเกลียด ไม่ว่าเกลียดคนอื่นหรือเกลียดตัวเอง มนุษย์เรามีความสามารถในการที่จะมองจากมุมของคนอื่นได้ แต่บ่อยครั้งพอเราจากมุมของตัว เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง มันก็เลยทำให้เราไม่สามารถจะเข้าใจคนอื่นได้ แล้วพอไม่เข้าใจก็เลยเกิดความโกรธ ความเกลียด บางทีก็ไม่ได้โกรธเกลียดใคร โกรธเกลียดตัวเอง เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่เรารักเขาทำกับเราอย่างนั้น คนเราถ้ามันจมอยู่กับมุมมองความคิดของตัวเอง หรือจมอยู่กับอารมณ์ มันก็ไม่สามารถจะเห็นมุมมองของคนอื่นได้ แล้วพอเราไม่เห็นมุมมองของคนอื่นเราก็ไม่เข้าใจเขา ก็ทำให้เกิดความโกรธความเกลียดขึ้นมา คือความไม่เข้าใจ ที่จริงถ้าหากว่าคนเรามีสติ มันก็จะช่วยทำให้ใจเรามันไม่ถูกครอบด้วยอารมณ์
31 ส.ค. 68 - เจออะไรอย่าลืมดูใจตน : ธรรมะนี่มันอยู่ตรงนี้ อยู่ที่ว่า เมื่อเราเจออะไรกระทบแล้ว เรารักษาใจของเราได้มากแค่ไหน เราสามารถจะจัดการกับอารมณ์ใฝ่ต่ำได้ดีเพียงใด อย่างที่มาเดียเขาบอก แล้วที่สำคัญคือ เขายังมีความเมตตากับคนที่ทำร้ายเขา ยังกลัวว่าเขาจะไม่มีที่ยืนในสังคม นี่เป็นแบบอย่างที่ดีมาก ที่แม้กระทั่งนักปฏิบัติธรรมก็ต้องเรียนรู้ แล้วก็ฝึกจากเหตุการณ์แบบนี้
30 ส.ค. 68 - ถอนใจออกจากความหลงในตัวกู : เบื้องหลังความอยากก็คือ ความสำคัญหมายในตัวกู อยากพูด อยากแสดงความคิดเพื่อให้คนชมว่า กูเก่ง กูเก่ง ในเบื้องหลังความอยาก ที่อยากจะพูด อยากจะแสดงความคิดเห็นก็คือ ตัวกู หรือความสำคัญหมายในตัวกู ความยึดมั่นในตัวกู ซึ่งจะว่าไปก็คือ มานะ ก็เป็นกิเลสชนิดหนึ่ง ฉะนั้นการปฏิบัติ เริ่มต้นด้วยการรู้กาย เห็นกาย ต่อไปก็จะเห็นใจ เห็นความคิด ต่อไปก็จะเห็นแรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังความคิดและอารมณ์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นกิเลส โลภะบ้าง โทสะบ้าง ต่อไปก็จะเห็นลึก ว่าเบื้องหลังโลภะ โทสะ ก็คือความยึดมั่นในตัวกู หรือมานะ ฉะนั้น ถ้าเห็นแบบนี้ มันก็จะเริ่มรู้เท่าทันแล้ว รู้เท่าทันตัวกู หรือความยึดมั่นในตัวกู ไม่ปล่อยให้มันมาครองใจ แต่ก่อนไม่รู้ทัน มันก็เลยมาครองใจ เหมือนกับเราไม่รู้ทัน ไปปรุงแต่งว่ามีผี พอไปเชื่อว่ามีผีเข้า ก็ทำให้นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ทั้งที่ไม่มีอะไรเลยข้างนอก การปรุงแต่ง การจินตนาการ ก็ทำให้มีผลต่อจิตใจและร่างกายของเราได้ แต่พอเรามีสติรู้ทัน ความปรุงแต่งหายไป จิตใจก็โปร่งโล่ง ให้ปฏิบัติแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วเดี๋ยวมันก็จะเห็นเอง จนกระทั่งเห็นความจริงที่ลึกไปกว่านั้น ก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
29 ส.ค. 68 - อดกลั้นได้ใจงอกงาม : แต่ว่าการอั้นความคิดอารมณ์กับการอั้นอุจจาระปัสสาวะนี่ มันต่างกันอย่างหนึ่ง ที่สำคัญก็คือว่า เวลาอั้นอุจจาระปัสสาวะมันต้องระบายออกมา ต้องระบายเร็ว ๆ ด้วย แต่ว่าอั้นความคิด อั้นอารมณ์ แม้บางครั้งใหม่ ๆ มันรู้สึกเหมือนอกจะแตกแต่ว่าถ้าเรามีสติเห็นมัน ดูมัน มันก็จะค่อย ๆ คลี่คลายไปได้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะต้องระบายเหมือนกับระบายปัสสาวะอุจจาระในยามที่ต้องอั้นนาน ๆ อุจจาระปัสสาวะนี่มันต้องระบาย แต่ว่าความคิดอารมณ์แม้ในภาวะแรก ๆ รู้สึกว่าต้องอั้น ต้องใช้ความอดกลั้น แต่พอเวลาผ่านไป มันค่อย ๆ หายไป ค่อย ๆ คลี่คลาย ละลายหายไป หรือยิ่งถ้าเกิดว่าเรามีท่าทีที่ถูกต้องกับมัน เราก็ดูมันเฉย ๆ มันจะหายไปเอง อาจจะไม่ต้องระบายเลยก็ได้ แต่คนใหม่ ๆ ก็ต้องระบาย คนที่ไม่ได้ฝึกมาก็ต้องระบาย แต่ถ้าระบายเป็นอาจิณ ไม่รู้จักอดกลั้นเสียบ้าง มันก็มีผลเสียต่อตัวเราเองอย่างที่ว่ามา ฉะนั้นการรู้จักอดกลั้นมันเป็นเรื่องสำคัญมากแต่ต้องอดกลั้นให้ถูก ใหม่ ๆ ก็ต้องใช้ขันติ อดกลั้นเอาไว้ โกรธแล้วไม่พูด เพราะรู้ว่าถ้าพูดไปแล้วมันจะเกิดความเสียหายตามมา อยากจะนินทาว่าร้ายใครแต่ก็ไม่พูด เพราะรู้ว่าถ้านินทาไปแล้ว เดี๋ยวเกิดปัญหาตามมาเมื่ออีกฝ่ายก็ได้ยิน เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน เราก็ไม่พูด แน่นอนว่าใหม่ ๆ มันก็ต้องใช้ความอดกลั้นมาก อาจจะรู้สึกเหมือนกับอกจะแตก แต่พอเราทำไปนาน ๆ ไม่ใช่แค่ฝึกขันติอย่างเดียวแต่ว่าเราฝึกสติไปด้วย เราจะเห็นความคิดเห็นอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น เห็นแล้วจะเรียกว่าปล่อยหรือวาง มันจะเกิดสิ่งที่หลวงพ่อเรียกว่า มันจะเกิดความราบเรียบขึ้นมา สติเหมือนกับตัวไถให้ราบเรียบ สิ่งที่เคยอัดแน่นอยู่ในใจมันก็ค่อย ๆ คลี่คลายหายไป ก็โปร่งโล่ง และนี่เป็นวิธีที่เราต้องฝึกเหมือนกัน ความรู้จักอดทนรอคอย และอดกลั้นต่อความอยาก ไม่ว่าจะเป็นความอยากชนิดใดก็ตาม อยากรู้อยากเห็น อยากได้คำตอบ อยากเสพ อยากบริโภค อยากพูด อยากบ่น อยากโวยวาย อันนี้มันเป็นเรื่องที่เราต้องฝึก เพราะถ้าหากว่าคนเรามีความคิดอยากจะพูดก็พูด มีความคิดอยากจะโวยวายก็โวยวาย อยากจะได้อะไรก็ไปหาสิ่งนั้นมาสนองความอยาก เราจะไม่มีความเจริญเติบโตงอกงามภายในเลย สุดท้ายเราก็พ่ายแพ้ต่อกิเลสได้ง่าย และคนเราถ้าหากว่าพ่ายแพ้ต่อกิเลสแล้ว มันก็มีแต่ความทุกข์สถานเดียว
28 ส.ค. 68 - เปิดลิ้นชักใจให้เป็น : คนที่ทำงาน แค่งานเช้า งานบ่ายวันนี้ ก็เยอะอยู่แล้ว ยังต้องไปนึกถึงงานเช้าบ่ายของวันพรุ่งนี้ มีตั้ง 10 ชิ้น ถ้าเรานึกถึงงานทั้ง 10 ชิ้น มันก็เหมือนกับเปิดทั้ง 10 ลิ้นชัก ใจมันห่อเหี่ยวเลย แม้ว่าเราจะมี 40 ลิ้นชัก 40 เรื่องที่ต้องครุ่นคิด แต่ถ้าเราเปิดทีละลิ้นชัก เสร็จลิ้นชักนี้ก็เปิดลิ้นชักนั้น เสร็จลิ้นชักนี้ก็ปิด เปิดลิ้นชักใหม่ อะไร ๆ มันก็จะง่ายขึ้น นี่ก็เป็นเรื่องการฝึกใจให้อยู่กับปัจจุบัน แล้วถ้าเราทำอย่างนี้เป็นนิสัย ถึงเวลานอน นอน ถึงเวลากิน กิน เรื่องอื่นวางไว้ก่อน ถึงเวลาอาบน้ำ ใจราก็อยู่กับการอาบน้ำ ถึงเวลาฟังธรรม ใจก็อยู่กับการฟังธรรม ถึงเวลาสวดมนต์ ใจก็อยู่กับการสวดมนต์ ชีวิตมันจะเป็นระเบียบ แล้วมันจะโปร่งโล่งเบาสบาย การซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง ด้วยการคิดหลาย ๆ เรื่องพร้อมกัน ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลาจะคิด ไม่ใช่เวลาจะขบแก้ปัญหา มันก็จะเกิดขึ้นน้อยลง เดี๋ยวนี้เราคิดแต่จะทำบ้านให้เป็นระเบียบ แต่เราไม่สนใจที่จะทำใจเราให้เป็นระเบียบ การฝึกสตินี่มันช่วยทำให้ใจเป็นระเบียบมากขึ้น ยังไม่ต้องพูดถึงการพ้นทุกข์ ยังไม่ต้องพูดถึงการที่เข้าถึงโลกุตรธรรม แค่เรื่องที่เป็นโลกิยธรรมพื้น ๆ เช่น เรื่องงานเรื่องการ เรื่องการใช้ชีวิต ถ้าเรารู้จักทำอะไรทีละอย่าง คิดทีละเรื่อง เปิดทีละลิ้นชัก ชีวิตมันจะเบา มันจะสบายกว่าเดิมมาก บ่อยครั้ง ความวุ่นวาย ความเครียด มันเกิดจากใจของเราเอง ไม่ใช่เพราะเรามีงานเยอะ ไม่ใช่เพราะเรามีภาระมาก แต่เป็นเพราะเราจัดการกับสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไม่เป็นต่างหาก
27 ส.ค. 68 - มองเขาแล้วกลับมามองตน : แต่ว่าเราก็ต้องเผื่อใจไว้ด้วยว่า สิ่งที่ราได้ยิน สิ่งที่เรา รับรู้มา มันอาจจะไม่ใช่ความจริง เผื่อใจไว้ว่าความจริงอาจจะไม่เป็นไปอย่างที่เราได้รับรู้มาก็ได้ พูดอย่างนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า ให้เราระแวงทุกอย่างที่เราได้ยิน เพียงแต่ให้ระวังเอาไว้ว่า สิ่งที่ได้ยินมา สิ่งที่เห็น สิ่งที่ปรากฏกับสายตาของเรา อาจจะไม่ใช่ความจริง 100% เผื่อใจไว้บ้าง เผื่อใจสำหรับความผิดหวัง อันนี้เรียกว่าระวัง แต่อย่าถึงกับระแวง เพราะถ้าระแวง มันก็จะเรียกว่า ไม่เชื่ออะไรเลย ตั้งคำถามกับทุกอย่าง ซึ่งมันก็เกินไป ระวังดีแล้ว แต่อย่าระแวง แล้วที่สำคัญคือ ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร ตัวบุคคลที่เราได้ยินมา ได้เห็นมา เป็นข่าวปรากฏ จะย่ำแย่อย่างไร สิ่งสำคัญคือต้องกลับมาดูตัวเรา อย่าไปมองแต่คนอื่น อย่าไปตัดสิน วิพากษ์วิจารณ์ ทำไมเขาแย่แบบนี้ ทำไมเขาหลอกเราแบบนี้ ต้องกลับมาถามตัวเองว่า แล้วทำอย่างไรเราจึงจะไม่เป็นอย่างเขา นี่คือคำถามที่หลายคนมองข้ามไป ไม่ได้กลับมาดูตัวเองเลยว่า เราจะดูแลรักษาตัวอย่างไรไม่ให้เป็นอย่างเขา ต้องเอาคนที่เขาพลาดพลั้งมาเป็นครูสอนเรา แล้วคนเหล่านี้ก็เป็นครูให้กับเราได้ว่า ทำอย่างไรเราจะไม่เป็นอย่างเขา หรือไม่ไปเดินตามเขา เพราะถ้าเมื่อไหร่เราไม่ระวัง เราอาจจะแย่กว่าเขาก็ได้ ถ้าเรามีโอกาส ที่เราไม่แย่อย่างเขา เพราะเรายังไม่มีโอกาส อาจจะยังไม่มีเงินมีทองมาก ยังไม่มีฐานะ ตำแหน่งสูงเหมือนเขา ยังไม่ได้สมณศักดิ์เหมือนเขา อันนี้ก็รวมไปถึงเวลาเราได้ข่าวคราวเกี่ยวกับนักการเมือง ข้าราชการชั้นสูงที่ทุจริตคอร์รัปชัน ก่อนที่เราจะไปวิจารณ์หรือประณามเขา ต้องกลับมาถามตัวเองว่า ถ้าเราเป็นอย่างเขา เราจะดูแลตัวเองให้บริสุทธิ์ผุดผ่องได้อย่างไร หรือว่าให้อยู่ในศีลในธรรมได้อย่างไร อยู่ในความถูกต้องได้อย่างไร เพราะถ้าเราอยู่ในฐานะเดียวกับเขา เราก็อาจจะเป็นอย่างเขา หรือแย่ยิ่งกว่าเขาก็ได้ แต่ที่เรายังไม่เป็นอย่างนั้น เพราะเรายังไม่มีโอกาส เราแค่ไม่มีโอกาสเท่านั้นแหละ ถ้ามีโอกาสแบบเขา อยู่ในสถานะเดียวกับเขา เราก็อาจจะไม่ได้ต่างจากเขาเท่าไหร่ก็ได้ อันนี้คือสิ่งที่ต้องระวัง
26 ส.ค. 68 - ป่วยกาย แต่ใจไม่ทุกข์ : แล้วถ้าเห็นด้วยความรู้สึกตัว มันก็จะค่อย ๆ ราบเรียบหายไป เวลาป่วยแล้ว ปรากฏว่าป่วยทั้งกายทุกข์ทั้งใจ ถ้ายอมรับได้ว่า เรายังปฏิบัติมาไม่มากพอ ยังมีความหงุดหงิดหัวเสีย ยังมีความทุรนทุรายในใจ เห็นความทุรนทุรายนั้นด้วยใจที่เป็นกลาง มันก็จะไม่มีธนูดอกที่ 3 เข้ามาทิ่มแทง แล้วถ้าเกิดว่าดูไปเรื่อย ๆ สุดท้าย ธนูดอกที่ 2 ก็จะหลุด ก็จะมีแต่ธนูดอกแรก แต่ถึงแม้ธนูดอกที่ 2 ยังอยู่ก็ยอมรับมันด้วยใจที่เป็นกลาง อย่างน้อยก็ทำให้ไม่ต้องเจอธนูดอกที่ 3 มาทิ่มแทง การปฏิบัติธรรมนี้ แม้เราจะรู้ว่า การตายอย่างสงบเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ แม้เราจะรู้ว่าความทุกข์ทรมานในยามเจ็บป่วย เกิดขึ้นได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์ แต่ถ้าเกิดว่าเราทำตรงนั้นไม่ได้ ไปไม่ถึง ก็ยอมรับได้ ไม่โวยวาย ไม่ตีโพยตีพาย ไม่ซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้ตัวเอง
25 ส.ค. 68 - ความไม่รู้ที่ควรรู้ : เราก็ต้องรู้จักแยกแยะให้ได้ว่า อะไรที่ควรรู้ อะไรที่ไม่ควรรู้ แล้วก็ไม่ควรเสียใจว่าเราไม่รู้อะไรเลย หรือไม่รู้อะไรมากมาย หรือกระหยิ่มยิ้มย่องว่าฉันรู้เยอะ มันไม่มีประโยชน์ถ้าสิ่งที่เรารู้นั้นมันเป็นขยะ ไม่มีประโยชน์ แล้วที่จริง อันนี้ก็คือวิสัยของบัณฑิต ปราชญ์ที่แท้ไม่ใช่เขารู้ทุกเรื่อง ไม่ใช่เขารู้มากมาย ปราชญ์ที่แท้คือคนที่รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไร ซึ่งอันนี้ต่างจากเจ้าหญิง เจ้าหญิงนั้นไม่รู้ว่า ตัวเองไม่รู้อะไร แต่ปราชญ์ที่แท้เขา รู้ว่าเขาไม่รู้อะไร แล้วยิ่งรู้เยอะ เขาก็จะรู้ว่า โอ้โห สิ่งที่เขาไม่รู้นี้มีเยอะมาก ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ ก็พบว่าความรู้ที่ตัวเองมีมันแค่ 10% หรือไม่ถึง 10% แล้วอีก 90% หรือ 99% คือ ตัวเองไม่รู้ พรมแดนแห่งความไม่รู้นี้ มันจะกว้างใหญ่ไพศาลมากสำหรับคนที่มีความรู้มาก พูดง่าย ๆ คือ ยิ่งรู้เยอะ ก็ยิ่งรู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรมาก อย่างที่นักปราชญ์แห่งเต๋า เล่าจื๊อ บอกว่า ผู้รู้ไม่พูด ผู้พูดไม่รู้ ผู้รู้ไม่พูด เพราะรู้ว่าตัวเองนี้ไม่รู้อะไรมากมาย ก็เลยรู้ว่าตัวเองไม่ได้เก่งกล้าสามารถอะไร ความไม่รู้ทำให้ตัวเองถ่อมตัว จึงไม่อยากโอ้อวด ไม่อยากสอน ส่วนคนที่ไม่รู้ก็คิดว่าตัวเองรู้เยอะแล้ว ก็เลยอยากจะพูด อยากจะสอน ดังภาษิตโคลงโลกนิติว่า รู้น้อยว่ามากรู้ เริงใจ กลกบเกิดอยู่ใน สระจ้อย ไป่เห็นชเลไกล กลางสมุทร ชมว่าน้ำบ่อน้อย มากล้ำลึกเหลือ กบนี่มันรู้น้อย แต่มันคิดว่ามันรู้มาก เห็นบ่อน้ำ ก็นึกว่าเป็นทะเลกว้างใหญ่ เพราะมันไม่เคยเห็นทะเล ถ้ามันเคยเห็นทะเล มันจะรู้ว่าบ่อที่มันอยู่นี้ เล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับทะเล แต่เพราะมันคิดว่ามันรู้มาก ฉะนั้นที่เล่าจื๊อพูดถูกแล้ว ผู้รู้ไม่พูด ผู้พูดไม่รู้ จะว่าไปแล้วคำตอบที่ตอบยากที่สุด คือคำตอบว่าไม่รู้ หลายคนจะพบว่าตอบคำว่าไม่รู้ นี่ยากมาก โดยเฉพาะครู หมอ พระ นักวิชาการ จะตอบยากมากหรือไม่ตอบเลยว่าไม่รู้ เพราะถ้าตอบแล้วเดี๋ยวคนเขาจะหาว่าเราไม่มีความรู้มากพอ เจ้าหญิงนิ่งอึ้งแทนที่จะตอบว่าไม่รู้ ก็เพราะกลัวว่าตอบไปแล้ว จะเสียภาพลักษณ์ความฉลาด
24 ส.ค. 68 - ธรรมนำใจให้พ้นทุกข์ : เมื่อไม่ยึดติดถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ ไม่ยึดว่ามันเที่ยง ไม่ยึดว่ามันเป็นสุข ไม่ยึดว่ามันเป็นของเรา ครั้นมันเสื่อมสลายหายไป ไม่เป็นดั่งใจ ก็ไม่ทุกข์ เพราะทุกข์เกิดขึ้น เนื่องจากมีความยึดติดถือมั่น พอมันไม่เป็นไปอย่างที่ยึดอย่างที่อยาก ก็เลยทุกข์ มันทุกข์เพราะความยึดความอยาก แต่พอไม่มีความยึดไม่มีความอยาก เพราะเห็นความจริงว่าไม่มีอะไรที่ยึดติดถือมั่นได้ ความทุกข์ใจก็ไม่เกิดขึ้น ความสูญเสียยังมีอยู่ แต่ความทุกข์ใจไม่มีแล้ว อันนี้ก็คือสิ่งที่เราจะประสบได้ ถ้าหากเราตระหนักว่า ความทุกข์ใจนี่มันไม่ใช่เพราะสิ่งอื่น เหตุแห่งทุกข์มันอยู่ที่ใจเราแล้วถ้าเราดูแลรักษาใจให้ดี หรือฝึกใจให้ดี จนกระทั่งเหตุแห่งทุกข์มันตั้งอยู่ไม่ได้ ความทุกข์ก็ไม่อาจเกิดขึ้นกับจิตใจของเราได้ อาจจะเกิดขึ้นกับกาย เกิดขึ้นกับทรัพย์ เกิดขึ้นกับคนที่เราเกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่ทำให้ใจเป็นทุกข์ได้
23 ส.ค. 68 - เห็นนอกเห็นใน ใจปกติ : ถ้าเรากลับไปที่บ้าน เวลาทำอะไร ขณะที่ใช้ตา ใช้หู ขณะที่กำลังเคี้ยว ขณะที่กำลังขับรถ ขณะที่กำลังเดิน อย่าเห็นแต่ข้างนอก ให้เห็นข้างใน เห็นใจ เห็นอารมณ์ เห็นความคิดที่เกิดขึ้น ซึ่งอันนี้เป็นงานของสติ เพราะสติเปรียบเหมือนตาใน แล้วก็อย่าไปเผลอ ขณะที่เราดูกายหนึ่งดูใจ ก็อย่าไปจ้อง ไปเพ่ง หรือบังคับจิต เพื่อจะไม่ให้มันไปไหน เพราะถ้าทำเช่นนั้น เราก็จะเห็นแต่ข้างใน แต่ไม่เห็นภายนอก บางคนทำผิด ๆ ถูก ๆ แต่งตัวลืมรูดซิป เพราะว่าขณะที่ใส่เสื้อ ใส่กางเกง ก็เอาแต่เพ่งดูข้างในใจว่าจิตมันกระเพื่อม จิตมันคิดอะไรไหม จนกระทั่งลืมไปว่าไม่ได้รูดซิป อันนี้เรียกว่าเป็นเพราะการเพ่ง เพ่งเข้าใน จนกระทั่งไม่รับรู้สิ่งที่กำลังเกี่ยวข้อง สิ่งนอกตัวที่กำลังเกี่ยวข้องอยู่ ก็เลยทำผิด ๆ ถูก ๆ ถ้าเรา รู้นอกหนึ่งรู้ใน ทำเป็นประจำสม่ำเสมอ สติเราก็จะโตไว เวลามีความคิดที่ไม่ได้รับเชิญเกิดขึ้น ความลักคิดเกิดขึ้น โผล่มาตอนกลางคืนขณะที่กำลังเคลิ้มหลับ เห็นมันก็ไม่ไหลไปตามมัน มันมาแล้วก็ไป ไม่ได้ทำให้เราพัวพันกับมันจนตื่น จนนอนไม่หลับ พอมันมาแล้วก็ไป เราก็หลับได้ในที่สุด ไม่ใช่ว่าไม่มีความคิดเลย มันมี เหมือนกับมีแขกแปลกหน้ามาเรียกแต่ทำอะไรเราไม่ได้ เพราะว่าเรามีสติเป็นเครื่องรักษาใจ
23 ส.ค. 68 - เห็นให้เป็น ก็ไม่เป็นทุกข์ : คำว่า “เห็น” มันมีความสำคัญมาก เห็นข้างใน ไม่ว่าจะเป็นความคิดอารมณ์ โดยเฉพาะตัวทุกข์ อารมณ์ทุกข์ที่เกิดขึ้น เห็นแล้วไม่ยึด เห็นแล้วไม่ผลักไส ไม่กดข่ม ใจก็จะพ้นทุกข์ได้ เห็นข้างนอกก็เช่นกัน ผู้คน สิ่งของ เห็นว่ามันเป็นตัวทุกข์ แม้มันจะทำความพอใจให้กับเรา แต่มันก็เป็นตัวทุกข์ที่ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ ถ้าเราเห็นอย่างนั้นก็จะพ้นทุกข์ได้ เห็นข้างในด้วยสติ ทีแรกก็เห็นข้างนอกด้วยปัญญา ก็ช่วยทำให้เราพ้นทุกข์ได้ในที่สุด ฉะนั้นเราที่เป็นลูกศิษย์ของท่าน ก็อย่าคิดแต่ว่าได้ใกล้ท่านแล้วใจจะสงบเย็น เพราะนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว แต่ถ้าเรามีสติ มีความรู้สึกตัว มีความสามารถในการเห็น เห็นโดยไม่เข้าไปเป็น แล้วก็เห็นทั้งข้างนอกและข้างใน รวมทั้งเห็นทุกข์ที่มันปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ทุกข์ในใจ แล้วก็ตัวทุกข์ข้างนอก เราก็จะพ้นทุกข์ได้ในที่สุด ก็ขอให้เราได้นำคำสอนของหลวงพ่อไปปฏิบัติ และเชื่อแน่ว่าถ้าเราเห็นอย่างที่หลวงพ่อได้สอน เราก็จะพ้นทุกข์ได้ในที่สุด
Sompop Keawsakdanurak
อนุโมทนาครับ 🙏
Xallazin
ขออนุโมทนาค่ะ