Discover
Prachatai Podcast
376 Episodes
Reverse
✨ เมื่อการชุมนุมประท้วงรูปแบบเดิมถูกปิดล้อม… พลังการเปลี่ยนแปลงก็หาทางใหม่เสมอ
แม้ท้องถนนจะเงียบลง ภายใต้กฎหมายที่เข้มข้นกว่าที่เคย แต่เสียงของผู้คนไม่เคยหยุดเคลื่อนไหว เพียงแต่ไม่ได้กระจุกตัวอยู่ที่ลานกิจกรรมหรือบนท้องถนน วันนี้พลังเหล่านั้นได้ขยายตัวไปสู่พื้นที่ใหม่ ผ่านงานศิลปะ ความคิดสร้างสรรค์ และกลยุทธ์ใหม่ๆ ที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม
.
📌 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ชวนคุณสำรวจการเปลี่ยนผ่านของขบวนการเคลื่อนไหวยุคใหม่ กับ ผศ.ดร.กนกรัตน์ เลิศชูสกุล หนึ่งในนักวิชาการผู้ศึกษาการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างต่อเนื่องและลึกซึ้งทั้งในไทยและต่างประเทศ ใน Talk อะ Rights Podcast Season 2
.
เราอาจไม่เห็นม็อบมหาศาลบนท้องถนนเหมือนในอดีต แต่นั่นไม่ได้แปลว่าผู้คนยอมแพ้ เพราะการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีและสิทธิเสรีภาพ อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ที่มองไม่เห็น แต่ทรงพลังยิ่งกว่าเดิม
✨ ความเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?
✨ ทำไมความผิดหวังจึงไม่ใช่จุดจบ?
✨ บทเรียนสำคัญจากการชุมนุมปี 2563 บอกอะไรเรา?
ทำไม “ความโสด” ถึงกลายเป็นประเด็นให้คนอื่นรู้สึกว่าควรเข้ามาถาม? ทำไมในงานแต่งงาน วันรวมญาติ หรือแม้กระทั่งตอนกินข้าวกับที่บ้าน เรามักถูกยิงคำถามเดิมทุกปี “เมื่อไหร่จะแต่งงาน?” “ยังไม่มีแฟนอีกเหรอ?” ฯลฯ ” หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ ภาวิน มาลัยวงศ์ และชานันท์ ยอดหงษ์ ชวนสำรวจว่าเหตุใดสังคมจึงผูก “ความสำเร็จของชีวิต” เข้ากับการมีคู่ และทำให้ความโสดถูกมองว่าเป็นภาวะต้องแก้ ทั้งที่หลายคนอยู่คนเดียวได้ดีและมีความสุขกว่าที่สังคมคิด ผ่านกรอบคิดเรื่อง Singlism และการผลักให้ความโสดกลายเป็น “ปัญหา” จนเกิด Single Shaming โดยไม่รู้ตัว
ชวนดูงานวิจัย สถิติ และปรากฏการณ์ในวัฒนธรรมป็อปที่ตอกย้ำว่าความโสดเท่ากับ “ยังไม่สมบูรณ์” พร้อมชวนคิดว่าเหตุใดระบบทุนนิยม เมืองใหญ่ และค่านิยมครอบครัวแบบดั้งเดิมจึงเร่งแรงกดดันนี้ขึ้นไปอีก ในขณะที่นโยบายรัฐเองก็ผูกบทบาทพลเมืองเข้ากับการแต่งงานและการมีลูก ความโสดจึงถูกตั้งคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้คุณจะโอเคกับชีวิตของตัวเองก็ตาม
หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ ชานันท์ ยอดหงษ์ และประภาภูมิ เอี่ยมสม พูดคุยกับ อ.ดร.ศิรดา เขมานิฏฐาไท จากสาขาวิชาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ว่าด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญของนโยบายผู้ลี้ภัยในประเทศไทย หลังคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ผู้หนีภัยการสู้รบที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวตามแนวชายแดนไทย–พม่า ได้สิทธิทำงานอย่างถูกกฎหมายเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 40 ปี ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา
รายการชวนสำรวจบริบทเบื้องหลังนโยบายนี้ ตั้งแต่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระหว่างประเทศภายหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัดงบความช่วยเหลือ ไปจนถึงสถานการณ์แรงงานที่ขาดแคลนกะทันหันจากความตึงเครียดไทย–กัมพูชา รวมถึงข้อเสนอเชิงนโยบายที่เตรียมการมาเป็นเวลายาวนานเพื่อผลักดันให้ผู้ลี้ภัยในค่ายผู้อพยพสามารถทำงานและบูรณาการเข้ากับสังคมไทยได้ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้รัฐไทยต้องขยับจากแนวทางเดิมที่เน้นการส่งผู้ลี้ภัยไปประเทศที่สาม มาสู่การส่งเสริมการผนวกรวมกับสังคม (local integration) เพื่อให้ผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้มีบทบาทร่วมพัฒนาสังคมไทยในระยะยาว พร้อมชวนวิเคราะห์ว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายครั้งนี้เป็นเพียงมาตรการชั่วคราว หรือเป็นก้าวแรกของการมองผู้ลี้ภัยในฐานะเพื่อนร่วมสังคมจริงๆ
หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ ต่อศักดิ์ จินดาสุขศรี และชานันท์ ยอดหงษ์ พูดถึงความเป็นมาของ “โครงการศิลปาชีพ” ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง นอกจากแง่มุมของการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมแห่งชาติ และการส่งเสริมหัตถศิลป์ของกลุ่มสตรีในชนบท ซึ่งช่วยสร้างอาชีพในช่วงว่างเว้นจากภาคเกษตร ยกระดับคุณภาพชีวิต และส่งเสริมบทบาทสตรีในฐานะผู้สืบทอดงานศิลปะแล้ว โครงการศิลปาชีพยังถือกำเนิดขึ้นในบริบท “สงครามเย็น” ที่ขณะนั้นพื้นที่ชนบทยังคงมีอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
การขยายขอบเขตของโครงการไปสู่กลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ทุรกันดาร ยังสัมพันธ์กับยุทธศาสตร์การพัฒนาชนบทของรัฐในทศวรรษ 2520 ซึ่งมุ่งดึงกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เข้ามาอยู่ในเครือข่ายโครงการศิลปาชีพ เพื่อแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ—หนึ่งในปัจจัยที่ผลักให้หลายชุมชนเข้าร่วมกับคอมมิวนิสต์ นอกจากนี้ นายทหารระดับสูงจากกองทัพภาคที่ 2 และ 3 ยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนโครงการดังกล่าว จนเกิดภาพของ “ทหารนักพัฒนา” ขึ้นในสังคมไทย พร้อมทั้งชวนอ่านบทความ “โครงการศิลปาชีพกับการสร้างความหมาย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” โดย ธัญสินี ใยสูนโย เผยแพร่ใน อินทนิลทักษิณสาร ปีที่ 14 ฉบับที่ 2 (2562) (อ่านบทความที่นี่)
หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ ประภาภูมิ เอี่ยมสม และต่อศักดิ์ จินดาสุขศรี ชวนผู้ชมตั้งคำถามต่อกรณีดรามาที่ลามไปเป็นการข่มขู่ “สว. อังคณา นีละไพจิตร” ท่ามกลางกระแสคลั่งชาติกรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ซึ่งสะท้อนความตึงเครียดระหว่างสองแนวคิดใหญ่ของโลกสมัยใหม่ “ชาตินิยม” ที่ยึดชาติและพรมแดนเป็นศูนย์กลาง กับ “สิทธิมนุษยชน” ที่ให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์และเสรีภาพปัจเจก การปะทะของสองชุดคุณค่านี้ไม่เพียงเป็นข้อถกเถียงทางการเมือง แต่ยังเผยให้เห็นคำถามพื้นฐานว่า ใครคือศัตรูของชาติ และใครคือพลเมืองของโลก
และพาไปไกลกว่าความขัดแย้งแบบขั้วตรงข้าม ผ่านการวิเคราะห์แนวคิดจาก Hannah Arendt และ Martha Nussbaum ที่ชวนมองความสัมพันธ์ระหว่างรัฐชาติและสิทธิมนุษยชนในมิติที่ลึกขึ้น ว่าสิทธิมนุษยชนอาจไม่เกิดขึ้นได้ หากปราศจากสิทธิที่จะเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนการเมือง และความรักชาติอาจอยู่ร่วมกับความเคารพต่อสิทธิมนุษยชนสากลได้ หากเรานิยามขอบฟ้า “ความเป็นชาติ” ให้เปิดกว้างกว่าเดิม พบกับการสนทนาที่ท้าทายสองกรอบคิดระหว่างชาตินิยมสุดโต่งกับพลเมืองโลกไร้รัฐใน #หมายเหตุประเพทไทย #Nationalism #HumanRights
หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ ภาวิน มาลัยวงศ์ และต่อศักดิ์ จินดาสุขศรี จะพาผู้ชมสำรวจโลกของกราฟฟิตี (Graffiti) ศิลปะบนกำแพงที่หลายคนอาจมองว่าเป็นการทำลายทรัพย์สิน แต่แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์การประกาศตัวตน ความอยากเป็นที่มองเห็น และการช่วงชิงพื้นที่ในเมือง จากจุดเริ่มต้นที่นิวยอร์กยุค 1960s ไปจนถึงการเดินทางสู่เอเชีย รวมถึงการถูกนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ ซึ่งก่อให้เกิดข้อถกเถียงว่าอะไรคือ “คุณค่า” ของกราฟฟิตีอย่างแท้จริง
พร้อมชวนสำรวจแนวคิดของ Henri Lefebvre ว่ากราฟฟิตีสัมพันธ์อย่างไรกับอำนาจ การจัดระเบียบเมือง และสิทธิในการใช้พื้นที่สาธารณะ พร้อมชวนคุยเรื่องการกลืนกลายพื้นที่ของทุน (Gentrification) และข้อกล่าวหาเรื่องการทำลายทรัพย์ (Vandalism) ที่แวดล้อมศิลปะชนิดนี้ ใครกันคือผู้ตัดสินความหมายของเมือง และใครกันที่ถูกผลักออกจากพื้นที่ของตัวเอง พบกับการสนทนาที่ชวนคิดต่อใน #หมายเหตุประเพทไทย #graffiti
แนวคิดอนุรักษนิยมมีส่วนกำหนดแนวคิด “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” มีอิทธิพลและกลายเป็นแกนกลางทางความคิดชนชั้นกลางในสังคมไทยได้อย่างไร หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ ชานันท์ ยอดหงษ์ และต่อศักดิ์ จินดาสุขศรี ยังคงชวนอ่านหนังสือ "พลวัตทางอุดมการณ์ของชนชั้นกลางไทยในคืนวันที่ผันแปร: บทสังเคราะห์โครงการวิจัย ความเปลี่ยนแปลงทางความคิด ระบบคุณค่า และระบอบอารมณ์ความรู้สึกของชนชั้นกลางไทย พ.ศ. 2500-2560" (2567) ของสายชล สัตยานุรักษ์ (อ่านหนังสือคลิกที่นี่)
โดยตอนหนึ่งของหนังสืออธิบายแนวคิด “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ซึ่งมีความหมาย และบริบทในแบบไทยๆ และมีพัฒนาการทางความคิดที่ไม่หยุดนิ่งตายตัว
โดยคำนี้ถูกบรรจุไว้ครั้งแรกในมาตรา 2 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492 " ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข" ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว เกิดขึ้นหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2490 ในบริบทที่คณะราษฎรพ่ายแพ้
และแนวคิด “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” จะถูกอธิบายอีกในช่วงทศวรรษ 2510 ก่อนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และถูกอธิบายในช่วงพฤษภาคม 2535 และในช่วงก่อนเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีคำอธิบายเกี่ยวกับบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ อาทิ “ศูนย์รวมจิตใจของคนไทย” ที่พึ่งพระบารมี ไปจนถึงเป็นสถาบันทางการเมืองที่ตรวจสอบถ่วงดุลกับนักการเมืองและกองทัพ ฯลฯ โดยคำอธิบายเหล่านี้ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องต่างยุคต่างสมัย ผ่านนักวิชาการสำคัญที่มีอิทธิพลในสังคมไทยช่วงต่างๆ อาทิ เสนีย์ ปราโมช, คึกฤทธิ์ ปราโมช, ธีรยุทธ บุญมี, อมร จันทรสมบูรณ์, ชัยอนันต์ สมุทวณิช, ประมวล รุจนเสรี, นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ฯลฯ รวมไปถึงปฏิบัติการทางการเมืองที่ขยายมาจากสายธารแนวคิดดังกล่าว เช่น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, พระราชอำนาจ, รัฐธรรมนูญ มาตรา 7 และนายกรัฐมนตรีพระราชทาน ฯลฯ
จากกระแสข่าวเรื่องลิขสิทธิ์จนเกิดดราม่าการแบนสำนักพิมพ์ของนักแปลคนหนึ่งไม่ให้ออกบูธในงานมหกรรมหนังสือที่จัดขึ้นในเวลานี้
#BookBar สนทนากับธีรภัทร เจริญสุข เลขาธิการสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทยหรือ PUBAT ซึ่งกล่าวว่าสำนักพิมพ์ดังกล่าวยังเปิดบูธขายได้ แต่ห้ามขายหนังสือที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไล่เรียงไปถึงกรณี ‘หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว’
ซึ่งทั้งหมดนี้อาจกำลังบอกถึงกระแสคลื่นความตื่นตัวด้านลิขสิทธิ์ที่เพิ่มมากขึ้นในสังคมไทย ธีรภัทรมองว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งที่ช่วยให้วงการหนังสือไทยก้าวสู่ระดับนานาชาติได้อย่างสง่างาม
ฟังทั้งหมดได้ทุกช่องทางของ 'ประชาไท'
YouTube : https://youtu.be/541lMGgsC9w
Spotify : https://pct.fyi/podcast-spotify
Apple Podcasts : https://pct.fyi/podcast-apple
Podbean : https://pct.fyi/podbeen
"จะติดตามจนกว่าคดีจะหมดอายุความ"
ย้อนฟังสัมภาษณ์ กึกก้อง บุปผาวัลย์ บุตรชายของ ชัชชาญ บุปผาวัลย์ หรือ 'ภูชนะ' นักกิจกรรมทางการเมืองวัย 53 ปี ที่ถูกพบในแม่น้ำโขงเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2561 หลังจากลี้ภัยการเมืองไปประเทศเพื่อนบ้าน เพราะการรัฐประหาร 2557 *บทสัมภาษณ์เมื่อ 22 มกราคม 2562
อ่านทั้งหมดได้ที่: https://prachatai.com/journal/2019/01/80718
ประชาไท #อ่านให้ฟัง หยิบบทความที่น่าสนใจมาอ่านให้คุณฟัง แบบไม่ต้องอ่าน
หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ ชานันท์ ยอดหงษ์ และต่อศักดิ์ จินดาสุขศรี แนะนำบทความ “ความรัก ความเดียวดาย และการย้ายถิ่นของหนุ่มสาวชนบทในกรุงเทพฯ ในยุคความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ ทศวรรษ 2520-25301” ผลงานของพลอยสิริ คำโสภา และ ตุลย์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ตีพิมพ์ในวารสารประวัติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีที่ 12 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน 2568) (อ่านบทความ)
ผู้เขียนใช้แนวคิด “ชุมชนทางอารมณ์” (emotional community) ของ Barbara Rosenwein อธิบายหนุ่มสาวจากชนบทที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ในยุครุ่งเรืองทางเศรษฐกิจช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 3 ถึง 5 กินเวลาระหว่างทศวรรษ 2520–2530 แรงงานอพยพวัยหนุ่มสาวในช่วงนี้แม้จะมีความเป็นอิสระ ทั้งทางรายได้และการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ แต่ก็เผชิญกับความโดดเดี่ยวในมหานครที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและความแปลกหน้า เมื่อไม่มีเครือข่ายญาติหรือชุมชนแบบเดิม จึงต้องหากลไกเยียวยาทางใจ ซึ่ง “ความรัก” กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการอารมณ์และการอยู่รอดทางจิตใจ
โดยในที่นี้บทความวิเคราะห์ผ่านเรื่องเล่าประสบการณ์ความรักในนิตยสาร “คู่สร้างคู่สม” ในคอลัมน์ “หนุ่มจีบสาว–สาวจีบหนุ่ม” หรือ “เรื่องจริงจากทางบ้าน” ซึ่งเปิดพื้นที่ให้แรงงานหนุ่มสาวจากต่างจังหวัดได้ระบายความรู้สึก คิดถึงบ้าน และแสวงหาความรักในรูปแบบที่แตกต่างจากบรรทัดฐานชนบทดั้งเดิม ในที่นี้คู่สร้างคู่สมจึงกลายเป็น “ชุมชนทางอารมณ์” รูปแบบใหม่ที่เชื่อมคนต่างถิ่นเข้าด้วยกันผ่านประสบการณ์ร่วมของความเหงาและความหวัง
การขยายตัวของอุตสาหกรรมและระบบทุนนิยมเมืองในยุคแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 3–5 ทำให้แรงงานหญิงจำนวนมากจากชนบทเข้ามาทำงานในโรงงานและย่านชานเมือง ความเป็นอิสระทางรายได้และการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ ทำให้พวกเขาเริ่มนิยามความรักและความสัมพันธ์ใหม่ ในฐานะพื้นที่ของความใกล้ชิดและความเข้าใจ ไม่ใช่เพียงพันธะทางครอบครัวหรือหน้าที่ทางศีลธรรมอย่างเดิม
หมายเหตุประเพทไทย Live หยิบยกภาพยนตร์ ผีใช้ได้ค่ะ (A Useful Ghost) (2025) ผลงานกำกับของรัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค ที่สร้างชื่อระดับนานาชาติด้วยรางวัลใหญ่จากเทศกาลหนังเมืองคานส์มาพูดคุย วิเคราะห์ และถอดความหมายเชิงสังคม–การเมือง ผ่านบทสนทนาระหว่างประภาภูมิ เอี่ยมสม และภาวิน มาลัยวงศ์
*หมายเหตุ: มีการเปิดเผยเนื้อหาของ ผีใช้ได้ค่ะ (A Useful Ghost)
ผีใช้ได้ค่ะ เดินเรื่องจาก "มาร์ช" สูญเสียภรรยา “แนท” แต่เธอกลับมาในร่างผีที่สิงอยู่ในเครื่องดูดฝุ่น ทั้งสองพยายามรักษาความสัมพันธ์ท่ามกลางแรงกดดันจากครอบครัว แนทต้องพิสูจน์ตนเองด้วยการกำจัดผีร้ายในโรงงาน เพื่อให้ได้รับการยอมรับว่าเป็น “ผีที่ใช้ได้”
โดยภาพยนตร์ใช้โครงเรื่องเหนือจริงของ “ผีในเครื่องดูดฝุ่น” เพื่อวิพากษ์สังคมไทยในกรอบทุนนิยม–ชาตินิยม ตั้งคำถามว่าใครคือ “ผีที่ใช้ได้” หรือ “คนดี” ในสายตาสังคม และชี้ให้เห็นว่าความทรงจำ–การจดจำคือพื้นที่ต่อสู้เพื่อไม่ให้ผู้ถูกกดขี่กลายเป็นเพียงฝุ่นที่ถูกกวาดทิ้งไป
เกิดอะไรขึ้นในวันที่ 19 ก.ย. 2549 ย้อนฟังเหตุการณ์คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) ทำการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาล 'ทักษิณ ชินวัตร'
อ่านทั้งหมดได้ที่: https://prachatai.com/journal/2025/09/114708
ในโอกาสครบรอบ 80 ปี สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ชานันท์ ยอดหงษ์ และประภาภูมิ เอี่ยมสม แนะนำบทความ “บทบาทของสื่อแอนิเมชันในช่วงสงครามและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2: กรณีศึกษาสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น” (2556) โดย นิจจัง พันธะพจน์ พร้อมชวนสำรวจบทบาทของแอนิเมชันหรือภาพยนตร์การ์ตูนว่าทำหน้าที่อย่างไรในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งค่าย Disney ของสหรัฐอเมริกาและแอนิเมชันของจักรวรรดิญี่ปุ่น รวมทั้งจุดเปลี่ยนเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่แอนิเมชันญี่ปุ่นหลายเรื่องมีบทบาทจรรโลงสันติภาพ หรือกล่าวถึงผลร้ายของสงครามอย่าง Astro Boy และสุสานหิ่งห้อย ฯลฯ รวมไปถึงแอนิเมชันไทยในยุคต้นสงครามเย็น ทั้งหมดนี้ติดตามได้ในรายการหมายเหตุประเพทไทย
อ่านบทความที่ นิจจัง พันธะพจน์. (2556) “บทบาทของสื่อแอนิเมชันในช่วงสงครามและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2: กรณีศึกษาสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น THE ROLE OF ANIMATION MEDIA DURING AND AFTER THE SECOND WORLD WAR: CASE STUDY IN UNITED STATES AND JAPAN”, วารสารสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ, 14(2). https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jica/article/view/15155
“อิสรภาพของคนในเรือนจำ ขึ้นอยู่กับความสามัคคีในขบวนการประชาธิปไตยทุกฝั่งฝ่าย”
ประชาไทพูดคุยกับ ไผ่ จตุภัทร์ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ถูกคุมขังอีกครั้ง โดยเมื่อถามว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไร ตัวเขาบอกว่า "จำไม่ได้"
อ่านทั้งหมดได้ที่ https://prachatai.com/journal/2025/09/114659
เมื่อการได้เขียนจดหมายและได้รับจดหมายจากเพื่อนและครอบครัวของผู้ต้องขังคดีการเมือง เป็นเพียงกิจกรรมไม่กี่อย่างที่ผู้ต้องขังจะทำได้ในคุก แต่ล่าสุดเมื่อปัญหาขาด "ปากกา" ที่คนนอกคุกอาจนึกไม่ถึงว่าเป็นปัญหาได้อย่างไรเพราะแค่ปากกาหายจะหาใหม่เท่าไหร่ก็ได้กลับเป็นปัญหาที่ทำให้คนในคุกเสียช่องทางการติดต่อไปโดยปริยาย
แต่เรื่องนี้ยังถูกขยายไปถึงอุปสรรคในการใช้แอพ DomiMail ที่กรมราชทัณฑ์ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือให้คนในเรือนจำได้สื่อสารกับเพื่อนและครอบครัวที่รออยู่ข้างนอก แต่เงื่อนไขต่างๆ ที่เพิ่มเข้ามาภายหลังยังเพิ่มอุปสรรคที่คนในคุกจะสื่อสารกับคนข้างนอกเพิ่มขึ้นอีก
อ่านทั้งหมดได้ที่ https://prachatai.com/journal/2024/09/110558
หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ และประภาภูมิ เอี่ยมสม แนะนำหนังสือ “Invisible Women: Data Bias in a World Designed for Men” ผลงานของ Caroline Criado Perez ที่อธิบายเรื่อง “Gender data gap” หรือช่องว่างของข้อมูลที่จำแนกตามเพศ ที่หลายๆ ครั้งในการวิจัย การวางแผนนโยบาย การออกแบบผลิตภัณฑ์ มักใช้ผู้ชายเป็นขนาดมาตรฐาน แล้วละเลยความแตกต่างทางชีวภาพ สรีรวิทยา ตลอดจนบทบาท-ความจำเป็นเฉพาะของผู้หญิง ซึ่งผลที่ตามมาคือ ผู้หญิงมักได้รับผลกระทบในทางลบโดยที่ไม่รู้ตัว
โดยตัวอย่างจากหนังสือเล่มนี้ เช่น อุปกรณ์นิรภัยในรถยนต์ที่ตอนทดสอบใช้หุ่นจำลองเพศชาย ส่งผลให้ถ้ารถเกิดอุบัติเหตุ ผู้หญิงมีโอกาสได้รับบาดเจ็บมากกว่าตอนทดสอบ หรือการทดลองยาที่ใช้ผู้ชายเป็นกลุ่มตัวอย่างหลัก หรือไม่วิเคราะห์แยกตามเพศ ทำให้ยาบางชนิด หรือบางวิธีการรักษา เมื่อใช้กับผู้หญิงจะไม่ได้ผลดีหรือมีผลข้างเคียง เช่น ผลข้างเคียงจากยา Thalidomide ต่อสตรีมีครรภ์ทำให้ทารกคลอดออกมาพิการ
ช่องว่างของการเก็บข้อมูลในเรื่องเพศ ยังกระทบกับรูปแบบการจ้างงาน การออกแบบสาธารณูปโภคในเมือง เช่น งานดูแลบ้านเลี้ยงลูกของผู้หญิงไม่ได้รับค่าตอบแทน หรือการออกแบบระบบขนส่ง การเปิดปิดสถานที่ให้บริการ ไม่ได้คำนึงถึงรูปแบบการเดินทางของผู้หญิงที่ต้องทำธุระหลายที่ เช่น ออกบ้านหนหนึ่งต้องไปส่งลูก ไปซื้อของ ไปทำงาน ฯลฯ
โดยผู้เขียนเสนอให้เก็บข้อมูลที่แยกตามเพศ (sex-disaggregated data) และวิเคราะห์ตามเพศ การออกแบบผลิตภัณฑ์และคิดนโยบายควรคำนึงถึงผู้หญิงตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ออกแบบสำหรับผู้ชายทั่วไป แล้วคาดหวังให้ผู้หญิงปรับตัวเองให้เข้ากับนโยบายที่คิดมา ผู้สนใจสามารถทดลองอ่านหนังสือ หรืออ่านรีวิวหนังสือได้ที่ Goodreads
ที่ผ่านมามีการถกเถียงในโลกออนไลน์เรื่องนิยามชนชั้นกลาง ข้อถกเถียงหลักมักนิยามชนชั้นกลางจากมุมเศรษฐศาสตร์เป็นหลัก เช่น ดูผ่านรายได้ กำลังการบริโภค หมายเหตุประเพทไทย Live หกโมงเย็นวันอาทิตย์นี้ชวนคุยเรื่องความหมายของชนชั้นกลางจากมุมมองของนักสังคมวิทยา Göran Therborn ผ่านบทความ DREAMS AND NIGHTMARES OF THE WORLD’S MIDDLE CLASSES (2020) ขณะเดียวกันชวนมองภาพระดับโลกเมื่อชนชั้นกลาง “ฝันร้าย” ชนชั้นกลางในกลุ่มประเทศซีกโลกใต้ “ขยายตัว” แต่เปราะบางเพราะไม่มีความมั่นคงและขาดสวัสดิการ เช่นเดียวกับในโลกตะวันตกชนชั้นกลาง “หดตัว” และรู้สึกไม่มั่นคงอย่างในทศวรรษ 1980s ทั้งหมดนี้ติดตามในรายการ #หมายเหตุประเพทไทย #ชนชั้นกลาง
หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ ประภาภูมิ เอี่ยมสม และภาวิน มาลัยวงศ์ รีวิวภาพยนตร์ Weapons (2025) เป็นหนังแนวลึกลับสยองขวัญเรื่องล่าสุดของผู้กำกับ Zach Cregger เล่าถึงเหตุการณ์ที่เด็กนักเรียนในชั้นเรียนเดียวกันหายตัวไปอย่างลึกลับในตอนกลางคืนพร้อม ๆ กัน ทำให้คนในชุมชนสงสัย ตั้งคำถามว่าอะไรเป็นสาเหตุของการหายตัวไปของเด็ก ๆ เหล่านั้น และใครคือผู้อยู่เบื้องหลัง โดยมีครูประจำชั้นอย่างจัสตินเป็นผู้ที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ นอกจากนี้ภาพยนตร์ Weapons (2025) ยังเป็นภาพยนตร์แนว Social Thriller หรือ หนังระทึกขวัญสะท้อนสังคม ที่แฝงสัญญะมากมายในตัวบททั้งเรื่อง PTSD รวมทั้งนโยบายควบคุมอาวุธปืนในสหรัฐอเมริกา
ในช่วงที่ผ่านมาเราได้ยินคำว่าสงครามบ่อยมาก เช่น สงครามข่าวสาร สงครามการค้า ดูเหมือนอะไรๆ ก็เป็นสงครามไปได้เสียหมด แต่อันที่จริงแล้ว ไม่ใช่ทุกอย่างจะถูกนับเป็นสงคราม แม้ว่าการสู้รบทางการทหารก็อาจจะไม่นับว่าเป็นสงคราม
หมายเหตุประเพทไทย [Live] สัปดาห์นี้ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ และภาวิน มาลัยวงศ์ ชวนทบทวนนิยามของคำว่าสงคราม นั่นเป็นเพราะว่าการใช้นิยามอย่างเข้มงวดก็อาจจะสำคัญสำหรับการทำความเข้าใจทั้งในแง่การเมืองและวิชาการ การเหมารวมว่าทุกอย่างเป็นสงครามไปเสียทั้งหมด สุดท้ายจะทำให้ไม่มีอะไรเป็นสงครามเลย
โดยข้อมูลที่เราจะใช้กันเป็นหลักสำหรับการพูดคุยวันนี้คือความหมายเชิงปรัชญาจาก Carl von Clausewitz และ ซุนวู (Sun Tsu) และกรอบการทำงานเชิงประจักษ์ของโครงการ Correlates of War (COW)
หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ ภาวิน มาลัยวงศ์ และปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ พูดถึงพัฒนาการแนวคิดเรื่องเชื้อชาติของญี่ปุ่น ว่าเพราะเหตุใดคนญี่ปุ่นจึงถูกมองว่ารวมเป็นเนื้อเดียวกัน ทั้งนี้แนวคิดเรื่องเชื้อชาติตั้งต้นมายุคปฏิรูปเมจิ ระบบทางสังคมญี่ปุ่นที่แยกคนในกับคนนอก ญี่ปุ่นเองเริ่มมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ เมื่อขยายดินแดนไปยังฮอกไกโด คาบสมุทรเกาหลี แมนจูเรียและเมืองท่าชายฝั่งของจีน มีการนำประชากรจากจีนและคาบสมุทรเกาหลีกลับมาเป็นแรงงานในญี่ปุ่นด้วย แต่พอสิ้นสุดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นเริ่มใช้กฎหมายคนเข้าเมืองฉบับใหม่ที่ทำให้ประชากรอพยพเหล่านี้กลายเป็นพลเมืองชั้นสอง
ในปี 2024 สถิติชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่นมีอยู่ราว ๆ 3.5 ล้านคน หรือ 3 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด มีย่านสำคัญในโตเกียวที่สะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างย่านชินโอคุโบะ (Shin-Okubo) ฯลฯ แต่กระนั้น Myth หรือความเชื่อเรื่องเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์ในญี่ปุ่นก็ยังฝังรากลึกแข็งแรงอยู่ ไม่ได้หายไปไหน ทั้งหมดนี้ติดตามได้ในรายการหมายเหตุประเพทไทย คืนวันอาทิตย์นี้เวลา 20.00 น.
หมายเหตุ: หนังสือแนะนำ (1) The Origin of the Myth of Ethnic Homogeneity: The Genealogy of ‘Japanese’ Self-Images (1995) และ The Boundaries of the ‘Japanese’: Okinawa, the Ainu, Taiwan and Korea. From Colonial Domination to the Return Movement (1998) โดย Oguma Eiji























