Discover
โลก - วอยซ์ ออฟ อเมริกา

4967 Episodes
Reverse
หนึ่งในแนวทางการทูตที่เห็นได้จากสองเดือนแรกของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คือการรื้อฟื้นสัมพันธ์กับรัฐบาลมอสโก แต่สิ่งที่นักวิเคราะห์ยังจับตามองคือ ท่วงท่าของรัฐบาลวอชิงตันจะสามารถเจาะความเหนียวแน่นของพันธมิตรรัสเซีย-จีนได้หรือไม่
นับตั้งแต่รัสเซียรุกรานยูเครนเมื่อปี 2022 จีนพยายามยืนกรานว่ารัฐบาลปักกิ่งสนับสนุนสันติภาพและเคารพบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศต่าง ๆ แต่อีกด้านก็ไม่เคยประณามรัสเซียที่เปิดฉากเข้ายึดดินแดนยูเครนเลย
ไม่เพียงเท่านั้น กรุงปักกิ่งยังยังโหวตช่วยรัสเซียในคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ และร่วมซ้อมรบด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดใกล้กับรัฐอลาสกาอีกด้วย
อีกด้านหนึ่ง ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ แม้บอกว่ามีสัมพันธ์ส่วนตัวอันดีกับสี จิ้นผิง ผู้นำสูงสุดของจีน และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย แต่ก็เห็นได้ว่า ขณะที่ทำเนียบขาวพูดถึงการรื้อฟื้นสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับรัสเซีย อีกด้านหนึ่งกลับลงโทษจีนด้วยการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้า
ชาลส์ เฮคเกอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตก มองว่าภาคเอกชนของชาติตะวันตกจะกลับเข้าไปในรัสเซียอย่างรวดเร็วหากมีการผ่อนปรนมาตรการลงโทษ โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน โลหะ และสินแร่ ที่คุ้นชินกับการทำธุรกิจในพื้นที่ความเสี่ยงสูง
อย่างไรก็ตาม เขามองว่าการกลับไปทำธุรกิจแบบที่เคยเป็นมา ไม่ใช่สัญญาณของการกลับมาญาติดีกันระหว่างกรุงมอสโกและกรุงวอชิงตัน และไม่เพียงพอที่จะทำให้รัสเซียตีตัวออกห่างจากจีน หากไม่สามารถเปลี่ยนทัศนคติต่อต้านระบบการเมืองและเศรษฐกิจแบบตะวันตกของปูติน
“คุณไม่เคยได้ยินประธานาธิบดีปูตินพูดอะไรขัดกับจีนในทางอุดมการณ์ และตอนนี้ทั้งสองก็เป็นหุ้นส่วนทางพลังงานที่สำคัญ” เฮคเกอร์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของความเห็นสาธารณะ อาจมีจุดที่ทำให้เห็นว่ามีความไม่ลงรอยกันในระดับประชาชนต่อประชาชน อ้างอิงจากข้อค้นพบขององค์กร FilterLabs ที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ
FilterLabs วิเคราะห์ความเห็นผู้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ในจีนและรัสเซียในแง่ความสัมพันธ์รัสเซีย-จีนนี้ และพบว่า ชาวเน็ตมีความเห็นที่ “เต็มไปด้วยความตึงเครียด ไม่เชื่อใจ และผลประโยชน์ที่ไม่ตรงกัน”
วาซิลี กาทอฟ หนึ่งในผู้จัดทำรายงานดังกล่าวระบุกับวีโอเอว่าจีนไม่ได้มองรัสเซียในฐานะหุ้นส่วนที่เท่าเทียมและไว้ใจได้
เขาย้อนไปถึงประวัติการเข้ายึดแคว้นอามูร์จากจีน และนโยบายล่าอาณานิคมของรัสเซียในศตวรรษที่ 19 และ 20 และสรุปว่า “ในความเห็นของผม เป็นไปได้อย่างแน่นอนที่จะมองความไม่ลงรอยทางประวัติศาสตร์ในฐานะจุดเปราะบาง”
อย่างไรก็ตาม อเล็กซานเดอร์ กาบูเอฟ ผู้อำนวยการจากศูนย์คาร์เนกีด้านรัสเซีย-ยูเรเซีย มองว่าเสียงของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรมากนักต่อการตัดสินใจของรัฐบาลมอสโกและปักกิ่ง
กาบูเอฟมองว่า การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์จากจีนนั้นอาจสะท้อนแรงจูงใจ ว่ากรุงปักกิ่งเองก็ต้องการการตอบแทน โดยเฉพาะข้อมูลการต่อต้านอาวุธจากชาติตะวันตกที่รัสเซียได้รับจากสงครามในยูเครน
ในโมงยามที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียกำลังดีขึ้น หนึ่งในคำถามที่นักวิเคราะห์สนใจก็คือ กระบวนทัศน์ของทรัมป์ที่มีต่อจีน จะส่งผลถึงขั้นเขย่าสัมพันธ์ของจีนและรัสเซียได้หรือไม่
อาลี ไวน์ ที่ปรึกษาด้านจีนและสหรัฐฯ จากองค์กร International Crisis Group มองว่าทรัมป์มีทัศนคติที่เป็นมิตรกับผู้นำจีนมากกว่าผู้กำหนดนโยบายสหรัฐฯ ที่ผ่านมาที่มองว่าจีนเป็นคู่แข่งทางยุทธศาสตร์ลำดับต้น ๆ และไวน์เชื่อว่าจุดนี้จะเป็นปัจจัยกำหนดท่าทีของสหรัฐฯ ต่อจีนในสี่ปีนับจากนี้
ที่มา: วีโอเอ
ตัวแทนชาติสมาชิกกลุ่มจี 7 แถลงในวันศุกร์ เรียกร้องให้รัสเซียเห็นชอบกับข้อเสนอของสหรัฐฯ ให้เกิดการหยุดยิงในยูเครนบนเงื่อนไขที่เท่าเทียมกัน และนำไปปฏิบัติอย่างเต็มที่
แถลงการณ์ร่วมที่เผยแพร่จากการประชุมรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ที่จัดขึ้นที่ควิเบก ประเทศแคนาดา ระบุว่า “เราได้หารือเรื่องการเพิ่มต้นทุน (ที่ต้องจ่าย) ของรัสเซีย ในกรณีที่การหยุดยิงไม่ได้รับการเห็นชอบ ซึ่งหมายรวมถึงการคว่ำบาตรเพิ่มเติม การจำกัดราคาน้ำมัน ไปจนถึงเพิ่มการสนับสนุนให้ยูเครนและแนวทางอื่น ๆ ”
ทำเนียบขาวระบุว่า สตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้พูดคุยกับประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
แถลงการณ์ของกลุ่มเจ็ดชาติประชาธิปไตยชั้นนำของโลกมีขึ้นในช่วงที่รัฐบาลเครมลินระบุว่ายังมีหลายจุดที่ต้องพิจารณาในข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งสะท้อนท่าทีลังเลต่อการยอมรับแนวทางที่สหรัฐฯ เป็นผู้เสนอ
ทางด้านมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวในวันศุกร์ถึงการหยุดยิงว่า “ผมคิดว่ามีเหตุผลที่จะมองบวกอย่างระมัดระวัง แต่ในคราวเดียวกัน เรายังเห็นว่านี่คือสถานการณ์ที่ยากเย็นและซับซ้อน”
เมลานี โจลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแคนาดากล่าวว่า รัฐมนตรีต่างประเทศของชาติจี 7 ทุกคนเห็นชอบกับข้อเสนอหยุดยิงของสหรัฐฯ ที่ชาวยูเครนให้การสนับสนุน
เดวิด แลมมี รมต.ต่างประเทศของอังกฤษกล่าวว่า ยูเครนมีท่าทีที่ชัดเจนแล้ว ตอนนี้ขึ้นอยู่กับรัสเซียที่จะยินยอมพร้อมใจ ไม่เพียงเท่านั้ยังระบุว่ามี “แนวร่วมทางเจตจำนง” ที่จะช่วยเหลือยูเครนในด้านความมั่นคงและกลไกเฝ้าระวังเพื่อสนับสนุนการหยุดยิง
ประธานาธิบดียูเครน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี มองว่าท่าทีลังเลของปูตินเมื่อวันพฤหัสบดีคือการพยายามสร้างเงื่อนไขการหยุดสู้รบให้ซับซ้อนมากขึ้น และลากกระบวนการให้ยาวออกไป
นอกจากการหารือเรื่องสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน กลุ่มจี 7 ยังหารือกันในวาระความท้าทายทางยุทธศาสตร์ อื่น ๆ จากจีน เกาหลีเหนือ อิหร่าน และรัสเซีย ซึ่งนักวิเคราะห์ด้านการทหารและการทูตจับตามองกระแสต่อต้านความร่วมมือของประเทศตะวันตกที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มประเทศนี้
แถลงร่วมระบุว่ากลุ่มจี 7 ยังคงกังวลต่อการสั่งสมกำลังทหารและอาวุธนิวเคลียร์ของจีน และเรียกร้องให้รัฐบาลปักกิ่งร่วมหารือในด้านการลดความเสี่ยงทางยุทธศาสตร์ รวมถึงใช้หลักความโปร่งใสเพื่อสร้างเสริมเสถียรภาพ
ในประเด็นช่องแคบไต้หวันและทะเลจีนใต้ ชาติสมาชิกจี 7 เน้นย้ำไม่ให้จีนดำเนินการใด ๆ เพียงฝ่ายเดียว เพื่อปรับเปลี่ยนสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้ ในพื้นที่พิพาทดังกล่าว
เจ้าหน้าที่และนักวิเคราะห์ต่างจับตามองการหยุดยิงในยูเครน ในฐานะหมุดหมายที่จะทำให้สหรัฐฯ นำทรัพยากรไปใช้ในเวทีอิทธิพลอื่น ๆ ของโลก เช่นภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ รูบิโอ กล่าวกับวีโอเอก่อนหน้านี้ว่า “เราสามารถใช้เวลามากขึ้นในหลายแง่มุม เพื่อโฟกัสไปที่อินโด-แปซิฟิก หากเราสามารถนำสันติภาพมายังทวีปยุโรปได้”
จี 7 คือกลุ่มประเทศที่ประกอบด้วยอังกฤษ แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ
ที่มา: วีโอเอ
ราคาทองคำไต่ขึ้น 3,000 ดออลาร์ต่อออนซ์ในช่วงเช้าตรู่ของวันศุกร์ตามเวลาสหรัฐฯ ถือเป็นแนวโน้มของแรงซื้อที่ไปสู่สินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยกว่า สอดรับกับกระแสความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้น
ราคาทองคำทำราคาขึ้นแตะที่ระดับสูงสุดที่ 3,016.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในเวลาต่อมา
มาตรการกำแพงภาษีจากกรุงวอชิงตันที่ทำให้เกิดความกังวลด้านราคาสินค้า คือปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการหันไปซื้อทองคำ ส่วนอีกปัจจัยที่นักวิเคราะห์หลายรายกล่าวกับรอยเตอร์ คือแรงซื้อจากธนาคารกลางแห่งชาติจากหลายประเทศ รวมทั้งจีน ที่ต่างซื้อทองคำเป็นทุนสำรอง เพื่อเลี่ยงความผันผวนของเงินดอลลาร์
นอกจากนั้น ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์จากสงครามในยูเครน ที่รัสเซียยังคงไม่ตกลงยอมรับข้อตกลงหยุดยิง 30 วันที่สหรัฐฯ เสนอ และยูเครนเห็นด้วยแล้ว จึงทำให้ไม่มีความแน่นอนว่าการสู้รบจะหยุดยั้ง ดำเนินต่อ หรือขยายตัวอย่างไร
ย้อนไปเมื่อรัสเซียเริ่มรุกรานยูเครนเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2022 โลกก็ได้เห็นการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำอยู่เป็นเวลาราวสองเดือน ก่อนแนวโน้มจะค่อย ๆ ปรับลดลงมา สะท้อนบรรยากาศและอารมณ์ของตลาดในภาวะที่มีความไม่แน่นอนว่าโฉมหน้าการสู้รบจะเป็นอย่างไร และใครจะเข้ามาร่วมวงสงครามด้วย
คู่ขนานกับความพยายามบรรลุข้อตกลงหยุดยิง สงครามก็ยังคงดำเนินต่อไป โดยโฟกัสหลักในหน้าข่าวอยู่ที่แคว้นเคิร์สก์ ที่รัสเซียพยายามยึดพื้นที่คืนมาจากยูเครน โดยในวันพฤหัสบดี ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซียประกาศว่าทหารยูเครนที่ยอมแพ้จะได้รับการไว้ชีวิต
ด้านประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีแห่งยูเครนตอบโต้ว่าข่าวความเพลี่ยงพล้ำของยูเครนในแคว้นเคิร์สก์เป็นข่าวลวงจากรัสเซีย แต่ก็ยอมรับว่าสถานการณ์ที่ดำเนินอยู่นั้นถือว่า “ยากเย็นมาก”
ข้อมูลเพิ่มเติมจาก รอยเตอร์
สมาชิกสภายุโรปลงคะเเนนรับรองญัตติประณามไทยเรื่องการส่งชาวอุยกูร์ไปยังจีน และเรียกร้องให้ไทยยุติการบังคับเนรเทศบุคคลไปยังประเทศที่มีความเสี่ยงต่อชีวิตของพวกเขา อ้างอิงข้อมูลจากแถลงการณ์ของรัฐสภายุโรปในวันพฤหัสบดี
นอกจากนั้นสมาชิกสภายังได้เรียกร้องให้คณะกรรมาธิการยุโรปต่อรองผ่านความตกลงการค้าเสรี เพื่อกดดันให้ไทยปฏิรูปกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ปล่อยตัวนักโทษการเมือง และยับยั้งการเนรเทศชาวอุยกูร์
การแสดงท่าทีอย่างเป็นทางการของสภายุโรปครั้งนี้ ผ่านเสียงโหวตสนับสนุน 482 เสียง ต่อ 57 เสียงที่ไม่เห็นด้วย และมีสมาชิก 68 รายที่งดออกเสียง
ข่าวนี้เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลไทยส่งชาวอุยกูร์ 40 คนที่คุมขังไว้ตั้งแต่ปี 2014 กลับไปจีนเมื่อวันที่ 27 ก.พ. ท่ามกลางเสียงประณามจากรัฐบาลสหรัฐฯ สหประชาชาติ และองค์กรสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ ที่ระบุว่าเป็นการละเมิดสนธิสัญญาระหว่างประเทศ และกฎหมายของไทยเอง
ในเวลาต่อมา องค์กรสิทธิมนุษยชนเผยว่า ชาวอุยกูร์ 8 คนที่ยังคนถูกคุมขังอยู่ในประเทศไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะถูกส่งตัวกลับจีน เหมือนกับ 40 คนก่อนหน้านี้เช่นกัน
นักการเมืองยุโรปต้องการให้รัฐบาลไทยเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่จากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยเเห่งสหประชาชาติเข้าเก็บข้อมูลความเป็นอยู่ของผู้ขอลี้ภัยชาวอุยกูร์อย่างเต็มที่ และไทยต้องให้ข้อมูลอย่างโปร่งใส
นอกจากนั้นสมาชิกสภายุโรปเรียกร้องให้ ไทยระงับสนธิสัญญาส่งตัวบุคคลข้ามแดนกับประเทศจีน และว่าจีนต้องเคารพกฎสิทธิพื้นฐานของชาวอุยกูร์ที่ถูกเนรเทศออกจากไทย ตลอดจนให้ความกระจ่างชัดต่อที่อยู่ของพวกเขา รวมทั้งให้อิสรภาพคนเหล่านั้น
นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรี กล่าวที่งานแถลงข่าววันที่ 27 ก.พ. หลังจากไทยช่วยส่งชาวอุยกูร์กลับไปยังเขตปกครองตนเองซินเจียงของจีน ว่าคนเหล่านี้กลับไปโดยสมัครใจ และฝ่ายไทยจะติดตามความเป็นไปของพวกเขาเพื่อให้เเน่ใจว่าทุกคนปลอดภัยดี โดยในสัปดาห์นี้ สื่อเช่นไทยพีบีเอส รายงานว่าทางการไทยกำลังเตรียมพานักข่าวไปรายงานเกี่ยวกับภารกิจดังกล่าวที่ซินเจียง
ในวันพฤหัสบดีสภายุโรปยังได้ส่งสัญญาณให้ไทยเสริมความเเข็งเเกร่งต่อมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชน และนิรโทษกรรมนักการเมืองและนักเคลื่อนไหวที่ถูกกดขี่และคุมขังภายใต้กฎหมายไทยรวมถึงกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือมาตรา 112
ณ วันที่ 7 มีนาคม ยังมีผู้ต้องขังตามมาตรา 112 จำนวน 29 คน โดยไม่มีประชาชนถูกคุมขังเพิ่มในเดือนที่ผ่านมา และหากนับรวมคดีทางการเมือง ยังมีผู้ต้องขังทั่วประเทศ อย่างน้อย 45 คนอ้างอิงจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
การโหวตครั้งนี้เพื่อผ่านญัตติที่เกี่ยวกับไทยโดยรัฐสภายุโรป ยังรวมถึงความต้องการที่จะเร่งเร้าให้ทางการยุโรปต่อรองเพื่อให้ไทยให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาทั้งหมดขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organisation) ด้วย
ที่มา: วีโอเอ
เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน กล่าวในวันพฤหัสบดีว่า ได้แจ้งกับตัวแทนสหรัฐฯ แล้วว่า ข้อเสนอหยุดยิง 30 วันในสงครามยูเครนนั้น มีแต่จะทำให้กรุงเคียฟมีเวลาพักเอาแรง โดยรัสเซียไม่ได้อะไรที่เป็นประโยชน์เลย ตามรายงานของรอยเตอร์
ยูริ อุชาคอฟ อดีตทูตรัสเซียประจำกรุงวอชิงตันซึ่งได้รับมอบหมายเป็นตัวแทนของปูตินในด้านนโยบายต่างประเทศที่สำคัญ ๆ บอกกับสื่อรัสเซียในวันพฤหัสบดีว่า ได้พูดคุยกับ ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ เกี่ยวกับจุดยืนของมอสโกในประเด็นการหยุดยิงเมื่อวันพุธ และระบุว่า ข้อเสนอที่สหรัฐฯ ได้หารือกับตัวแทนของกรุงเคียฟที่ซาอุดีอาระเบียเมื่อต้นสัปดาห์นั้นไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการเปิดทางให้กองทัพยูเครนได้พักรบเท่านั้น “ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นเลย”
อุชาคอฟกล่าวด้วยว่า ข้อเสนอดังกล่าว “ไม่ได้ให้อะไรกับเรา ให้แต่พวกยูเครนมีโอกาสได้ตั้งลำ ฟื้นฟูเรี่ยวแรงและเดินหน้าทำการแบบเดิมต่อไป”
ตัวแทนรัสเซียยืนยันว่า เป้าหมายของมอสโกคือ “การบรรลุข้อตกลงอย่างสันติและยั่งยืน โดยพิจารณาถึงผลประโยชน์อันชอบธรรมของประเทศเราและความกังวลของเราที่ทราบกันดีอยู่”
และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า รัสเซียจะปฏิเสธข้อเสนอของสหรัฐฯ หรือไม่ อุชาคอฟกล่าวว่า ปูตินน่าจะต้องการพูดกับสื่อและให้รายละเอียดเกี่ยวกับจุดยืนของรัสเซียด้วยตนเอง
คำกล่าวของเจ้าหน้าที่เครมลินที่ทำงานเคียงคู่ปูตินมาตั้งแต่ปี 2012 มีออกมา ขณะที่ สตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษประจำตะวันออกกลางของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินทางถึงกรุงมอสโกเพื่อหารือข้อตกลงหยุดยิงในสงครามที่เกิดขึ้นจากการรุกรานยูเครนโดยรัสเซีย
ยังไม่มีความชัดเจนว่า ทรัมป์จะมีปฏิกิริยาอย่างไรในเรื่องนี้ หลังกล่าวเมื่อวันพุธว่า ตนหวังว่ามอสโกจะตกลงยอมรับข้อเสนอหยุดยิงเพื่อยุติ “การนองเลือด” และว่า ไม่ต้องการจะทำการลงโทษด้านการเงินอย่างรุนแรงต่อรัสเซียเหมือนที่เคยดำเนินการในรัฐบาลตนในสมัยแรก เพราะ “ผมต้องการเห็นสันติภาพ”
รัสเซียรุกกลับหนักในวันพฤหัสบดี รัสเซียอ้างว่า กองกำลังมอสโกได้ผลักดันทัพยูเครนออกจากเมืองซุดชา ซึ่งเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของแคว้นเคิร์สกแล้ว ตามรายงานของเอพี
กระทรวงกลาโหมรัสเซียกล่าวอ้างความสำเร็จดังกล่าวไม่กี่ชั่วโมง หลังมีรายงานว่าปธน.ปูตินเดินทางเยี่ยมบรรดาผู้บัญชาการทหารในแคว้นเคิร์สกซึ่งอยู่ติดกับยูเครน
เอพีระบุว่า ไม่สามารถยืนยันว่า สิ่งที่รัสเซียกล่าวอ้างนั้นเป็นความจริงหรือไม่ และเจ้าหน้าที่ยูเครนก็ไม่ได้ให้ความเห็นในประเด็นนี้
ที่ผ่านมา กองทัพยูเครนเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากรัสเซียที่ได้แรงเสริมจากกองทัพเกาหลีเหนือและโต้กลับฝ่ายเคียฟที่เข้ายึดอาณาเขตบางส่วนของเคิร์สกไว้ได้เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว
รายงานข่าวเปิดเผยว่า ปูตินได้พูดกับบรรดาผู้นำทหารเมื่อวันพุธว่า ตนคาดหวังกองทัพรัสเซียให้ “ปลดปล่อยแคว้นเคิร์สกให้เป็นอิสระอย่างสมบูรณ์จากศัตรูในอนาคตอันใกล้ที่สุด” และว่า สิ่งที่จำเป็นในอนาคตก็คือ “การสร้างโซนป้องกันความมั่นคงตามแนวชายแดน” ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้สื่อข่าวระบุว่า เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ามอสโกอาจพยายามบุกยึดพื้นที่เขตปกครองซูมีของยูเครนเพิ่ม
เอพีชี้ว่า หากสัญญาณที่ว่าเป็นความจริง ประเด็นนี้ก็จะยิ่งทำให้การบรรลุข้อตกลงหยุดยิงยุ่งยากขึ้นโดยปริยาย
ที่มา: เอพีและรอยเตอร์
สหภาพยุโรปประกาศในวันพุธว่าจะใช้มาตรการภาษีตอบโต้สหรัฐฯ และพุ่งเป้าไปที่สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม โดยท่าทีดังกล่าวเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่รัฐบาลอเมริกันขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมทั้งหมดในอัตรา 25%
รัฐมนตรีต่างประเทศของกลุ่ม จี7 (G7) จะร่วมประชุมที่มณฑลควิเบค แคนาดา เป็นเวลาหลายวัน เพื่อหารือหนทางยุติสงครามยูเครน และแสดงจุดยืนสนับสนุนกรุงเคียฟในการรับมือการรุกรานของรัสเซีย
รัฐมนตรีต่างประเทศของกลุ่ม จี7 (G7) จะร่วมประชุมที่มณฑลควิเบค แคนาดา เป็นเวลาหลายวัน เพื่อหารือหนทางยุติสงครามยูเครน และแสดงจุดยืนสนับสนุนกรุงเคียฟในการรับมือการรุกรานของรัสเซีย
การหารือครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ ตกลงกลับไปแชร์ข้อมูลข่าวกรองและให้ความช่วยเหลือด้านความมั่นคงแก่ยูเครนอีกครั้ง หลังการหารือของผู้แทนทั้งสองฝ่ายที่เมืองเจดดาห์ ซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันอังคาร
ยูเครนประกาศภายหลังการหารือกับผู้แทนสหรัฐฯ เป็นเวลานานเกือบ 8 ชม. ว่าพร้อมยอมรับข้อเสนอของสหรัฐฯ ที่ให้มีการ "หยุดยิงชั่วคราว 30 วัน มีผลทันที" และกำลังรอการตัดสินใจของรัสเซีย
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โค รูบิโอ กล่าวต่อผู้สื่อข่าวขณะเดินทางไปยังแคนาดาเพื่อร่วมประชุม จี7 ว่า สหรัฐฯ จะติดต่อหลายช่องทางไปยังรัสเซียเพื่อประเมินความต้องการจัดทำข้อตกลงสันติภาพ "และขอให้รัสเซียพิจารณายุติความเป็นปรปักษ์กับยูเครน"
รูบิโอกล่าวด้วยว่า หากรัสเซียตกลง สิ่งหนึ่งที่ต้องตัดสินใจต่อไปคือใครจะทำหน้าที่ตรวจสอบในสนามรบว่ามีการหยุดยิงเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ซึ่งต้องเป็นผู้ที่ทั้งสองฝ่ายไว้วางใจ
ส่วนที่ทำเนียบขาว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวในวันพุธว่า ขณะนี้ขึ้นอยู่กับรัสเซียแล้วว่าจะตอบรับหรือไม่ และหวังว่าจะมีข้อตกลงหยุดยิงเกิดขึ้น "ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น เชื่อว่าเรามาถึง 80% ของการยุติการนองเลือดในครั้งนี้แล้ว"
ที่กรุงเคียฟ ประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี กล่าวว่า ข้อตกลงหยุดยิงจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายสามารถจัดเตรียมแผนแต่ละขั้นตอนเพื่อยุติสงครามครั้งนี้ รวมถึงการรับประกันด้านความมั่นคงปลอดภัยของยูเครน
เมื่อวันอังคาร เซเลนสกีชี้ว่า ข้อเสนอหยุดยิงที่สหรัฐฯ และยูเครนเห็นพ้องกันนั้น "เป็นทิศทางเชิงบวก" และหวังว่าสหรัฐฯ จะสามารถโน้มน้าวรัสเซียให้เห็นด้วยได้ เพื่อที่การหยุดยิงจะมีผลบังคับใช้ในทันที
ด้านนายกรัฐมนตรีเยอรมนี โอลาฟ โชลซ์ กล่าวยินดีต่อข้อเสนอหยุดยิง 30 วัน และว่าเป็นก้าวสำคัญและถูกต้องที่จะนำไปสู่สันติภาพในยูเครน
ทางโฆษกรัฐบาลรัสเซีย ดมิทริ เพสคอฟ กล่าวว่า รัสเซียกำลังรอฟังสรุปเกี่ยวกับข้อเสนอนี้จากทางสหรัฐฯ โดยที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ไมค์ วอลซ์ กล่าวว่า ตนจะเดินทางไปเจรจากับเจ้าหน้าที่รัสเซียในอีกไม่กีวันจากนี้
เนื้อหาบางส่วนจากเอพี เอเอฟพี และรอยเตอร์
สหภาพยุโรปประกาศในวันพุธว่าจะใช้มาตรการภาษีตอบโต้สหรัฐฯ และพุ่งเป้าไปที่สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม โดยท่าทีดังกล่าวเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่รัฐบาลอเมริกันขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมทั้งหมดในอัตรา 25%
อียู ซึ่งเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกใช้มาตรการขู่ครั้งนี้ ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างรัฐบาลวอชิงตันเเละยุโรป
เมื่อเดือนที่เเล้วรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตือนยุโรปว่าอาจจะต้องดูเเลเรื่องความมั่นคงด้วยตัวเองในอนาคต
การเตรียมใช้มาตรการภาษีตอบโต้สหรัฐฯ โดยอียูครั้งนี้ ครอบคลุมสินค้ามูลค่า 26,000 ล้านยูโร ซึ่งพุ่งเป้าไปที่ไม่ใช่เเต่เหล็กและอะลูมิเนียม แต่ยังรวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มาจากรัฐที่เป็นฐานเสียงพรรครีพับลิกันภายใต้การนำของทรัมป์ เช่นเนื้อวัวเเละสัตว์ปีกจากแคนซัส และเนบราสกา ตลอดจนวัสดุที่ทำจากไม้ที่จอร์เจียและแอลาบามา
การเดินเกมของฝ่ายยุโรปครั้งนี้ต้องการให้สหรัฐฯ รับรู้ถึงเเรงกดดันเฉพาะจุดที่หวังผลได้ และไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาคธุรกิจของอียูเองมากนัก
นอกจากนั้น สินค้าที่สหภาพยุโรปขู่จะเก็บภาษีเพิ่มจากสหรัฐฯ ยังประกอบด้วย เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน สิ่งทอ สินค้าเกษตร เหล้า เนยถั่วและเครื่องนุ่งห่มที่ใช้ผ้ายีนส์ โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้โดนมาตรการภาษีจากอียูในการบริหารประเทศสมัยเเรกของทรัมป์มาเเล้วเช่นกัน
ผู้ผลิตเหล้าของสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งเคยได้รับประโยชน์จากการไม่ต้องเสียภาษีสำหรับการส่งออกไปสู่ตลาดของทั้งสองฝ่าย ได้กลายมาเป็นกลุ่มที่รับเคราะห์ จากเเรงกระเพื่อมของความขัดเเย้งในประเด็นสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียม
คริส สวอเกอร์ ผู้บริหารสูงสุดของสมาคมการค้า Distilled Spirits Council ของอุตสาหกรรมนี้ กล่าวว่า การดำเนินการของอียู "น่าผิดหวังอย่างยิ่ง และบั่นทอนความพยายามที่สำเร็จในการส่งออกสินค้าเหล้าไปยังยุโรปอีกครั้งอย่างรุนเเรง"
เออร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวในเเถลงการณ์ว่า กลุ่มการค้าอียู "ยังคงเปิดทางสำหรับการเจรจาเสมอ"
เธอกล่าวว่า “เราเชื่ออย่างหนักเเน่นว่า ในโลกที่มีความไม่เเน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และทางเศรษฐกิจ การสร้างภาระต่อเศรษฐกิจของพวกเราด้วยภาษี ไม่ใช่ประโยชน์ที่มีร่วมกัน” และว่า "ภาษีเป็นเรื่องร้ายต่อธุรกิจ และยิ่งเลวร้ายต่อผู้บริโภค ภาษีเหล่านี้สั่นสะเทือนห่วงโซ่อุปทาน มันนำความไม่เเน่นอนมาสู่เศรษฐกิจ”
หอการค้าสหรัฐฯ แห่งยุโรป กล่าวว่า การตอบโต้ไปมาระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปที่กำลังเกิดขึ้น "มีเเต่จะทำร้ายการจ้างงาน ความมั่งคั่งและความมั่นคงของทั้งของฝั่งมหาสมุทรแอตเเลนติก"
ทรัมป์ ยืนยันตอบโต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันกับผู้สื่อข่าวในวันพุธว่า จะใช้มาตรการตอบโต้ทางภาษีต่อยุโรปเช่นกัน
ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวระหว่างประชุมกับนายกรัฐมนตรีไอร์แลนด์ ไมเคิล มาร์ติน ว่า "สหรัฐฯ จะนำสิ่งที่ถูกประเทศอื่นขโมยไปกลับคืนมา" "เราจะนำความมั่งคั่งคืนมา เราจะนำบริษัทต่าง ๆ กลับมา"
ทรัมป์ กล่าวว่า "เราจะใช้มาตรการตอบโต้ทางภาษี (ต่อสหภาพยุโรป) ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะเก็บภาษีกับเราเท่าไร เราจะเก็บกับพวกเขาเท่านั้นเช่นกัน"
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์สั่งเพิ่มกำแพงภาษีต่อแคนาดา เม็กซิโก และจีน และเตรียมขึ้นภาษีกับสหภาพยุโรป บราซิล และเกาหลีใต้ ในวันที่ 2 เมษายนนี้เช่นกัน
ที่มา: เอพี
หลังการประชุมในช่วงเช้าวันอังคารระหว่างตัวแทนของวอชิงตันและเคียฟที่ซาอุดีอาระเบีย รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยกเลิกการระงับความช่วยเหลือทางทหารและการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองกับยูเครน ขณะที่ ยูเครนส่งสัญญาณพร้อมรับข้อตกลงหยุดยิง 30 วันหากรัสเซียยอมรับข้อเสนอ
หลังการประชุมในช่วงเช้าวันอังคารระหว่างตัวแทนของวอชิงตันและเคียฟที่ซาอุดีอาระเบีย รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยกเลิกการระงับความช่วยเหลือทางทหารและการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองกับยูเครน ขณะที่ ยูเครนส่งสัญญาณพร้อมรับข้อตกลงหยุดยิง 30 วันหากรัสเซียยอมรับข้อเสนอ
สหรัฐฯ ระงับความช่วยเหลือดังกล่าวให้ยูเครนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อกดดันให้ประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี ยอมร่วมโต๊ะเจรจาข้อตกลงยุติสงครามที่เริ่มจากการรุกรานยูเครนโดยรัสเซียในช่วงต้นปี 2022
การยืนยันการตัดสินใจกลับมาให้ความช่วยเหลือทางทหารและข่าวกรองโดยสหรัฐฯ เกิดขึ้นหลังการประชุมที่นครเจดดาห์ ซาอุดีอาระเบีย ในวันอังคาร ที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โค รูบิโอ และที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบขาว ไมค์ วอลต์ซ ร่วมโต๊ะหารือกับ อันดรีย์ เยอร์มัก หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ของทำเนียบประธานาธิบดียูเครน พร้อมกับ อันดรี ซีบิฮา รัฐมนตรีต่างประเทศ รัสเตม อูเมรอฟ รัฐมนตรีกลาโหมและพาฟโล พาลิซา ผู้บัญชาการกองทัพ
นี่คือการประชุมครั้งแรกระหว่างสองฝ่าย นับตั้งแต่เกิดเหตุขึ้นเสียงโต้กันระหว่างปธน.ทรัมป์ และปธน.เซเลนสกี ที่ทำเนียบขาวเมื่อเกือบ 2 สัปดาห์ก่อน
อันดรีย์ เยอร์มัก หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ของทำเนียบประธานาธิบดียูเครน บอกกับผู้สื่อข่าวก่อนเริ่มประชุมว่า ยูเครนนั้นพร้อม “ที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สันติภาพ” และเมื่อถูกถามว่า ยูเครนกำลังพยายามหาการรับประกันด้านความมั่นคงอยู่หรือไม่ เยอร์มักตอบว่า “ใช่” และว่า ยูเครนต้องการที่จะมั่นใจว่า รัสเซียจะไม่ทำการรุกรานซ้ำอีกต่อไป
รมต.รูบิโอกล่าวว่า สหรัฐฯ จะส่งข้อเสนอหยุดยิงที่เป็นข้อสรุปจากการประชุมนี้ให้เครมลินต่อไป พร้อมระบุว่า “เราจะบอกพวกเขาว่า นี่คือทุกอย่างที่มีให้พิจารณา ยูเครนพร้อมที่จะหยุดยิงและเริ่มพูดคุยแล้ว และตอนนี้ ก็ขึ้นอยู่กับพวกเขา(รัสเซีย) ว่า จะตอบรับ หรือไม่”
ความคืบหน้าในการผลักดันให้เกิดสันติภาพในยุโรปนี้เกิดขึ้น หลังรัสเซียยิงโดรนจำนวน 343 ลำของยูเครนตก ในการโจมตีที่ได้ชื่อว่า รุนแรงที่สุดจากฝั่งกรุงเคียฟ นับตั้งแต่สงครามนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อกว่า 3 ปีก่อน ตามรายงานของเอพี
ยูเครนและสหรัฐฯ ยังไม่ได้ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับเหตุโจมตีดังกล่าวที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 10 แคว้นของรัสเซีย และทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 คนและบาดเจ็บ 18 คนซึ่งรวมถึงเด็ก 3 คน อ้างอิงข้อมูลจากเจ้าหน้าที่รัสเซีย
ขณะเดียวกัน รัสเซียส่งโดรน 126 ลำและยิงขีปนาวุธวิถีโค้งพิสัยไกลเข้าใส่ยูเครนด้วย ตามการเปิดเผยของกองทัพอากาศยูเครน
คำถาม: แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับข้อตกลงสินแร่หายาก?หนึ่งในหัวใจหลักของการเป็นตัวกลางของสหรัฐฯ ในการเจรจายุติสงครามนี้คือ สินแร่หายากของยูเครน หลังปธน.ทรัมป์แสดงความสนใจที่จะเดินหน้ามอบความช่วยเหลือทางทหารให้กรุงเคียฟ เพื่อแลกกับการที่สหรัฐฯ เข้าถึงทรัพยากรนี้ของยูเครน
สินแร่กว่า 40 ชนิด ซึ่งรวมถึงสินแร่ที่หายากหลายประเภท และนิกเกิลและลิเธียม คือ ทรัพยากรที่มีความสำคัญสำหรับเศรษฐกิจและงานด้านกลาโหมของสหรัฐฯ ขณะที่ ยูเครนมียูเรเนียม ลิเธียมและไทเทเนียมจำนวนมากอยู่ในมือ
ก่อนหน้าการประชุมที่เจดดาห์ รมต.รูบิโอชี้แจงว่า การบรรลุข้อตกลงด้านทรัพยากรสินแร่หายากของยูเครนนั้นไม่ใช่จุดประสงค์หลักในการหารือในวันอังคาร และระบุว่า “มีรายละเอียดมากมายที่ต้องหารือกัน และ ณ จุดนี้ เราเพียงอาจจะลงนามข้อตกลงที่เฉพาะเจาะจง มากกว่าทำบันทึกความเข้าใจ (MOU)”
รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวชื่นชมอังกฤษและฝรั่งเศสที่เข้ามามีบทบาทในการหารือกับยูเครน และบอกกับ วีโอเอ ด้วยว่า ยังไม่มีการหารือว่า จีนจะมีส่วนร่วมในกระบวนการฟื้นฟูและรักษาสันติภาพในยูเครนหลังสงครามสิ้นสุดลงหรือไม่
สำหรับฝั่งยูเครน เจ้าหน้าที่บอกกับเอพีว่า สิ่งที่เตรียมเสนอเข้าไปในแผนสงบศึกคือ การหยุดยิงในพื้นที่ต่าง ๆ ที่รวมถึงในทะเลดำ ซึ่งจะทำให้การเดินเรือปลอดภัยขึ้น และการหยุดใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลโจมตีพลเรือนในยูเครน รวมทั้งการปล่อยตัวเชลยศึกด้วย
เจ้าหน้าที่ 2 คนของยูเครนเปิดเผยด้วยว่า กรุงเคียฟพร้อมจะลงนามในข้อตกลงกับสหรัฐฯ เพื่อเปิดทางให้เข้าถึงสินแร่หายาก ตามที่ทรัมป์สนใจ
ข้อมูลบางส่วนมาจากเอพี เอเอฟพีและรอยเตอร์
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โค รูบิโอ เดินทางถึงเมืองเจดดาห์ แห่งซาอุดีอาระเบีย เพื่อเตรียมหารือกับตัวเเทนของยูเครน ในความพยายามให้เกิดเเนวทางยุติสงครามที่ดำเนินมากว่า 3 ปีหลังจากรัสเซียบุกยูเครน
แถลงการณ์อย่างเป็นทางการระบุว่าภารกิจต้องการ "ทำให้เกิดความคืบหน้าต่อเป้าหมายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อให้สงครามรัสเซีย-ยูเครนยุติลง"
การเยือนครั้งนี้เกิดขึ้น ไม่นานหลังจากที่ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีแห่งยูเครนพยายามฟื้นบรรยากาศตึงเครียดที่เกิดจากการพบกันระหว่างเขาและประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตันเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ โดยผู้นำยูเครนได้ส่งจดหมายเเสดงความสมานฉันท์ไปยังผู้นำสหรัฐฯ
ทรัมป์กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า "ผมคิดว่าเราไปได้ดีกับรัสเซีย เเต่ตอนนี้ พวกเขาทิ้งระเบิดลงยูเครนอย่างหนัก ส่วนยูเครนนั้นผมพบว่าดีลกับยูเครนได้ยากขึ้น"
หนึ่งในวิธีการที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใช้เพื่อให้ประเทศที่เกี่ยวข้องยอมเจรจากัน คือการระงับความช่วยเหลือทางทหารแก่กองทัพรัฐบาลเคียฟ และขู่ใช้มาตรการลงโทษต่อรัสเซีย
นักวิเคราะห์กล่าวว่า การผลักดันให้เกิดข้อตกลงเป็นสิ่งสำคัญทางการเมืองสำหรับทรัมป์
วิลเลียม พอเมอรานซ์ นักวิจัยอาวุโสแห่งสถาบันเคนเเนน (Kennan Institute) กล่าวว่า "เขาเดิมพันความเป็นประธานาธิบดีจากการให้เกิดความตกลงอย่างใดอย่างหนึ่ง และผมไม่ทราบ คือว่ามันมีตัวเเสดงมากมาย ระหว่างการเจรจาเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย ยูเครน และอียู"
คาดว่าที่เมืองเจดดาห์ การเจรจาระหว่างผู้เเทนสหรัฐฯ และยูเครนจะดำเนินไปจนถึงวันที่ 12 มีนาคม
นอกจากรัฐมนตรีรูบิโอแล้ว ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ไมค์ วอลต์ซ เป็นตัวเเทนอีกคนหนึ่งจากทำเนียบขาวที่ไปร่วมเจรจาที่ซาอุดีอาระเบีย
แหล่งข่าวจากรัฐบาลอเมริกันกล่าวว่า สิ่งที่ฝ่ายสหรัฐฯ มุ่งหวังให้เกิดขึ้นจากการประชุมครั้งนี้คือกรอบความตกลงสันติภาพและการหยุดยิงระหว่างรัสเซียเเละยูเครน
ก่อนหน้านี้ราว 3 สัปดาห์ สหรัฐฯ หารือกับรัสเซียที่กรุงริยาร์ด ในซาอุดีอาระเบียไปเเล้ว
ฝ่ายยูเครนระบุว่า "ตั้งใจอย่างเต็มที่" ที่จะให้เกิดการเจรจาอย่างสร้างสรรค์ กับสหรัฐฯ และหวังว่า "จะพูดคุยและตกลงกันในเรื่องที่ต้องตัดสินใจและก้าวย่างต่าง ๆ ที่สำคัญ"
ประธานาธิบดีเซเลนสกีกล่าวผ่านเเพลตฟอร์ม X เมื่อวันเสาร์ว่า "ยูเครนพยายามเเสวงหาสันติภาพตั้งเเต่วินาทีเเรกของสงครามครั้งนี้ ข้อเสนอที่เป็นไปตามสถานการณ์จริงวางอยู่บนโต๊ะเเล้ว กุญเเจสำคัญคือการเดินหน้าอย่างรวดเร็วและได้ผล"
และในเวลาเดียวกัน ผู้สนับสนุนยูเครนออกมาเเสดงพลังที่กรุงวอชิงตันเมื่อวันเสาร์ ส่วนเจ้าหน้าที่รัฐบาลเคียฟออกมาประณามการโจมตีหลายชุดของรัสเซียที่เขตดอแนตสก์รวมทั้งภูมิภาคอื่น ๆ
หลังจากซาอุดีอาระเบีย จุดหมายถัดไปของรัฐมนตรีรูบิโอคือเมืองชาร์เลอวัวซ์ ประเทศเเคนาดา ซึ่งเป็นเจ้าภาพการประชุมของกลุ่มจี7 ระหว่างวันที่ 12 - 14 มีนาคม
ทั้งนี้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ กลุ่มจี7 ประชุมนอกรอบที่เวที Munich Security Conference โดยรัฐมนตรีของประเทศสมาชิกออกเเถลงการณ์ร่วมที่ย้ำถึงความพยายามให้เกิด "สันติภาพที่คงทน" และ "ความจำเป็นที่จะสร้างการการันตีที่แข็งแกร่งด้านความมั่นคงต่อยูเครน"
แถลงการณ์ดังกล่าวระบุด้วยว่า "การใช้มาตรการลงโทษเพิ่มเติมใด ๆ หลังจากเดือนกุมภาพันธ์ ควรยึดโยงกับเรื่องที่ว่ารัสเซียดำเนินความพยายามที่จริงจังและจริงใจหรือไม่เพื่อทำให้เกิดการยุติลงอย่างยั่งยืนของสงครามกับยูเครน"
ที่มา: วีโอเอ
ประธานาธิบดียูเครน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี เดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียในวันจันทร์ และเข้าเฝ้าฯ เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุฯ ก่อนที่จะมีการเจรจาระหว่างผู้แทนของสหรัฐฯ และยูเครน เพื่อหาแนวทางยุติสงครามกับรัสเซีย
การเยือนซาอุฯ ครั้งนี้มีขึ้นในขณะที่สหรัฐฯ กำลังปรับเปลี่ยนนโยบายที่เกี่ยวกับสงครามยูเครนและรัสเซีย ด้วยการกดดันให้ทั้งสองฝ่ายเข้าสู่การเจรจาสันติภาพ พร้อมไปกับการตัดความช่วยเหลือทางทหารและด้านข่าวกรองที่ให้กับกรุงเคียฟ
ที่ผ่านมา ซาอุดีอาระเบียรับบทบาทสำคัญในการเป็นตัวกลางระหว่างยูเครนกับรัสเซีย รวมทั้งการไกล่เกลี่ยให้เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนเชลยศึก และเป็นเจ้าภาพการประชุมระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ เมื่อเดือนที่แล้ว
การเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และยูเครน จะมีขึ้นในวันอังคารนี้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกหลังจากเกิดการโต้เถียงกันระหว่างประธานาธิบดีเซเลนสกีกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ทำเนียบขาว เมื่อสองสัปดาห์ก่อน
คาดว่าการเจรจารอบนี้จะมุ่งเน้นหารือเรื่องการจัดทำข้อตกลงสินแร่ที่ชะงักไปหลังเหตุวิวาทะที่ทำเนียบขาว รวมทั้งแนวทางในการยุติสงครามในยูเครน
เซเลนสกียืนยันว่า ตนจะไม่เข้าร่วมในการเจรจาในวันอังคารนี้ แต่ส่งผู้แทนยูเครนไปแทน รวมทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศและรัฐมนตรีกลาโหมยูเครน ตลอดจนหัวหน้าคณะทำงานของตนและเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านการทหารของยูเครน
เซเลนสกีโพสต์ทางสื่อสังคมออนไลน์ X ว่า "เรายึดมั่นต่อการเจรจาอย่างสร้างสรรค์ และหวังว่าจะมีความตกลงในการตัดสินใจและขั้นตอนสำคัญต่าง ๆ" และว่า "ข้อเสนอที่ทำได้จริงนั้นวางอยู่บนโต๊ะแล้ว สิ่งสำคัญคือการเดินหน้าอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ"
ด้านเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กล่าวว่า จะใช้การเจรจาครั้งนี้เพื่อตัดสินใจว่ายูเครนมีความตั้งใจยุติสงครามกับรัสเซียมากน้อยแค่ไหน ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงคำพูด และไม่ใช่แค่สันติภาพ แต่เป็น "สันติภาพที่เป็นไปได้จริง"
เมื่อวันอาทิตย์ ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า ตนคาดหวังว่าจะเกิดผลลัพธ์ที่ดีจากการเจรจานี้ ขณะที่ สตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษของปธน.ทรัมป์ ชี้ว่า "ต้องการให้เกิดกรอบข้อตกลงสันติภาพ และการหยุดยิงในเบื้องต้น"
ก่อนหน้านี้ เซเลนสกีเรียกร้องให้เกิดการหยุดยิงทั้งทางอากาศและในทะเล รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนเชลยศึก ซึ่งจะเป็นบททดสอบความตั้งใจของรัสเซียในการยุติสงคราม แต่ทางรัสเซียปฏิเสธการจัดทำข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวดังกล่าว โดยบอกว่าเป็นเพียงการซื้อเวลาของรัฐบาลกรุงเคียฟเพื่อไม่ให้กองทัพยูเครนล่มสลาย
เซเลนสกีกล่าวด้วยว่า ยูเครนพร้อมทำข้อตกลงสินแร่กับสหรัฐฯ ที่จะนำไปสู่การจัดตั้งกองทุนร่วมของสองประเทศจากการขายสินแร่ในยูเครน ซึ่งทางรัฐบาลกรุงวอชิงตันเชื่อว่าจะเป็นส่วนสำคัญในการเดินหน้าสนับสนุนยูเครนต่อไป
และในขณะที่ความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ยังคงไม่แน่นอน ทางยูเครนได้หันหาพันธมิตรในยุโรปให้เพิ่มการสนับสนุนทางการเงินและการทหารเพื่อรับมือการโจมตีจากรัสเซียที่เข้มข้นยิ่งขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
ผู้นำยูเครนระบุว่า ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว รัสเซียได้ใช้ระเบิดนำวิถี 1,200 ลูก โดรนเกือบ 870 ครั้ง และจรวดกว่า 80 ลูก โจมตีใส่หลายพื้นที่ของยูเครน
ที่มา: รอยเตอร์
มาร์ค คาร์นีย์ อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางของแคนาดา ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคลิเบอรัล (Liberal Party) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลแคนาดา และได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แทนจัสติน ทรูโด
คาร์นีย์ วัย 59 ปี ได้รับชัยชนะเหนืออดีตรัฐมนตรีการคลัง คริสเทีย ฟรีแลนด์ ในการลงคะแนนเมื่อวันอาทิตย์ โดยมีสมาชิกพรรคกว่า 150,000 คนร่วมออกเสียง
คาร์นีย์จะเข้ารับตำแหน่งในช่วงเวลาที่ท้าทายของแคนาดา ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯ ที่เป็นพันธมิตรกันมาช้านาน และคำกล่าวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะรวมแคนาดาเข้ามาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ
จัสติน ทรูโด ประกาศไว้เมื่อเดือนมกราคมว่าจะลงจากตำแหน่งเพื่อเปิดทางให้กับผู้นำคนใหม่ หลังจากที่นั่งในตำแหน่งนายกฯ มานานกว่า 9 ปี และคะแนนนิยมเริ่มลดต่ำลงในช่วงหลัง ทำให้พรรคลิเบอรัลต้องเร่งเฟ้นหาผู้นำคนใหม่มาทำหน้าที่แทน
คาร์นีย์ ซึ่งถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน แต่เป็นหน้าใหม่ทางการเมือง กล่าวว่า ตนคือทางเลือกที่ดีที่สุดในการกู้ภาพลักษณ์ของพรรค และจัดการเจรจาการค้ากับประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้ใช้กำแพงภาษีข่มขู่แคนาดา
ระหว่างการหาเสียง คาร์นีย์กล่าวว่าตนจะใช้มาตรการตอบโต้กำแพงภาษีของสหรัฐฯ แบบตาต่อตา-ฟันต่อฟัน-ดอลลาร์ต่อดอลลาร์ พร้อมทั้งสนับสนุนการลงทุนในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาลง
ทำความรู้จัก 'มาร์ค คาร์นีย์'
มาร์ค คาร์นีย์ เคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติแคนาดา (Bank of Canada) ระหว่างปี 2008 - 2013 และผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติอังกฤษ (Bank of England) ระหว่างปี 2013 - 2020 ถือเป็นชาวต่างชาติคนแรกที่ได้เป็นผู้บริหารสูงสุดของธนาคารแห่งชาติอังกฤษ
ในปี 2020 คาร์นีย์รับตำแหน่งผู้แทนพิเศษของสหประชาชาติด้านสภาพภูมิอากาศและการเงิน
เขาจบการศึกษาปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์เช่นกัน จากมหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด และเคยเป็นผู้บริหารของธนาคารโกลด์แมนแซคส์ นาน 13 ปี
ที่ผ่านมา คาร์นีย์คือตัวเต็งตำแหน่งหัวหน้าพรรคคนใหม่ และได้รับเสียงสนับสนุนมากที่สุดจากบรรดาสมาชิกพรรคลิเบอรัล
ชัยชนะของเขาในครั้งนี้ยังถือเป็นครั้งแรกที่บุคคลผู้ไม่มีภูมิหลังทางการเมืองสามารถก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของแคนาดาได้
ที่มา: รอยเตอร์ และเอพี
อิสราเอลและฮามาสต่างส่งสัญญาณความพร้อมเมื่อวันเสาร์ ว่า ต่างพร้อมที่จะเข้าร่วมการเจรจาหยุดยิงรอบใหม่แล้ว ขณะที่ ตัวกลางการเจรจาพยายามผลักดันให้เกิดการหารือเรื่องนี้เพื่อขยายเวลาการหยุดยิง 42 วันที่เริ่มต้นเมื่อเดือนมกราคมให้มีผลบังคับต่อไปอีกสักพัก ตามรายงานของรอยเตอร์
รายงานข่าวเปิดเผยว่า กลุ่มติดอาวุธฮามาสกล่าวว่า มี “สัญญาณบ่งชี้เชิงบวก” เกี่ยวกับการเริ่มต้นของการหารือการหยุดยิงเฟส 2 แล้ว แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดใด ๆ เพิ่มเติม
ฝ่ายอิสราเอลก็แสดงจุดยืนคล้าย ๆ กัน โดยสำนักงานนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู กล่าวว่า “อิสราเอลยอมรับคำเชิญของตัวกลางการเจรจาที่สหรัฐฯ หนุนหลังอยู่ และจะส่งคณะตัวแทนไปยังโดฮาในวันจันทร์เพื่อช่วยการเจรจาเดินหน้าต่อไปได้”
รอยเตอร์ระบุว่า คณะผู้แทนจากฮามาสได้เริ่มต้นการหารือการหยุดยิงที่กรุงไคโร กับตัวกลางเจรจาฝ่ายอียิปต์ที่พยายามประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของกาตาร์ในการนำพาทุกฝ่ายเข้าสู่โต๊ะเจรจารอบใหม่ที่ถูกตั้งความหวังไว้ว่า จะเปิดทางไปสู่การยุติของสงครามเสียที
อับเดล-ลาติฟ อัล-คานูอา โฆษกของฮามาส ระบุในแถลงการณ์ว่า “เรายืนยันความพร้อมที่จะเข้าร่วมการเจรจาในเฟสที่ 2 ที่ตรงตามความต้องการของผู้คนของเรา และเราเรียกร้องให้มีการยกระดับความพยายามในการช่วยเหลือฉนวนกาซ่า และยกเลิกการปิดกั้น(การส่งความช่วยเหลือต่อ)ผู้คนที่กำลังทนทุกข์ทรมานอยู่ด้วย”
ฮามาสยังได้ออกแถลงการณ์ฉบับถัดมาที่เปิดเผยรายละเอียดการประชุมระหว่างตัวแทนของกลุ่มกับหัวหน้าหน่วยงานข่าวกรองของอียิปต์ด้วย และยืนยันว่า ทางกลุ่มได้อนุมัติการจัดตั้งคณะกรรมการ “แห่งชาติและเป็นอิสระ” เพื่อมาทำหน้าที่บริหารกาซ่าจนกว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น
ประธานาธิบดีอับเดล ฟัตตาห์ เอล-ซิสซี แห่งอียิปต์ เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า กรุงโคโรได้ทำงานประสานกับปาเลสไตน์ในการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารที่ประกอบด้วยผู้ชำนาญการชาวปาเลสไตน์ที่เป็นมืออาชีพเละเป็นอิสระ เพื่อรับหน้าที่บริหารจัดการฉนวนกาซ่าหลังสงครามอิสราเอล-ฮามาสสิ้นสุดลง
คำกล่าวของผู้นำอียิปต์มีออกมาในช่วงการประชุมสุดยอดอาหรับที่เลือกสนับสนุนแผนการฟื้นฟูกาซ่าของอียิปต์ แทนแผนงานวิสัยทัศน์ “ริเวียราแห่งตะวันออกกลาง” ของทรัมป์
เงื่อนไขของการหยุดยิง
ข้อตกลงหยุดยิงอิสราเอล-ฮามาสที่เริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคมระบุให้มีการปล่อยตัวประกัน 59 คนที่อยู่ในมือกลุ่มติดอาวุธนี้ในช่วงเฟสที่ 2 ซึ่งจะเป็นช่วงที่มีการเจรจาหารือการยุติสงครามที่เริ่มต้นตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2023
เฟสแรกของข้อตกลงนี้เพิ่งสิ้นสุดไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และอิสราเอลก็ได้สั่งปิดกั้นการนำส่งความช่วยเหลือต่าง ๆ เข้าไปในกาซ่าทันที พร้อมเรียกร้องให้ฮามาสทำการปล่อยตัวประกันที่เหลือทั้งหมดโดยไม่ต้องรอการเริ่มต้นการเจรจายุติสงครามนี้
ตั้งแต่มีการพักรบเมื่อวันที่ 19 มกราคม ฮามาสได้ปล่อยตัวประกันที่เป็นชาวอิสราเอลออกมา 33 คนและชาวไทย 5 คน เพื่อแลกกับนักโทษชาวปาเลสไตน์ราว 2,000 คน
การสู้รบที่ยังดำเนินต่อไป
ขณะเดียวกัน อิสราเอลทำการโจมตีทางอากาศเข้าใส่เมืองราฟาห์ ทางใต้ของกาซ่า ในวันเสาร์ ทำให้ชาวปาเลสไตน์ 2 คนเสียชีวิต ตามการเปิดเผยของทีมแพทย์
กองทัพอิสราเอลรายงานว่า เครื่องบินของตนได้ยิงโดรนที่บินข้ามจากฝั่งอิสราเอลเข้ามายังพื้นที่ภาคใต้ของกาซ่า และโจมตี “ผู้ต้องสงสัยหลายราย” ที่พยายามเก็บซากโดรนที่ว่าด้วย
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังการโจมตีด้วยโดรนของอิสราเอลทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 รายในกาซ่าเมื่อวันศุกร์ โดยกองทัพอิสราเอลกล่าวว่า เป็นการโจมตีนักรบติดอาวุธที่ต้องสงสัยว่าดำเนินปฏิบัติการใกล้ ๆ ที่ตั้งของทหารของตนทางตอนเหนือของกาซ่า และทำการวางระเบิดตามพื้นในบริเวณที่ว่าด้วย
สงครามที่เริ่มต้นจากการโจมตีโดยฮามาสเข้าใส่อิสราเอลเมื่อ 7 ตุลาคม ปี 2023 ซึ่งอิสราเอลระบุว่า ทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 1,200 คนและมีการจับตัวประกันไปกว่า 250 คน นำมาซึ่งการโจมตีตอบโต้โดยกองทัพกรุงเทลาอาวีฟเข้าไปในฉนวนกาซ่าที่ทำให้มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตแล้วกว่า 48,000 คน อ้างอิงข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขกาซ่า ขณะที่ ประชากรของกาซ่าเกือบทั้งหมดต้องกลายเป็นคนพลัดถิ่น และมีการกล่าวหาว่า อิสราเอลพยายามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และก่ออาชญากรรมสงครามอันเป็นคำกล่าวหาที่ฝ่ายเทลอาวีฟปฏิเสธมาโดยตลอด
ที่มา: รอยเตอร์
บล็อกเกอร์ที่ติดตามสถานการณ์สงครามทั่วโลกรายงานว่า กองกำลังพิเศษของรัสเซียได้เริ่มปฏิบัติการเคลื่อนพลตามแนวท่อส่งก๊าซใกล้ ๆ กับเมืองซุดชา (Sudzha)ในแคว้นเคิร์สก เพื่อพยายามยึดพื้นที่ที่กองทัพยูเครนยึดไว้กลับมาเป็นของตน ตามแผนงานเชิงรุกครั้งสำคัญเพื่อขับไล่ทหารยูเครนออกจากอาณาเขตของตน ตามรายงานโดยสำนักข่าวรอยเตอร์
กลยุทธดังกล่าวของรัสเซียเป็นหนึ่งในแผนการที่พุ่งเป้าจัดการกับกองทัพกรุงเคียฟที่เข้ามายึดอาณาเขตรัสเซียไว้ ก่อนที่ยูเครนจะกลับไปร่วมหารือกับสหรัฐฯ ในประเด็นข้อตกลงสันติภาพเพื่อยุติสงครามที่เกิดจากการรุกรานของกองทัพมอสโกและดำเนินมากว่า 3 ปีนี้
กองกำลังยูเครนสามารถยึดพื้นที่ราว 1,300 ตารางกิโลเมตรในแคว้นเคิร์สกของรัสเซียได้เมื่อเดือนสิงหาคม ตามแผนการหาไพ่ต่อรองเพื่อใช้ในการเจรจาในอนาคต และเพื่อบีบรัสเซียให้ถอนกำลังออกจากอาณาเขตทางตะวันออกของยูเครน
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา รัสเซียประสบความสำเร็จบ้างในการยึดดินแดนของตนคืน โดยรอยเตอร์ระบุว่า ข้อมูลแผนที่จากแหล่งข้อมูลเปิด ณ วันศุกร์ที่ผ่านมาชี้ว่า ทัพของยูเครนในแคว้นเคิร์สกกำลังเกือบถูกล้อมรอบโดยหน่วยรบเคลื่อนที่เร็วของรัสเซียแล้ว
ยูริ โพโดลยากา นักบล็อกเกอร์ที่เกิดที่ยูเครนแต่มีจุดยืนสนับสนุนรัสเซีย กล่าวว่า กองกำลังพิเศษรัสเซียได้คืบคลานผ่านด้านในของท่อส่งก๊าซขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 เมตร เป็นระยะทางเกือบ 16 กิโลเมตรเข้าใกล้ที่ตั้งของทัพยูเครน และหลบซ่อนอยู่ภายในท่อเพื่อรอโจมตีศัตรูใกล้ ๆ เมืองซุดชาอยู่
บล็อกเกอร์ที่รายที่ใช้ชื่อว่า Two Majors กล่าวด้วยว่า การสู้รบครั้งใหญ่กำลังจะปะทุขึ้นในเมืองดังกล่าว และกองกำลังรัสเซียได้ใช้ประโยชน์จากท่อส่งก๊าซเพื่อเตรียมโจมตียูเครนแบบไม่ทันตั้งตัวแล้ว
ขณะเดียวกัน แถลงการณ์จากกองกำลังจู่โจมทางอากาศของยูเครนระบุว่า ทหารรัสเซียได้ใช้ท่อส่งก๊าซของตนเพื่อหวังใช้เป็นจุดตั้งหลัก แต่ฝ่ายตนก็สามารถตรวจจับเจอได้ทันและยิงจรวด ปืนใหญ่และส่งโดรนเข้าโจมตีแล้ว
ข้อมูลจากเสนาธิการทหารยูเครนในช่วงบ่ายวันอาทิตย์เผยว่า กองกำลังยูเครนได้สกัดการโจมตี 15 จุดโดยรัสเซียในพื้นที่เคิร์สกไปได้ ขณะที่ มีการปะทะกันอยู่ 6 จุดที่ยังดำเนินอยู่
และแม้มอสโกจะยังไม่ได้ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับปฏิบัติการท่อส่งก๊าซที่ว่า พลตรีอัปติ อลาอูดินอฟ ผู้บัญชาการกองกำลังพิเศษอัคห์มัตของเชชเนีย นำภาพเจ้าหน้าที่กองกำลังพิเศษของรัสเซียภายในท่อก๊าซขึ้นมาโพสต์อีกครั้งทางเทเลแกรม พร้อมเขียนข้อความว่า “ผมแปลกใจที่มีคนคิดว่า รัสเซียอาจเป็นฝ่ายพ่ายแพ้”
บัญชีเทเลแกรมของรัสเซียได้โพสต์ภาพคล้าย ๆ กันที่แสดงให้ปฏิบัติการของกำลังพิเศษภายในท่อขนาดใหญ่เช่นกัน
รอยเตอร์ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า ภาพและข้อมูลทั้งหมดที่ว่านั้นเป็นของจริงหรือไม่
ท่อก๊าซที่ตกเป็นข่าวนี้เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยของสหภาพโซเวียตที่ใช้เพื่อนำส่งก๊าซจากทางตะวันตกของไซบีเรีย ผ่านเมืองซุดชา เพื่อส่งไปยังยูเครน แต่ยูเครนได้ยกเลิกการส่งก๊าซจากรัสเซียทั้งหมดผ่านอาณาเขตของประเทศตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 มกราคมแล้ว
ทั้งนี้ การรุกคืบของรัสเซียในปีที่ผ่านมาและนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่เกี่ยวกับยูเครนและรัสเซียทำให้เกิดความกลัวในหมู่ผู้นำยุโรปว่า ยูเครนจะกลายเป็นฝ่ายปราชัยในสงครามนี้ และทรัมป์จะหันหลังให้กับยุโรป
ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้สั่งระงับความช่วยเหลือทางทหารและการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองให้กับยูเครนไปแล้ว หลังการประชุมระหว่างทรัมป์และประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ที่ทำเนียบขาวเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ กลายมาเป็นการขึ้นเสียงโต้แย้งกันต่อหน้าสื่อมวลชนและจบลงด้วยการไม่ลงนามข้อตกลงสินแร่หายากดังที่มีการวางแผนไว้
ที่มา: รอยเตอร์
ในยุคที่หน่วยชั่งตวงวัดแบบเมตริกครองโลก หนึ่งในมรดกหน่วยวัดแบบอิมพีเรียลของอังกฤษที่หลงเหลืออยู่ นอกจากจะเห็นได้ในสหรัฐฯ แล้ว อีกที่หนึ่งที่ยังเห็นได้ก็คือตามผับบาร์ในอังกฤษเองในรูปแบบแก้ว ‘ไพน์ท’
หน่วยไพน์ท (Pint) เทียบเท่ากับ 16 ออนซ์ หรือ 473 มิลลิลิตรกว่า ๆ คือหน่วยวัดแบบอังกฤษที่ยังคงใช้งานกันอยู่ หลังอังกฤษเปลี่ยนระบบมาตรวัดให้เป็นแบบเมตริกตั้งแต่ปี 1965 ส่งผลให้ ‘เมตร’ เข้ามาแทนที่ ‘ฟุต’ และ ‘กรัม’ เข้ามาแทนที่ ‘ปอนด์’
หลังอังกฤษมีมติออกจากสหภาพยุโรปในปี 2020 หรือที่เรียกกันในชื่อ ‘เบรกซิท (Brexit)’ ก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า อังกฤษจะหวนกลับมาใช้ระบบตวงวัดแบบอังกฤษหรือไม่ ซึ่งรัฐบาลอนุรักษ์นิยมก็ตัดสินใจไม่หวนกลับเส้นทางเดิม แต่ยกเว้นสินค้าบางประเภทเช่นผัก ผลไม้ตามตลาด รวมถึงเบียร์ที่ยังให้ใช้มาตรวัดอังกฤษ
หนึ่งในควันหลงหนึ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการถกเถียงนี้ก็คือข้อกล่าวหาจากพรรคอนุรักษ์นิยม ที่บอกว่า ข้อเสนอเรื่องหน่วยชั่งตวงจากรัฐบาลพรรคแรงงานมีวัตถุประสงค์ให้ผับบาร์เลิกขายเบียร์เป็นไพน์ท
การถกเถียงดำเนินไปจนกระทั่งเมื่อวันพุธที่ผ่านมา สภาขุนนาง (House of Lord) ซึ่งเป็นสภาสูงในระบบรัฐสภาอังกฤษ มีมติรับรองกฎหมายคุ้มครองการใช้หน่วยไพน์ทในผลิตภัณฑ์นม เบียร์ หรือไซเดอร์ ตามรายงานในเอเอฟพี
นั่นหมายความว่า ผับยังคงสามารถเสิร์ฟเบียร์ให้ลูกค้าในหน่วยไพน์ทได้
หากมองด้วยสายตาของคนภายนอก อาจจะมีคำถามว่า สภาสถานในกรุงลอนดอนยิ่งใหญ่เกินไปที่จะเถียงกันในเรื่องยิบย่อยแบบนี้หรือไม่
คำตอบสั้น ๆ อาจจะอยู่ในคำว่า ‘วัฒนธรรม’
ส่วนคำตอบที่ยาวกว่านี้คืออรรถาธิบายจากผู้แทนในสภา เช่น ลอร์ดแอนดรูว ชาร์พ จากพรรคอนุรักษ์นิยม ที่บอกว่าไพน์ทไม่ใช่แค่มาตรวัด แต่ผูกพันกับประวัติศาสตร์ และเป็น “ส่วนหนึ่งของมรดกของพวกเรา”
ชาร์พยกตัวอย่างคำพูดสุดฮิตในสังคมเมืองผู้ดี คือ “Fancy a pint?” หรือแปลได้ว่า “สนใจสักไพน์ทมั้ย” ซึ่งอาจเทียบได้กับคำว่า “สักกรึ๊บมั้ย” ในบริบทสยามประเทศ
ท้ายที่สุด แม้กระทั่งรัฐบาลเองก็ยังสนับสนุนการคงไว้ซึ่งหน่วยไพน์ท
ลอร์ดซันนี เลียง จากพรรคแรงงานซึ่งเป็นรัฐบาลอยู่ ระบุว่า “ด้วยสภาพอากาศที่ดีขึ้นสักที กระผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผับทั้งประเทศจะเต็มไปด้วยลูกค้าที่มาหาความสุขกับเบียร์หรือไซเดอร์” และทิ้งท้ายด้วยว่า ‘ไพน์ท’ ยังคงปลอดภัยและอยู่คู่อังกฤษต่อไป
ที่มา: เอเอฟพี
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ระบุในวันศุกร์ว่าจะลงโทษรัสเซียขนานใหญ่ด้วยกำแพงภาษีและมาตรการการเงิน พร้อมเรียกร้องให้ยูเครน-รัสเซีย เข้ามาเริ่มเจรจาสันติภาพ ตามการรายงานของรอยเตอร์
ท่าทีของผู้นำสหรัฐฯ เกิดขึ้นหลังรอยเตอร์รายงานในวันจันทร์ว่าทำเนียบขาวอาจเตรียมผ่อนปรนการคว่ำบาตรรัสเซีย เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตและเศรษฐกิจ รวมถึงผลักดันให้ยุติสงครามในยูเครน
ในวันศุกร์ ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “หากพวกเขา (รัสเซียและยูเครน) ไม่ต้องการจะจบ เราจะออกมาจากที่นั่น เพราะเราต้องการให้พวกเขาจบ”
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์โพสต์บนแพลตฟอร์มทรูธ โซเชียลว่า “จากข้อเท็จจริงที่รัสเซีย “กำลังกระหน่ำ” ยูเครนเต็มที่ในสนามรบตอนนี้ ผมกำลังพิจารณาอย่างหนักเรื่องการลงโทษด้านการธนาคาร การคว่ำบาตร และกำแพงภาษีขนานใหญ่กับรัสเซียจนกว่า (จะมี) การหยุดยิง และบรรลุข้อสรุปข้อตกลงสันติภาพ”
ขณะนี้กองกำลังรัฐบาลมอสโกแทบจะสามารถปิดล้อมทหารยูเครนหลายพันคนที่บุกเข้าไปในแคว้นเคิรสก์เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธการที่กรุงเคียฟหวังจะใช้เป็นหนึ่งในแต้มต่อบนเวทีเจรจาสันติภาพใด ๆ ที่จะเกิดขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น ฝ่ายรัสเซียยังสร้างความเสียหายแก่โครงสร้างด้านพลังงานในยูเครนเพิ่มอีกในการโจมตีด้วยจรวดครั้งใหญ่ หลังสหรัฐฯ ระงับการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองให้กับยูเครน
ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ที่กำลังมองหาแรงสนับสนุนจากชาติตะวันตกอื่น ๆ จากการที่สหรัฐฯ ปรับท่าทีเข้าหารัสเซียมากขึ้น เรียกร้องให้รัสเซียหยุดการโจมตีที่ดำเนินอยู่
ผู้นำยูเครนระบุในแอปพลิเคชั่นเทเลแกรมว่า “ขั้นตอนแรกในการสร้างสันติภาพที่แท้จริงควรเป็นการบีบให้ต้นตอหนึ่งเดียวของสงครามนี้ ก็คือรัสเซีย ให้หยุดการโจมตี”
รัสเซียเผชิญกับมาตรการลงโทษจากนานาประเทศนับตั้งแต่รุกรานยูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2022 รวมถึงจากสหรัฐฯ ที่พยายามจำกัดรายได้จากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของรัสเซีย
เซเลนสกีกล่าวในวันพฤหัสบดีนี้ว่า จะเดินทางไปพบกับมกุฏราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน แห่งซาอุดีอาระเบียในวันจันทร์หน้า ซึ่งจะตามมาด้วยการพูดคุยระหว่างเจ้าหน้าที่ของยูเครนและสหรัฐฯ ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดระหว่างทรัมป์และเซเลนสกี
สตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษของทรัมป์ยืนยันว่าจะมีการพูดคุยกับยูเครนที่ซาอุดีอาระเบีย
ก่อนหน้านี้ วิตคอฟฟ์ได้พูดคุยกับทางการรัสเซียแล้ว และกำลังหารือกับยูเครนเกี่ยวกับกรอบข้อตกลงยุติสงครามที่กินเวลามาแล้วสามปี และรัสเซียกำลังยึดครองดินแดนของยูเครนอยู่ราวหนึ่งในห้า
ที่ผ่านมา รัฐบาลกรุงเคียฟกดดันให้สหรัฐฯ ให้การรับรองด้านความปลอดภัยในฐานะส่วนหนึ่งของข้อตกลงเข้าถึงแร่หายาก ซึ่งอาจปูทางไปสู่การยุติสงคราม แต่ถูกสหรัฐฯ ปัดตกไป โดยทรัมป์เชื่อว่าการให้สหรัฐฯ เข้าถึงสินแร่หายากในยูเครนนั้นถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับการประกันความปลอดภัย
ที่มา: รอยเตอร์
Washington — ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่าเขาต้องการเจรจานิวเคลียร์กับอิหร่าน และได้ส่งจดหมายไปยังผู้นำกรุงเตหะรานในวันพฤหัสบดี โดยระบุว่าเขาหวังว่าประเทศที่เป็นคู่อริกับสหรัฐฯ มายาวนานเเห่งนี้จะยอมร่วมวงหารือ
"ผมหวังว่าคุณจะมาเจรจา เพราะมันจะดีกว่ามากสำหรับอิหร่าน" ทรัมป์กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสื่อ Fox Business Network ในวันศุกร์
"ผมคิดว่าพวกเขาอยากจะได้รับจดหมาย อีกทางเลือกหนึ่งคือเราต้องทำอะไรบางอย่าง เพราะคุณไม่สามารถปล่อยให้มีอาวุธนิวเคลียร์อื่น ๆ อีก"
รอยเตอร์รายงานว่ายังไม่มีปฏิกิริยาออกมาจากกระทรวงการต่างประเทศของรัฐบาลเตหะราน ในช่วงสุดสัปดาห์เมื่อนักข่าวถามความเห็นไปที่อิหร่านเกี่ยวกับถ้อยเเถลงของผู้นำสหรัฐฯ
จดหมายที่ทรัมป์ระบุน่าจะถูกส่งถึง อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน
อย่างไรก็ตามทำเนียบขาวของสหรัฐฯ ไม่ได้ตอบกลับการขอความเห็นจากนักข่าวโดยทันที
ทรัมป์กล่าวว่าวิธีที่จะดำเนินการกับอิหร่านมีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่าง วิธีทางทหารและการเจรจาเพื่อให้เกิดความตกลง
"เพราะผมไม่ต้องการทำร้ายอิหร่าน" ทรัมป์กล่าว และยังได้ชื่มชมชาวอิหร่านด้วยว่า "ยอดเยี่ยม"
ที่ผ่านมาประธานาธิบดีทรัมป์ รื้อเเนวทางด้านต่างประเทศของสหรัฐฯ
เขามีนโยบายประสานประโยชน์มากขึ้นกับรัสเซีย ซึ่งสร้างความกังลต่อชาติตะวันตก โดยทรัมป์พยายามเป็นตัวกลางเพื่อให้สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่กินเวลามานาน 3 ปี จบลง
ในปี 2018 ภายใต้การบริหารประเทศสมัยเเรกของเขา ทรัมป์ได้ถอนสหรัฐฯ ออกจากความตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน ซึ่งเป็นความพยายามของหลายฝ่ายที่ต้องการให้รัฐบาลเตหะรานเลิกพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
เมื่อเดือนที่แล้ว ทรัมป์กล่าวว่าตนต้องการมีข้อตกลงกับอิหร่าน เพื่อให้รัฐบาลเตหะรานล้มเแผนการผลิตอาวุธดังกล่าว
รัสเซียเคยเสนอเป็นตัวกลาง หากเกิดการเจรจาขึ้นตามรายงานของรอยเตอร์ที่อ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อในวันอังคาร
ที่มา: รอยเตอร์
กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ยอมรับกับวีโอเอว่า ได้ติดต่อประสานงานกับไทยหลายครั้งเพื่อเลี่ยงการส่งชาวอุยกูร์กลับไปจีน ซึ่งรวมถึงการเสนอรับตัวไปยังสหรัฐฯ ทีมโฆษก กต. ระบุว่า “เราร่วมงานกับไทยมาหลายปีเพื่อเลี่ยงสถานการณ์นี้ รวมถึงการเสนออย่างสม่ำเสมอและซ้ำไปซ้ำมาเรื่องการให้ชาวอุยกูร์ไปตั้งรกรากในประเทศอื่น รวมถึงสหรัฐฯ ด้วย ณ จุดหนึ่ง”



