Discoverนิทานชาดก
นิทานชาดก
Claim Ownership

นิทานชาดก

Author: 072

Subscribed: 154Played: 1,881
Share

Description

นิทานชาดก ได้รับการสนับสนุนโดย คุณบุญชัย เบญจรงคกุล

คนในโลกนี้อยากทำดี อยากเป็นคนดีทุกคน แต่เพราะไม่มีต้นแบบดีๆ เป็นแบบอย่าง จึงต่างคิดหามาตรฐานทำความดี ต่างๆ กันไป ที่พอมีปัญญาก็ทำดีถูกวิธีได้สั่งสมความดีเป็นบารมี ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นคน แต่ที่มีปัญญาน้อย เห็นผิดเป็นชอบก็หลงทาง ขาดทุนไปชาติหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้เราจึงควรศึกษาต้นแบบการทำความดีจาก "ชาดก" เพื่อเป็นแบบอย่าง ในการศึกษาปลูกฝังศีลธรรมผ่านเรื่องราวของบรมครูผู้เป็นต้นแบบคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อครั้งท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ในเรื่องราวของชาดก
210 Episodes
Reverse
ครั้งหนึ่ง ณ เมืองสาวัตถี เศรษฐีอนาถบิณฑิกะเป็นผู้มีศรัทธาแรงกล้า ชอบถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์เป็นนิตย์ ถึงขนาดที่บ้านของท่านมีอาหารพร้อมสำหรับพระภิกษุ 500 รูปอยู่เสมอ เปรียบเสมือนบ่อน้ำสำหรับหมู่สงฆ์วันหนึ่ง พระราชาเสด็จประทักษิณพระนครและทรงเห็นพระภิกษุสงฆ์จำนวนมากที่บ้านเศรษฐีอนาถบิณฑิกะ เมื่อทรงทราบว่าเศรษฐีถวายภัตตาหารแด่ภิกษุ 500 รูปเป็นประจำ พระองค์ก็ปรารถนาจะทำเช่นนั้นบ้าง นับแต่นั้นมา พระราชาจึงทรงให้ข้าหลวงจัดภัตตาหารเลิศรสถวายพระภิกษุ 500 รูปในพระราชนิเวศทุกวันแต่กลับเกิดเรื่องน่าแปลกใจขึ้น แม้ภิกษุทั้งหลายจะมารับภัตตาหารอันโอชะจากในวัง แต่พวกท่านกลับไม่ฉัน ณ ที่นั้นเลย ท่านนำภัตตาหารรสเลิศเหล่านั้นไปยังบ้านของอุบาสกอุบาสิกาผู้คุ้นเคย แล้วมอบอาหารจากวังให้แก่คนเหล่านั้น จากนั้นจึงฉันภัตตาหารที่อุบาสกอุบาสิกาผู้คุ้นเคยถวายให้แทนเมื่อวันหนึ่ง ข้าหลวงไม่พบพระภิกษุรูปใดในโรงภัตตาหารของวัง พระราชาจึงทรงสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุใดภิกษุทั้งหลายจึงทำเช่นนั้น ในเมื่ออาหารที่พระองค์ถวายล้วนเป็นอาหารรสเลิศ พระองค์จึงเสด็จไปเฝ้าพระศาสดาที่พระวิหารเชตวัน และทูลถามถึงสาเหตุพระศาสดาทรงตรัสอธิบายว่า "การบริโภคอาหารนั้น ความคุ้นเคยกันเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพราะในพระราชวังของพระองค์ไม่มีผู้ที่ได้ทำความคุ้นเคยกันอย่างสนิทสนม ภิกษุทั้งหลายจึงไปฉันในที่ที่พวกท่านคุ้นเคย" เพื่อให้พระราชาทรงเข้าใจยิ่งขึ้น พระศาสดาจึงทรงนำเรื่องในอดีตกาลมาสาธก (เล่าชาดก) ดังนี้:ในอดีตนานมาแล้ว เมื่อครั้งพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์ ณ กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ (พระพุทธเจ้าในชาติก่อน) ได้มาเกิดเป็นมาณพนามว่า "กัปปกุมาร" กัปปกุมารเติบโตขึ้นและภายหลังได้บวชเป็นฤๅษี และเป็นศิษย์เอกของพระเกศวดาบส ผู้มีศิษย์ 500 รูป อัธยาศัยใจคอของกัปปดาบสนั้นเป็นที่ถูกใจพระเกศวดาบสอย่างยิ่ง ทำให้ดาบสทั้งสองสนิทสนมคุ้นเคยกันมากวันหนึ่ง พระเกศวดาบสพาลูกศิษย์เข้าเมืองพาราณสีเพื่อบิณฑบาต และได้พำนักในพระราชอุทยาน พระราชาทรงเลื่อมใสจึงนิมนต์ให้ฉันอาหารในวัง และให้พำนักอยู่ในพระราชอุทยานตลอดฤดูฝน เมื่อพ้นฤดูฝน พระเกศวดาบสทูลลาเพื่อกลับหิมวันต์ประเทศ แต่พระราชากลับขอให้ท่านอยู่ต่อ โดยให้ศิษย์คนอื่นๆ รวมถึงกัปปดาบสกลับไปก่อน ด้วยเห็นว่าพระเกศวดาบสชราแล้วแต่เมื่อพระเกศวดาบสต้องอยู่ห่างจากกัปปดาบสผู้คุ้นเคย ท่านก็รู้สึกรำคาญใจ คิดถึงศิษย์ผู้นั้นจนนอนไม่หลับ และล้มป่วยลงอย่างหนัก แพทย์หลวงทั้งห้าตระกูลที่พระราชาส่งมารักษา ก็ไม่สามารถหาสาเหตุหรือรักษาให้หายได้ เมื่อพระราชาทรงซักถาม พระเกศวดาบสจึงเปิดเผยว่า ตนป่วยเพราะคิดถึงกัปปดาบส และขอให้ส่งตนกลับไปยังหิมวันต์ประเทศพระราชาทรงให้ "นารทอำมาตย์" ไปส่งพระเกศวดาบสกลับหิมวันต์ประเทศพร้อมกับพวกพรานป่า ทันทีที่พระเกศวดาบสได้เห็นกัปปดาบสเท่านั้น ความรำคาญใจและความทุกข์ก็สงบลง กัปปดาบสได้ถวายยาคูที่หุงด้วยข้าวฟ่างและลูกเดือย พร้อมกับผักต้มที่ปรุงด้วยน้ำเปล่าไม่เค็ม โรคของพระเกศวดาบสก็ทุเลาลงทันทีเมื่อนารทอำมาตย์กลับไปรายงานอาการ พระราชาทรงเป็นห่วงจึงส่งท่านกลับไปดูอาการอีกครั้ง นารทอำมาตย์พบว่าพระเกศวดาบสหายป่วยแล้วอย่างน่าอัศจรรย์ จึงทูลถามว่าเหตุใดอาหารง่ายๆ ของกัปปดาบสจึงรักษาโรคที่แพทย์หลวงไม่สามารถทำได้พระเกศวดาบสจึงตรัสว่า "อาหารจะดีหรือไม่ดีนั้น ขึ้นอยู่กับบุคคลผู้คุ้นเคยกันและสถานที่ที่บริโภค การบริโภคในที่ที่คุ้นเคยนั้นย่อมดีกว่า เพราะรสทั้งหลายมีความคุ้นเคยเป็นเยี่ยม"เมื่อพระศาสดาแสดงพระธรรมเทศนานี้จบลง พระองค์ก็ทรงประชุมชาดก โดยตรัสว่า พระราชาในครั้งนั้นคือพระอานนท์ นารทอำมาตย์คือพระสารีบุตร พระเกศวดาบสคือหมู่มหาพรหม ส่วนกัปปดาบสผู้เป็นที่รักและคุ้นเคยนั้น คือเราตถาคต (พระพุทธเจ้า) นั่นเอง
ณ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองพาราณสี มีเทศกาลประจำปีอันแสนสนุก ผู้คนมากมายหลั่งไหลมาร่วมงานอย่างล้นหลาม. แต่ในบ้านของเศรษฐีผู้หนึ่ง นายคนสวนกลับต้องนั่งทุกข์ใจอยู่ในสวน. เขาอยากไปเที่ยวงานใจจะขาด แต่ก็เป็นห่วงต้นไม้ที่เพิ่งปลูกใหม่ เนื่องจากเป็นฤดูแล้ง หากเขาไปเที่ยว ต้นไม้ก็จะขาดน้ำตายหมด.เขาจึงคิดหาทางออกอันชาญฉลาด. ในสวนแห่งนี้ มีฝูงลิงฝูงหนึ่งอาศัยอยู่ และพวกมันก็กินดอกผลของต้นไม้ในสวนอย่างสุขสบายมาตลอด. นายคนสวนจึงเข้าไปพูดคุยกับหัวหน้าลิง "เพื่อนเอ๋ย อุทยานแห่งนี้เป็นที่อยู่และแหล่งอาหารของพวกท่านมานานแล้วนะ". หัวหน้าลิงตอบอย่างนอบน้อมว่า "ใช่แล้วท่าน พวกเราต้องขอบคุณท่านมากที่คอยดูแลต้นไม้เหล่านี้ให้มีดอกออกผล". นายคนสวนจึงกล่าวต่อไปว่า "บัดนี้ ในเมืองมีงานเทศกาลประจำปี ข้าอยากไปเที่ยวบ้าง แต่ก็เป็นห่วงต้นไม้ใหม่ หากฉันจะฝากให้เพื่อนและพวกพ้องช่วยดูแลรดน้ำต้นไม้ให้จะได้ไหม". หัวหน้าลิงและบริวารรับปากอย่างเต็มใจว่า "ได้สิท่าน ข้ายินดี พวกเราจะเอาใจใส่รดน้ำให้อย่างดีเลยทีเดียว".เมื่อวางแผนเรียบร้อย นายคนสวนก็นำเครื่องมือรดน้ำจำนวนมากมาวางไว้ให้ฝูงลิง. แล้วเขาก็ออกไปเที่ยวงานในเมืองอย่างสนุกสนาน.ขณะที่ฝูงลิงกำลังเตรียมตัวรดน้ำนั้น จ่าฝูงลิงก็เกิดความคิดขึ้นมา. มันร้องบอกบริวารว่า "ช้าก่อนพวกเรา อย่าเพิ่งทำ! พวกเจ้าคิดดูดีๆ ถ้าพวกเราไม่รดน้ำอย่างประหยัด มันจะเปลืองน้ำนะ ยิ่งเป็นหน้าแล้งอยู่ด้วย!". ลิงบริวารต่างถามว่า "แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะลูกพี่?". จ่าฝูงอวดอ้างว่าตนเองเฉลียวฉลาดรอบด้าน จึงตอบว่า "มันจะไปยากอะไรเล่า! พวกเจ้าดูข้าสิ อยากรู้ว่าต้นไม้ต้องการน้ำเท่าไหร่ ก็ดูที่รากสิ ถอนต้นไม้ออกมาก่อน ต้นไหนรากยาวก็รดมากหน่อย รากสั้นๆ ก็รดนิดๆ ก็พอ".ลิงบริวารทั้งหลายต่างเห็นดีเห็นงามในความฉลาดของจ่าฝูง. พวกมันจึงพากันถอนต้นไม้ที่ปลูกใหม่ออกมาดูราก แล้วจึงรดน้ำตามคำแนะนำของจ่าฝูง ทำให้ต้นไม้ส่วนใหญ่เสียหายเป็นอันมาก.ในขณะนั้นเอง มีบัณฑิตผู้หนึ่งเดินผ่านมาในสวน. เมื่อเห็นการกระทำของฝูงลิง ท่านก็เอ่ยปากถามว่า "ลิงเอ๋ย เหตุใดพวกเจ้าจึงต้องถอนต้นไม้เหล่านี้ด้วยเล่า?". ฝูงลิงตอบอย่างภูมิใจว่า "พวกเรากำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ และนี่คือวิธีประหยัดน้ำของพวกเราอย่างไรล่ะ ท่านไม่รู้เรื่องหรอก".เมื่อบัณฑิตทราบเรื่องทั้งหมด ท่านจึงอธิบายให้พวกลิงเข้าใจว่า "เจ้าลิงเอ๋ย ความคิดของเจ้าที่จะประหยัดน้ำนั้นถูกต้องแล้ว. แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องถอนต้นไม้ขึ้นมาดูรากหรอก เพียงแค่ดูขนาดของต้นไม้ก็พอ ต้นเล็กก็รดน้ำน้อยหน่อย ต้นใหญ่ก็รดให้มากหน่อย".แต่ฝูงลิงกลับไม่ยอมฟัง. พวกมันอวดดีว่า "ท่านไม่ต้องมาพูดหรอก พวกเราอยู่กับต้นไม้มาตั้งแต่เกิด ย่อมเข้าใจดีกว่าท่าน!". แล้วพวกมันก็พากันรดน้ำต้นไม้ตามวิธีของตนต่อไป. บัณฑิตมองไม่เห็นประโยชน์ที่จะอธิบายต่อ จึงเดินออกจากสวนด้วยความเศร้าใจ.เมื่อฝูงลิงทำงานเสร็จ ก็พากันนั่งพักผ่อนชมผลงานด้วยความภาคภูมิใจ. แต่เมื่อนายคนสวนกลับจากเที่ยวในเมืองมาถึง เขาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าสวนของตนเละเทะ ต้นไม้ล้มตายเสียหาย. เขาโกรธมาก ตะโกนไล่ฝูงลิงออกจากสวนไปว่า "พวกเจ้าทำอะไรกับสวนของข้า! ไปเลย ไปอยู่ที่อื่นเลย! อุตส่าห์ไว้ใจ แต่กลับทำสวนเสียหายหมด!".และแล้ว ฝูงลิงผู้ที่อวดฉลาด ไม่ยอมเชื่อฟังคำตักเตือนของบัณฑิต ก็ต้องได้รับบทลงโทษ ถูกไล่ออกจากสวน ต้องระเหเร่ร่อนไปอยู่ในป่า หาอาหารกินไม่สะดวกเหมือนเคย.นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความฉลาดที่ขาดปัญญาและไม่รับฟังคำแนะนำจากผู้รู้ ย่อมนำมาซึ่งความหายนะ. ในกาลต่อมา ฝูงลิงที่อวดฉลาดนี้ได้มาเกิดเป็นเด็กชาวบ้านที่ทำลายสวนของเศรษฐีในสมัยพุทธกาล และบัณฑิตผู้ที่พยายามตักเตือนลิงนั้น ก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั่นเอง.
ณ กรุงพาราณสี ในยุคที่พระเจ้าพรหมทัตครองราชย์ มีพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นพราหมณ์ผู้มั่งคั่ง หลังจากการสูญเสียภรรยาไป พระองค์ก็เกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส จึงพาบุตรชายออกบวชเป็นฤาษีในป่า ทั้งสองดำรงชีวิตอยู่ด้วยการบริโภคเผือก มัน และผลไม้ป่าอยู่มาวันหนึ่ง มีหญิงงามคนหนึ่งผู้ชำนาญในการล่อลวงผู้อื่น นางถูกพวกโจรชาวปัดจันตคามจับเป็นเชลย และถูกกวาดต้อนให้ขนข้าวของมีค่าไปยังชายแดน ด้วยความเจ้าเล่ห์ นางแสร้งทำทีคล้อยตามพวกโจรเพื่อหาโอกาสหลบหนี จนเมื่อสบโอกาส นางก็หลอกล่อโจรหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งให้หลงกลพานางแยกออกมาจากขบวน เพียงสองคนเข้าไปในป่า เมื่ออยู่ในที่ลับตาคนแล้ว นางก็รีบหนีเอาตัวรอดไปได้ทันทีเมื่อหนีพ้นจากพวกโจรมาได้ หญิงผู้นั้นก็เดินหลงทางอยู่ในป่าจนมาถึงอาศรมของพระโพธิสัตว์ในยามเช้า ขณะนั้นพระโพธิสัตว์ออกไปหาผลไม้ในป่า มีเพียงดาบสหนุ่มผู้เป็นบุตรชายเฝ้าอาศรมอยู่ เมื่อดาบสหนุ่มได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ก็รีบออกมาดู หญิงนั้นแสร้งบอกว่าตนถูกโจรจับมาและเพิ่งหนีมาได้ จึงเหนื่อยล้ามากและขอพักที่อาศรม ทันทีที่เห็นดาบสหนุ่ม นางก็คิดในใจว่าจะใช้มารยาและความงามของตนล่อลวงให้เขาหลงใหลไม่นานนัก หญิงนั้นก็ล่อลวงดาบสหนุ่มจนตกอยู่ในอำนาจของตน และชักชวนให้เขาละทิ้งการเป็นฤาษี เข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองกับนาง ดาบสหนุ่มหลงใหลในตัวนางจนรับปากจะไปอยู่ด้วย แต่ขอรอพบพระโพธิสัตว์ผู้เป็นบิดาเพื่อบอกลาก่อน ทว่าหญิงเจ้ามารยานั้นเกรงว่าพระโพธิสัตว์จะรู้ทันแผนการและขับไล่ตน นางจึงขอเดินล่วงหน้าเข้าเมืองไปก่อน แล้วให้ดาบสหนุ่มตามไปภายหลังนับแต่นางจากไป ดาบสหนุ่มก็เอาแต่คิดถึงนาง ไม่ยอมทำกิจวัตรประจำวันของตนเหมือนเช่นเคย เมื่อพระโพธิสัตว์กลับมายังอาศรม เห็นบุตรชายนั่งเศร้าอยู่จึงซักถาม ดาบสหนุ่มจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้บิดาฟัง พระโพธิสัตว์รู้ดีว่าไม่อาจเหนี่ยวรั้งบุตรที่กำลังลุ่มหลงได้ จึงอนุญาตให้ไป แต่ก่อนที่บุตรจะจากไป พระองค์ได้ให้โอวาทอันสำคัญยิ่งไว้ว่า "ลูกเอ๋ย หากเจ้าต้องการไปอยู่กับนางก็ไปเถิด แต่หากวันใดนางใช้ให้เจ้าทำงานเพื่อเลี้ยงดูนาง เมื่อนั้นเจ้าจงกลับมาหาพ่อเถิด"ดาบสหนุ่มไปอยู่กับหญิงเจ้าเล่ห์ผู้นั้นได้ไม่นาน นางก็ทำให้เขาตกอยู่ใต้อำนาจและใช้งานเขาอย่างหนักสารพัด ไม่ว่าจะสั่งให้หาเนื้อ หาสัตว์ หรือแม้แต่ให้ซักผ้าและเตรียมน้ำอาบ ดาบสหนุ่มถูกใช้ราวทาสจนทนไม่ไหว เมื่อนึกถึงคำพูดของบิดา เขาก็ตัดสินใจหนีกลับมายังอาศรมในป่าหิมพานต์ เมื่อกลับมาถึงแล้ว เขาก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้บิดาฟัง และขอโทษที่ตนไม่เชื่อฟังพระโพธิสัตว์ปลอบใจบุตรชายแล้วสอนกสินบริกรรมให้ ไม่นานนัก ดาบสหนุ่มก็ได้อภิญญาและสมาบัติ เจริญพรหมวิหาร และได้ไปบังเกิดในพรหมโลกพร้อมกับบิดานิทานชาดกเรื่องนี้สอนว่า: ทุลกุมาริกาผู้เจ้าเล่ห์ในอดีตชาตินั้น ก็คือทุลกุมาริกาผู้เล้าโลมภิกษุในสมัยพุทธกาล ส่วนดาบสน้อยผู้ถูกล่อลวง ก็คือภิกษุผู้ต้องการลาสิกขาในสมัยพุทธกาล และพระโพธิสัตว์ผู้เป็นบิดา ก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจของกิเลสและถูกชักจูงในทางที่ผิด ย่อมประสบความทุกข์ แต่ด้วยปัญญาและการยึดมั่นในธรรมของบัณฑิต ย่อมสามารถกลับมาสู่หนทางแห่งความสงบสุขได้
นานมาแล้ว ณ กรุงพาราณสี ในสมัยที่พระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติ พระองค์มีพระโอรสสองพระองค์นามว่ามหิสสรารามกุมารและจันทกุมารจากพระมเหสีองค์แรก แต่พระมเหสีได้เสด็จสวรรคตไปตั้งแต่โอรสยังทรงพระเยาว์ ต่อมาพระเจ้าพรหมทัตมีพระมเหสีใหม่ที่ทรงโปรดปรานมาก พระมเหสีใหม่จึงปรารถนาจะให้สุริยกุมารโอรสของตนได้ครองราชสมบัติ แม้จะทรงโปรดปรานพระมเหสีเพียงใด แต่พระเจ้าพรหมทัตก็ยังทรงยึดมั่นในความยุติธรรม จึงทรงมีรับสั่งให้มหิสสรารามกุมารและจันทกุมารเข้าป่าไปศึกษาหาความรู้และวิชาอาคม เพื่อเมื่อกลับมาแล้วจะได้ทวงราชสมบัติคืนสุริยกุมาร เมื่อเห็นพี่ชายทั้งสองเตรียมตัวเข้าป่า ก็รู้สึกว่าการกระทำของมารดาไม่ถูกต้อง จึงตัดสินใจขอตามพี่ชายทั้งสองเข้าไปอยู่ในป่าด้วยเมื่อโอรสทั้งสามออกเดินทางร่วมกัน สุริยกุมารซึ่งยังเยาว์วัย ได้รับมอบหมายให้ไปหาน้ำดื่ม เขาได้พบสระน้ำใสสะอาดแห่งหนึ่ง และด้วยความไร้เดียงสา จึงลงไปดื่มน้ำโดยไม่รู้ว่าในสระนั้นมีนางผีเสื้อน้ำอาศัยอยู่ นางผีเสื้อน้ำตนนี้ดำรงชีวิตด้วยการกินเนื้อสัตว์และเนื้อมนุษย์ แต่ท้าวเวสสุวรรณได้มีเทวบัญชาบังคับไม่ให้ทำอันตรายผู้ที่รู้ "เทวธรรม" นางผีเสื้อน้ำจึงถามสุริยกุมารว่า "เทวธรรม" คืออะไร แต่สุริยกุมารตอบผิดไปว่าคือพระจันทร์กับพระอาทิตย์ นางผีเสื้อน้ำไม่เชื่อ จึงจับสุริยกุมารขังไว้เป็นอาหารจันทกุมารตามมาถึงสระน้ำ และก็ถูกนางผีเสื้อน้ำถามคำถามเดียวกัน จันทกุมารตอบไปว่าคือทิศทั้งสี่ ซึ่งเป็นคำตอบที่ผิดเช่นกัน จึงถูกจับขังไว้อีกคนมหิสสรารามกุมารผู้พี่ใหญ่สังเกตเห็นความผิดปกติ จึงเดินมาถึงสระน้ำอย่างระมัดระวัง และรู้ว่าสระนี้ต้องมีอันตราย นางผีเสื้อน้ำพยายามหลอกล่อให้เขาลงไปดื่มน้ำ แต่มหิสสรารามกุมารทรงปัญญา จึงถามว่านางเป็นใครและจับน้องของตนไปใช่หรือไม่ เมื่อนางผีเสื้อน้ำยอมรับ มหิสสรารามกุมารจึงขอให้นางจัดที่นั่งให้สูงกว่าพื้น และพนมมือฟังด้วยความเคารพ ก่อนที่ตนจะอธิบายว่าเทวธรรมคืออะไรมหิสสรารามกุมารได้อธิบายว่า เทวธรรม คือ ผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในธรรมอันผ่องแผ้ว ซึ่งประกอบด้วย หิริ และ โอตตัปปะ หิริ คือ ความละอายต่อบาป ละอายที่จะคิดชั่ว พูดชั่ว หรือทำชั่วด้วยตนเอง ส่วน โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวต่อผลของบาป เช่น กลัวตกนรก หรือกลัวการถูกตำหนินินทานางผีเสื้อน้ำเมื่อได้ฟังก็เข้าใจและเลื่อมใสเป็นอันมาก จึงอนุญาตให้มหิสสรารามกุมารดื่มและใช้น้ำในสระได้ตามต้องการ แต่จะคืนน้องชายให้เพียงคนเดียวเพราะตนอดทนหิวมานาน มหิสสรารามกุมารจึงขอสุริยกุมารน้องคนเล็กคืน นางผีเสื้อน้ำประหลาดใจที่เขาไม่เลือกพี่ชายคนโตที่มีอายุมากกว่าและมีคุณธรรมสูงกว่า แต่กลับเลือกน้องคนเล็กที่ไม่ได้เกิดจากมารดาเดียวกัน มหิสสรารามกุมารจึงอธิบายว่า นี่แหละคือเทวธรรม เพราะหากไม่พาสุริยกุมารกลับไป ผู้คนอาจจะตำหนิว่าพี่น้องร่วมกันฆ่าน้องเพื่อหวังในราชสมบัตินางผีเสื้อน้ำชื่นชมในปัญญาและการปฏิบัติเทวธรรมของมหิสสรารามกุมารเป็นอย่างยิ่ง จึงคืนน้องชายให้ทั้งสองคน มหิสสรารามกุมารยังได้เตือนนางผีเสื้อน้ำให้เลิกกินเลือดกินเนื้อของผู้อื่น เพื่อที่จะได้พ้นจากบาปกรรมที่สร้างไว้ในชาติปางก่อนหลังจากนั้น ทั้งสามกุมารและนางผีเสื้อน้ำก็อาศัยอยู่ร่วมกันในป่า จนกระทั่งวันหนึ่ง มหิสสรารามกุมารสังเกตเห็นดาวนักขัตฤกษ์มัวหมอง จึงทราบว่าพระราชบิดาได้เสด็จสวรรคตแล้ว ทั้งสามกุมารจึงพานางผีเสื้อน้ำกลับเมืองด้วย เมื่อกลับถึงเมือง มหิสสรารามกุมารก็ได้จัดที่อยู่และอาหารให้นางผีเสื้อน้ำใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ และสนับสนุนให้บำเพ็ญศีลภาวนาเพื่อพ้นจากบาปกรรม มหิสสรารามกุมารได้ขึ้นครองราชสมบัติ และทรงแต่งตั้งจันทกุมารเป็นมหาอุปราช ส่วนสุริยกุมารเป็นเสนาบดีในชาตินี้ พระภิกษุเจ้าสำอางที่ยังไม่ละกิเลสในตอนต้นเรื่องนั้น คือนางผีเสื้อน้ำในอดีตชาตินั่นเอง ส่วนสุริยกุมารได้มาเกิดเป็นพระอานนท์ จันทกุมารได้มาเกิดเป็นพระสารีบุตร และมหิสสรารามกุมารคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาดกนี้สอนว่า คนดีที่อดกลั้นความชั่ว ประกอบด้วยหิริและโอตตัปปะ และตั้งมั่นอยู่ในธรรมอันผ่องแผ้ว ท่านเรียกว่าผู้มีธรรมของเทวดา.
ในดินแดนที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน มีพระภิกษุรูปหนึ่งนามว่า พระลกุณฏกภัททิยเถระ ท่านเป็นที่เลื่องลือในพระพุทธศาสนาด้วยเสียงอันไพเราะ และเป็นผู้แสดงธรรมได้อย่างลึกซึ้งจับใจ ผู้คนต่างยกย่องท่านว่าเป็นพระอรหันต์ผู้แตกฉานในปัญญาแต่ถึงกระนั้น พระเถระรูปนี้กลับมีร่างกายที่เล็กจ้อย เตี้ยกว่าพระภิกษุรูปอื่นมากนัก จนบางครั้งก็ดูคล้ายสามเณรน้อย ทำให้ท่านมักถูกภิกษุรูปอื่นล้อเลียนอยู่เสมอวันหนึ่ง ขณะที่พระลกุณฏกภัททิยเถระยืนอยู่ที่ซุ้มประตูพระวิหาร มีหมู่ภิกษุชาวชนบทราว 30 รูปเดินทางมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ เมื่อพวกเขาเห็นพระเถระตัวเล็กอยู่ที่ประตู ด้วยความคึกคะนองและเข้าใจผิดคิดว่าท่านเป็นสามเณรน้อย พวกเขาจึงพากันแกล้งท่าน จับชายจีวรบ้าง มือบ้าง ศีรษะบ้าง จมูกบ้าง หูบ้าง แล้วก็เขย่าตัวท่าน พลางหัวเราะเอิ๊กอ๊าก “เจ้าเณรน้อย มานี่สิ!” หรือ “เจ้าเณรนี่หน้าแก่จัง!” สร้างความอับอายให้พระเถระไม่น้อยเมื่อแกล้งจนพอใจแล้ว ภิกษุเหล่านั้นก็เข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ พระศาสดาทรงปฏิสันถารอย่างเมตตา แล้วพวกเขาก็ทูลถามถึงพระลกุณฏกภัททิยเถระผู้มีชื่อเสียงด้านการแสดงธรรมอันไพเราะ ว่าท่านอยู่ที่ไหน พระพุทธองค์ทรงยิ้มแล้วตรัสว่า “ภิกษุที่พวกเธอเห็นที่ซุ้มประตู แล้วพวกเธอแกล้งด้วยความคึกคะนองนั้นนั่นแหละ คือ พระลกุณฏกภัททิยเถระ”ได้ยินดังนั้น ภิกษุเหล่านั้นก็ตกตะลึง พวกเขาไม่คิดเลยว่าพระเถระผู้ยิ่งใหญ่จะมีรูปร่างเล็กเตี้ยเช่นนั้น จึงกราบทูลถามพระพุทธองค์ถึงสาเหตุ พระศาสดาตรัสว่า “ที่ท่านเป็นเช่นนั้น เพราะอาศัยกรรมที่ท่านเคยทำไว้ในอดีต” แล้วพระองค์ก็ทรงเล่านิทานจากอดีตกาลให้ฟังว่า:นานมาแล้ว ครั้งที่ พระเจ้าพรหมทัต ทรงครองราชย์ในกรุงพาราณสี พระองค์มีนิสัยประหลาด ชอบความสนุกสนาน และไม่ชอบเห็นสัตว์หรือคนแก่ชรา ถ้าพระองค์ได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นม้าแก่ โคแก่ หรือแม้แต่เกวียนเก่า ๆ พระองค์จะสั่งให้พวกมันวิ่งแข่งกันจนเหนื่อยล้า หรือเกวียนก็พังไปเลย ไม่เพียงเท่านั้น พระองค์ยังสั่งให้หญิงชรามาถูกกระแทกท้องให้ล้มลงแล้วลุกขึ้นร้องเพลง หรือให้ชายชรามาหกคะเมนตีลังกาเพื่อความบันเทิง หากได้ยินข่าวว่าบ้านใดมีคนชรา พระองค์ก็จะเรียกตัวมาบังคับให้แสดงสิ่งต่าง ๆ เพื่อความสนุกสนานของพระองค์การกระทำของพระราชาผู้นี้สร้างความทุกข์ทรมานแก่ผู้คนและสัตว์เป็นอย่างมาก จนชาวเมืองต้องแอบส่งพ่อแม่ผู้เฒ่าของตนไปอยู่ต่างแคว้น เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกทรมาน ทำให้ขาดการดูแลบุพการี เหล่าข้าราชบริพารของพระราชาก็ไม่ห้ามปราม แถมยังพึงพอใจกับการเล่นสนุกนี้ด้วยซ้ำ ด้วยกรรมชั่วนี้ เมื่อตายไป พวกเขาจึงไปเกิดในอบายภูมิ ทำให้จำนวนเทพบุตรในสวรรค์ลดน้อยลงท้าวสักกะ ผู้เป็นจอมแห่งเหล่าเทพ (ซึ่งก็คือพระโพธิสัตว์ในอดีตชาติ) ทรงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ จึงตรวจดูและทรงทราบสาเหตุ ท้าวสักกะดำริว่าจะต้องสั่งสอนพระเจ้าพรหมทัตให้สำนึกในความผิดในวันหนึ่งซึ่งมีงานมหรสพ ท้าวสักกะจึงแปลงกายเป็นชายชราคนหนึ่ง แบกตุ่มน้ำมันสองใบใส่เกวียนเก่า ๆ ที่เทียมด้วยโคแก่สองตัว พระองค์ขับเกวียนไปขวางหน้าช้างทรงของพระเจ้าพรหมทัตที่กำลังเสด็จผ่าน พระเจ้าพรหมทัตเห็นเข้าก็สั่งให้ทหารไปนำตัวชายชราและเกวียนมา แต่ด้วยอิทธิฤทธิ์ของท้าวสักกะ มีเพียงพระราชาเท่านั้นที่มองเห็นเกวียนนั้นได้ทันใดนั้น ท้าวสักกะก็ขับเกวียนลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า เหนือเศียรของพระเจ้าพรหมทัต แล้วทุบตุ่มน้ำมันให้แตก ทำให้น้ำมันไหลเลอะเทอะราชรถและพระวรกายของพระราชาจนเปรอะเปื้อน เหนียวเหนอะหนะและน่าขยะแขยง สร้างความอับอายยิ่งนักจากนั้น ท้าวสักกะก็หายไปในอากาศ แล้วปรากฏกายเป็นจอมเทพท้าวสักกะดังเดิม ยืนอยู่บนอากาศ แล้วตรัสสอนพระเจ้าพรหมทัตว่า “ดูก่อนพระราชาผู้ชั่วช้า! ท่านเบียดเบียนสัตว์แก่และคนชราอยู่เสมอ ท่านไม่คิดเลยหรือว่าท่านจะต้องแก่บ้าง? ความชราจะไม่มาถึงกายท่านเลยหรือไร? ท่านมัวแต่เห็นแก่สนุก ทำร้ายคนแก่มากมาย ทำให้ลูกหลานไม่สามารถดูแลพ่อแม่ของตนได้ หากท่านไม่หยุดการกระทำเช่นนี้ เราผู้เป็นจอมเทพจะทำลายท่านด้วยวชิราวุธ! นับแต่นี้ไป ท่านจงอย่าทำกรรมชั่วนี้อีกเลย!”พระเจ้าพรหมทัตทรงหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง กราบทูลขอชีวิต ท้าวสักกะทรงชูวชิราวุธขึ้น เพื่อให้พระราชาตกใจ แล้วจึงทรงสอนถึงคุณของบิดามารดา และผลบุญของการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้สูงอายุ จากนั้นจึงเสด็จกลับวิมานไปนับแต่วันนั้นเป็นต้นมา พระเจ้าพรหมทัตก็ไม่เคยคิดที่จะเบียดเบียนสัตว์แก่หรือคนชรามาเล่นสนุกอีกเลยเมื่อพระพุทธองค์ทรงเล่านิทานจบแล้ว พระองค์ตรัสเตือนเหล่าภิกษุว่า “หงส์ก็ดี นกกระเรียนก็ดี ช้างก็ดี ฟานก็ดี ย่อมกลัวราชสีห์ทั้งนั้น จะถือเอาร่างกายเป็นประมาณไม่ได้ ฉันใด ในหมู่มนุษย์ก็ฉันนั้น ถ้าแม้เด็กมีปัญญาก็เป็นผู้ใหญ่ได้ คนโง่ถึงร่างกายจะใหญ่โตก็เป็นผู้ใหญ่ไม่ได้”
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นที่พระเชตวันมหาวิหาร เมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งซึ่งเป็นคนว่ายากสอนยาก ไม่เคยฟังคำตักเตือนจากใคร สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้ภิกษุรูปหนึ่งไปนิมนต์ภิกษุผู้ว่ายากเข้าเฝ้า เมื่อภิกษุนั้นมาถึง พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า ไม่ใช่เพียงชาตินี้เท่านั้นที่เธอเป็นคนว่ายากสอนยาก แม้ในชาติปางก่อนก็เป็นเช่นนี้ พระพุทธองค์ทรงระลึกชาติและตรัสเล่า เวรุชาดก ให้พระภิกษุทั้งหมดฟัง เพื่อให้ภิกษุผู้ว่ายากได้เห็นโทษของการดื้อรั้นและเปลี่ยนนิสัย พระองค์ทรงเตือนว่า ด้วยความดื้อดึงสอนยากนี้ ทำให้เขาถูกงูกัดถึงแก่ความตาย หากไม่ละทิ้งนิสัยนี้ ชาตินี้ก็คงต้องพบจุดจบไม่ต่างอะไรกับชาติที่แล้วในอดีตกาล ณ แคว้นกาสี มีครอบครัวเศรษฐีผู้หนึ่ง หัวหน้าครอบครัวล้มป่วยลงและเสียชีวิตในที่สุด บุตรชายเศรษฐี ผู้เป็นบัณฑิต ได้เห็นว่าแม้บิดาจะมีทรัพย์สมบัติมากมายเพียงใด ก็ไม่สามารถนำติดตัวไปได้เลย เขาจึงตัดสินใจนำทรัพย์สมบัติทั้งหมดออกมาแจกเป็นทานให้แก่ผู้ยากไร้ เหลือไว้เพียงอาภรณ์ติดตัวและเครื่องบริขารเพื่อบำเพ็ญเพียรเท่านั้นหลังจากแจกจ่ายทรัพย์สินหมดแล้ว บุตรเศรษฐีพร้อมบริวารได้มุ่งหน้าสู่ ป่าใหญ่แดนหิมพานต์เพื่อประพฤติพรหมจรรย์ บัณฑิตหนุ่มได้ถือเพศเป็นฤาษี เพียรภาวนาจนบรรลุธรรมอภิญญา ทำให้มีผู้เลื่อมใสและถือบวชติดตามเป็นศิษย์มากมาย บรรดาศิษย์ได้ช่วยกันสร้างอาศรมเพื่อปฏิบัติธรรมอย่างสงบในป่าหิมพานต์อยู่มาวันหนึ่ง ศิษย์ฤาษีวัยหนุ่มผู้หนึ่งได้พบลูกงูพิษตัวหนึ่งที่เลื้อยเข้ามาในบริเวณอาศรม เขารู้สึกรักและเอ็นดูมันมาก แม้จะมีเสียงทักท้วงและเตือนจากศิษย์คนอื่นๆ ว่า "งูพิษเลี้ยงไม่เชื่องหรอก อันตรายนะ" และ "ระวังเถอะ เลี้ยงงูพิษไว้ สักวันมันจะทำร้ายเจ้า" แต่เขาก็ไม่ฟัง ศิษย์หนุ่มเก็บลูกงูไว้ในกระบอกไม้ไผ่และตั้งชื่อให้ว่า "เวรุกะ" เขาเชื่อว่าตนเลี้ยงดูมันอย่างดี มันก็ต้องรักเขา และพิษของมันคงหายไปหมดแล้ว เขาไม่ฟังคำตักเตือนจากอาจารย์และศิษย์คนอื่นๆ เลยวันเวลาผ่านไป เมื่อฤดูแล้วเวียนมาถึง ศิษย์หนุ่มจะต้องเข้าป่าไปหาอาหารและเก็บไว้เป็นเวลาสามวัน เขากล่าวล่ำลางูเวรุกะด้วยความอาลัย และกำชับให้มันอยู่ดีๆ ตลอดเวลาสามวันที่เขาไม่อยู่ เขาก็คิดถึงและกังวลถึงลูกงูเวรุกะของเขาอยู่ตลอดเวลาเมื่อสามวันผ่านไป พวกฤาษีและศิษย์หาของป่าได้มากพอจึงพากันกลับอาศรม ศิษย์หนุ่มดีใจมาก รีบตรงไปยังที่อยู่ของงูเวรุกะ เขาอุทานด้วยความรักว่าจะนำสัตว์ที่จับได้มาเป็นอาหารให้เวรุกะ แม้ศิษย์คนอื่นๆ จะเตือนว่า "เวรุกะของเจ้าคงหนีหายไปแล้วแหละ" แต่เขาก็ไม่สนใจ และยังคงมั่นใจว่าลูกงูของเขาจะต้องรอเขากลับมาธรรมชาติของงูพิษคือเลี้ยงไม่เชื่อง ยิ่งหิวก็ยิ่งดุร้าย เวรุกะที่ถูกขังอยู่ในกระบอกไม้ไผ่มาสามวันสามคืน ทั้งหิวและโกรธ จึงไม่เหลือร่องรอยของงูเชื่องแสนน่ารักเลยแม้แต่น้อย เมื่อกระบอกไม้ไผ่ถูกเปิดออก มันก็พุ่งตัวออกมาอย่างรวดเร็ว ฉกเข้าที่ดวงตาของศิษย์หนุ่มผู้เป็นคนเลี้ยงมันมาอย่างโหดเหี้ยม ศิษย์หนุ่มร้องด้วยความเจ็บปวดและสงสัยว่าทำไมงูที่เขารักและเลี้ยงมาจึงทำร้ายเขา ด้วยความโกรธและความหิว เวรุกะยังคงฝังเขี้ยวและปล่อยน้ำพิษจนศิษย์หนุ่มฤาษีสะท้านไปทั่วร่าง ล้มลงขาดใจตายอยู่ตรงนั้นทันทีพระศาสดาทรงสรุปว่า งูพิษก็คืองูพิษ อย่างไรเสียมันก็คงไม่ลืมสัญชาตญาณไปได้ นี่แหละคือโทษของการดื้อรั้น ที่ว่ายากสอนยาก ไม่เชื่อฟังคำตักเตือนจากใคร สุดท้ายก็ต้องพบจุดจบอย่างน่าอนาถ พระองค์ทรงประมวลชาดกว่า ศิษย์ผู้ดื้อรั้นในครั้งนั้นได้มาเกิดเป็นภิกษุที่ว่ายากสอนยากในครั้งนี้ ส่วนฤาษีบริวารได้มาเกิดเป็นพุทธบริษัททั้งหลาย และพระอาจารย์ (หัวหน้าฤาษี) เสวยพระชาติเป็นพระพุทธเจ้าในปัจจุบัน
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศพระธรรมคำสอนในชมพูทวีป ทำให้พระอริยสัจกลายเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนเรื่องภิกษุบวชใหม่มีภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งเพิ่งบวชใหม่และได้ออกธุดงค์ไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ท่านได้เลือกปฏิบัติตนใต้ต้นไม้ใหญ่ด้วยความเคร่งครัด ชาวบ้านที่ผ่านไปมาเห็นกิริยาอันน่าเลื่อมใสของท่าน ก็บังเกิดศรัทธาขึ้นมา พวกเขาจึงปรึกษากันที่จะสร้างบรรณศาลาถวายแด่ภิกษุรูปนี้เมื่อภิกษุหนุ่มเดินจงกรมเสร็จในวันหนึ่ง นายบ้านก็ได้เข้ามานิมนต์ท่านให้ย้ายเข้าไปพักในบรรณศาลาที่ชาวบ้านร่วมใจกันสร้างถวาย ซึ่งท่านก็ตอบรับ เมื่อเวลาผ่านไป ชาวบ้านก็ยิ่งชื่นชมในอิริยาบถที่งดงามของภิกษุหนุ่ม และได้นำภัตตาหารคาวหวานมาถวายทั้งเช้าและเพลอย่างไม่ขาด ในทุกค่ำคืน ชาวบ้านจะพากันมารวมตัวกันเพื่อฟังพระธรรมเทศนาที่ภิกษุหนุ่มบรรยายตามคำสอนของพระพุทธองค์แต่ด้วยความเหนื่อยล้าและความเบื่อหน่าย ทำให้ความนิยมในการฟังธรรมเริ่มลดลง ข่าวการอุปัฏฐากพระสงฆ์ในหมู่บ้านนี้ได้แพร่กระจายออกไป ทำให้นักบวชจากคณะอื่น ๆ ถือโอกาสเดินทางเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เริ่มจากพวก สัตวา ที่ยึดถืออัตตาเป็นสรณะ พวกเขาได้รับการต้อนรับจากชาวบ้านและได้รับการกราบไหว้แทนภิกษุเถรวาทต่อมาคือคณะ อุจเฉททิฏฐิ ที่เชื่อในอัตตาเฉพาะชาตินี้เท่านั้น และพวก อจลวิชญ์ ซึ่งต่างก็ได้รับการยกย่องจากชาวบ้านอย่างมากนักบวชเหล่านี้พึงพอใจที่ได้มาอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกับเหล่าสาวกของพระศาสดา แต่ภิกษุหนุ่มกลับรู้สึกไม่สบายใจและต้องจำยอมอยู่ร่วมกับนักบวชเหล่านี้อย่างไม่สงบ เมื่อออกพรรษาแล้ว ภิกษุหนุ่มจึงได้เดินทางกลับไปเฝ้าพระพุทธองค์ ณ พระเชตวันมหาวิหาร และกราบทูลเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ทรงวินิจฉัยเนรุชาดกเมื่อพระพุทธองค์ทรงสดับเรื่องราวแล้ว ได้ตรัสว่า แม้บัณฑิตในอดีตกาลผู้เกิดในสกุลปักสา (นก) ก็ยังไม่ยอมอยู่ร่วมกับผู้ไร้คุณธรรมแม้สักวันเดียว จากนั้น พระองค์จึงทรงเล่าเรื่อง "เนรุชาดก" ตามคำทูลขอของเหล่าสาวกในอดีตชาติครั้งที่พระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี ณ ภูเขาจิตตตากูด ริมป่าหิมพานต์ มีหงส์ทองครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ วันหนึ่ง พญาหงส์ผู้เป็นพี่ (ซึ่งคือพระพุทธเจ้าในชาติปัจจุบัน) และหงส์ผู้น้อง (คือพระอานนท์ในชาติปัจจุบัน) ได้ออกท่องป่าหิมพานต์ และมองเห็นภูเขาลูกหนึ่งมีแสงสีทองอร่ามสวยงามแต่ไกล ด้วยความสงสัย ทั้งสองจึงบินเข้าไปดูเมื่อเข้าไปใกล้ พญาหงส์ผู้พี่จำได้ว่าภูเขาลูกนั้นคือ เนรุบรรพต พญาหงส์ได้บอกน้องชายว่า เนรุบรรพตแห่งนี้เป็นภูเขาที่วิเศษ สัตว์ใด ๆ ก็ตามเมื่อมาอยู่บริเวณนี้ จะมีสีสันสวยงามดั่งทองทุกตัว ไม่ว่าจะเป็นนกแร้ง นกกา หมาใน หมาจิ้งจอก แมวป่า หรือแม้แต่หนูสกปรก ก็ล้วนกลายเป็นสีทองงามอร่ามอย่างไรก็ตาม พญาหงส์ผู้พี่สังเกตเห็นว่า แม้รูปลักษณ์ภายนอกของสัตว์เหล่านั้นจะเปลี่ยนเป็นสีทอง แต่จิตใจและพฤติกรรมของพวกมันก็ยังคงเป็นไปตามสัญชาตญาณเดิม ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เหมือนสีภายนอก อีกาที่ตัวเป็นสีทองดุจหงส์ ก็ยังไม่เลิกนิสัยขโมย หนูผู้สะสมของสกปรกก็ยังคงมีพฤติกรรมเดิม สุนัขจิ้งจอกก็ยังไม่เลิกวิสัยของสุนัขพญาหงส์จึงสรุปว่า "เนรุบรรพตแห่งนี้ แม้จะมีความวิเศษ แต่ก็ไม่สามารถทำให้สัตว์ดีเหมือนกันได้ สัตบุรุษนั้นไม่บังควรคบหาผู้ทุศีลเลย" จากนั้น พญาหงส์ทั้งสองก็ชวนกันบินกลับไปยังเขาจิตตตากูด เพื่ออยู่ร่วมกับฝูงหงส์ของตนต่อไปเมื่อพระพุทธองค์ทรงจบพระธรรมเทศนานี้แล้ว ได้ทรงประกาศสัจธรรม ทำให้ภิกษุรูปนั้นบรรลุโสดาปัตติผล ในพุทธกาลสมัยนั้น หงส์ผู้น้องได้มาเกิดเป็นพระอานนท์ ส่วนพญาหงส์ผู้พี่ได้มาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า
เรื่อง "อสัปทานชาดก" หรือ "ชาดกว่าด้วยการไม่รับของทำให้เกิดการแตกร้าว" นี้ มีที่มาในสมัยพุทธกาล เมื่อพระบรมศาสดาประทับ ณ พระเวรุวัณมหาวิหาร ทรงปรารภถึง พระเทวทัต. ขณะนั้น ภิกษุทั้งหลายกำลังสนทนากันในโรงธรรมเรื่องความอกตัญญูของพระเทวทัตที่ไม่รู้คุณของพระตถาคต พระศาสดาจึงตรัสว่า พระเทวทัตเป็นผู้อกตัญญูมาตั้งแต่ครั้งอดีตแล้ว และทรงนำเรื่องราวในอดีตมาเล่า.ในอดีตกาล เมื่อพระราชามคธพระองค์หนึ่งเสวยราชสมบัติที่พระนครราชคฤห์ แคว้นมคธ มี โพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นสังฆเศรษฐี ซึ่งเป็นเศรษฐีผู้มั่งคั่งด้วยทรัพย์ 80 โกฏิ. สังฆเศรษฐีมีสหายอยู่ที่พระนครพาราณสีชื่อ ปิริยเศรษฐี ซึ่งก็เป็นเศรษฐีผู้มีทรัพย์ 80 โกฏิเช่นกัน.ต่อมา ปิริยเศรษฐีประสบปัญหาการค้าขาดทุนจนหมดสิ้นเนื้อประดาตัว กลายเป็นคนขัดสนไร้ที่พำนัก. เขาจึงระลึกถึงสังฆเศรษฐีผู้เป็นสหาย และชวนภรรยาเดินทางด้วยเท้าเปล่าจากพาราณสีไปยังราชคฤห์ เพื่อขอความช่วยเหลือ. สังฆเศรษฐีให้การต้อนรับอย่างดีและให้พักอยู่ในเรือนของตน. เมื่อทราบว่าสหายกำลังตกทุกข์ได้ยาก สังฆเศรษฐีได้ช่วยเหลือโดยแบ่งเงินให้ถึง 40 โกฏิ และทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่ตนมีให้อีกครึ่งหนึ่ง รวมถึงข้าทาสบริวาร เพื่อให้ปิริยเศรษฐีได้ใช้ตั้งตัว. ปิริยเศรษฐีซาบซึ้งในบุญคุณและนำสมบัติพร้อมข้าทาสบริวารกลับไปตั้งหลักฐานได้ดังเดิมที่พาราณสี.ในเวลาต่อมา สังฆเศรษฐีกลับประสบปัญหาการค้าขาดทุนจนสิ้นทรัพย์สินเช่นเดียวกับปิริยเศรษฐีบ้าง. ท่านระลึกว่าตนเคยช่วยเหลือปิริยเศรษฐีไว้ หากไปขอความช่วยเหลือ สหายคงช่วยอย่างเต็มที่ จึงพาภรรยาเดินทางด้วยเท้าเปล่าไปพาราณสี. เมื่อมาถึงพาราณสี สังฆเศรษฐีให้ภรรยารอที่ศาลาแห่งหนึ่ง ส่วนตนไปที่บ้านของปิริยเศรษฐี.ปิริยเศรษฐีทราบว่าสังฆเศรษฐีมาพบ แต่กลับไม่ได้ลุกจากที่นั่งไปทักทาย เพียงแค่เอ่ยถามว่ามาหาทำไม. เมื่อสังฆเศรษฐีบอกว่ายังไม่มีที่พักและภรรยารออยู่ที่ศาลาข้างนอก ปิริยเศรษฐีรู้ว่าสหายผู้มาจากราชคฤห์ต้องการความช่วยเหลือ แต่แทนที่จะให้ทรัพย์สินเงินทองและข้าทาสบริวารเหมือนที่ตนเคยได้รับ กลับสั่งให้ทาสตวงข้าวลีบเพียง 4 ทนานห่อชายผ้าให้สหาย และออกปากไล่กลับไป โดยให้เอาไปหุงต้มกินเอง. ทั้งที่ในวันนั้น ปิริยเศรษฐีมีข้าวสาลีสีแดงที่ผัดเตรียมไว้ประมาณพันเกวียนขึ้นยุ้งฉางไว้เต็ม. สังฆเศรษฐีคิดว่าหากไม่รับข้าวนี้ก็จะเป็นการทำลายมิตรภาพที่ยังเหลืออยู่ จึงตัดสินใจรับข้าวลีบนั้นมา. เมื่อกลับมาหาภรรยาที่ศาลา ภรรยาเห็นสามีไม่ได้กลับมาพร้อมเงินทองและข้าทาสบริวารดังที่ตั้งใจไว้ก็รู้สึกแปลกใจและเสียใจว่าปิริยเศรษฐีเป็นผู้ไม่รู้บุญคุณคน. สังฆเศรษฐีปลอบใจภรรยาและอธิบายว่าที่รับมานั้นเพื่อรักษาไมตรีกับเขาไว้.ขณะที่สังฆเศรษฐีกำลังปลอบใจภรรยาอยู่นั้น ทาสผู้หนึ่งที่สังฆเศรษฐีเคยยกให้ปิริยเศรษฐีผ่านเข้ามาเห็นนายเก่าก็เข้ามากราบทำความเคารพ. เมื่อทาสผู้นี้ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ก็ปลอบใจท่านเศรษฐีแล้ว พานายเก่าทั้งสองไปที่บ้านของตน ให้อาบน้ำหอมและบริโภคอาหาร. วันต่อมา ทาสทั้งหลายที่เหลือก็มาประชุมกันและพากันไปที่ท้องพระลานหลวง ร้องตะโกนประจานความเนรคุณของปิริยเศรษฐี ที่ไม่รู้จักบุญคุณคนและขับไล่ไสส่งสหายในยามยาก.พระราชาทรงผ่านและได้ยิน จึงรับสั่งให้เรียกเศรษฐีทั้งสองมาเข้าเฝ้าเพื่อไต่ถาม. เมื่อทรงทราบเรื่องทั้งหมดจากปากของเศรษฐีทั้งสอง (โดยปิริยเศรษฐีก็อ้ำอึ้งยอมรับว่าเป็นความจริง) พระราชาจึงมีรับสั่งให้ราชบุรุษ เอาสมบัติทั้งหมดในบ้านของปิริยเศรษฐีให้แก่สังฆเศรษฐี. แต่สังฆเศรษฐีไม่ต้องการสิ่งของผู้อื่น ทูลขอเพียงส่วนที่ตนเคยให้แก่ปิริยเศรษฐีคืนเท่านั้น. พระราชาจึงรับสั่งให้พระราชทานสมบัติรวมทั้งข้าทาสบริวารอันเป็นส่วนของสังฆเศรษฐีคืนให้. สังฆเศรษฐีได้รับสมบัติส่วนของตนคืนทั้งหมดพร้อมด้วยข้าทาสบริวาร และกลับไปตั้งหลักฐานได้ดังเดิมที่พระนครราชคฤห์.พระศาสดาได้ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า ปิริยเศรษฐีในครั้งนั้นได้มาเป็นพระเทวทัต ส่วนสังฆเศรษฐีได้มาเป็นเราตถาคต (พระพุทธเจ้า) ฉะนี้.
เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล ณ นครราชคฤห์ แผ่นดินพระเจ้าอชาตศัตรู ซึ่งในเวลานั้นมีสำนักพระพุทธศาสนาที่แปลกแยกออกไป โดยมีพระเทวทัตเป็นผู้นำ และได้รับการสนับสนุนอย่างอุดมสมบูรณ์จากพระเจ้าอชาตศัตรู ณ ตำบลคยาศีรษะ. ในเมืองราชคฤห์มีสหายรักสองคนมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งทั้งสองเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและตัดสินใจจะบวชเพื่อบรรลุธรรม. สหายคนหนึ่งเลือกบวชในพระเวฬุวันมหาวิหารของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ในขณะที่อีกคนหนึ่งเลือกบวชในสำนักของพระเทวทัต โดยมีข่าวลือว่าที่นั่นสุขสบายนัก.แม้จะต่างที่บวช แต่สหายทั้งสองก็ยังไปมาหาสู่กันมิได้ขาด. ภิกษุผู้เป็นสาวกของพระเทวทัตมักชักชวนสหายของตนให้ไปฉันภัตตาหารที่สำนักของพระเทวทัตอยู่เสมอ โดยอ้างว่ามีอาหารรสดีมากมาย หลากหลาย ทั้งต้มยำ นึ่ง ทอด ล้วนประณีตถูกปากแบบชาววัง. แรกเริ่ม ภิกษุผู้บวชในเวฬุวันก็บ่ายเบี่ยงที่จะไปบิณฑบาตด้วยตนเอง แต่เมื่อถูกคะยั้นคะยอบ่อยเข้าจึงรับปาก และเมื่อไปฉันก็เกิดความเคยชิน ไปเป็นประจำ. ภิกษุรูปนี้ได้ให้เหตุผลกับตนเองและเพื่อนภิกษุว่า ถึงแม้จะไปฉันอาหารที่สำนักพระเทวทัต แต่พระเทวทัตไม่ได้เป็นคนให้ เขาฉันอาหารของ "ผู้มีจิตศรัทธานำมาถวาย" ซึ่งก็ไม่เห็นจะผิดอะไร เหมือนในเวฬุวัน การทานที่ไหนก็เหมือนกัน.แต่เมื่อนานวันเข้า ความประพฤติของภิกษุรูปนี้ก็เป็นที่โจษจันในพระเวฬุวัน. กระทั่งวันหนึ่ง ภิกษุรูปนี้ต้องโต้เถียงกับเพื่อนพระภิกษุอื่น ๆ ที่กล่าวหาว่าเขาทำผิดที่ไปฉันภัตตาหารของพระเทวทัตผู้ผิดธรรมวินัย. ภิกษุนั้นยืนยันว่าตนไม่ผิดเพราะอาหารเหล่านั้นเป็นของถวายจากพระเจ้าอชาตศัตรู. เมื่อเพื่อนพระภิกษุไม่สามารถตักเตือนได้ จึงพากันนำภิกษุรูปนี้ไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.พระพุทธองค์ทรงสอบถามและได้ความจริง. พระองค์ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุ เธอมาบวชอยู่ในสำนักของเราซึ่งสอนให้ละกิเลส นำตนให้พ้นจากกองทุกข์ แล้วทำไมจึงไปฉันอาหารในสำนักของพระเทวทัตซึ่งเป็นคนทุศีลด้วยเล่า”. แม้ภิกษุจะอ้างว่าได้รับอาหารจากคนที่มีศรัทธาถวาย แต่พระพุทธองค์ทรงชี้ว่านั่นหาใช่เหตุผลอันชอบธรรมไม่ เพราะอาหารนั้นได้มาด้วยการกระทำอันไม่ชอบของพระเทวทัตผู้ทุศีล.จากนั้น พระพุทธองค์ทรงสอนหลักธรรมว่า “คนเราเมื่อคบกันไปนานเข้า ความคิดอ่านก็จะไปในทางเดียวกัน คบคนดีก็จะจะเป็นคนดี คบคนชั่วก็จะพลอยชั่วไปด้วย”. เพื่อให้เข้าใจในเรื่องนี้ พระพุทธองค์จึงทรงยกอุทาหรณ์ถึงเรื่องราวในอดีตชาติของภิกษุรูปนี้ เมื่อครั้งที่เธอเกิดเป็นช้างชื่อมหิฬามุข.ในอดีตกาล ณ นครพาราณสี พระเจ้าพรหมทัตทรงมี ช้างคู่บารมีชื่อ พลายมหิฬามุข. ช้างเชือกนี้มีลักษณะงดงาม สงบเสงี่ยม เรียบร้อย และอยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าพรหมทัตยิ่งนัก. ครั้นถึงเทศกาลฝึกช้างเพื่อใช้ในราชการ บัณฑิตอำมาตย์จึงให้เปลี่ยนที่พักของพลายมหิฬามุขมาใกล้กำแพงชั้นนอกเพื่อความสะดวก.แต่เพียงไม่กี่วัน พลายมหิฬามุขที่เคยสุภาพเรียบร้อยก็เริ่มเปลี่ยนไป เริ่มแสดงท่าทางเกะกะเกเรขึ้นเรื่อยๆ. มันใช้ งวงหวดซ้ายป่ายขวา ทำร้ายคน และไล่เตะควาญ หรือเข่งอาหาร. ยิ่งเวลาผ่านไป ช้างยิ่งกำเริบก้าวร้าวขึ้น และเมื่อตกมันก็ยิ่งแสดงอาการดุร้ายน่ากลัว พังโรงช้างจนพินาศ และทำร้ายแม้แต่ช้างด้วยกัน. ควานช้างและเจ้าหน้าที่ในพระราชวังพากันมาระงับเหตุแต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งความดุร้ายของมันได้ มีผู้เสียชีวิตไปหลายคน.พระเจ้าพรหมทัตทรงร้อนพระทัยอย่างยิ่ง จึงเร่งให้บัณฑิตอำมาตย์ไประงับเหตุและหาสาเหตุของพฤติกรรมนี้. บัณฑิตอำมาตย์จัดควานฝีมือดีพร้อมช้างเข้าประจัญบานและจับตัวพลายมหิฬามุขไว้ได้ในที่สุด. สิ่งที่น่าแปลกใจคือ เมื่อถูกจับได้ พลายมหิฬามุขกลับไม่ต่อสู้ขัดขืนเลย. บัณฑิตอำมาตย์จึงสอบถามจากควานว่าเกิดเหตุใดขึ้น.ควานช้างเล่าว่า แต่เดิมพลายมหิฬามุขประพฤติตัวดีมีวินัย แต่ตั้งแต่ย้ายมาอยู่โรงช้างที่นี่ มันได้ยินพวกโจรที่มาปลูกเพลิงพักอาศัยอยู่แถวโรงช้าง วางแผนและพูดคุยเรื่องการปล้น ฆ่า และทำร้ายผู้อื่นด้วยพฤติกรรมที่โหดร้ายทารุณทุกวัน. พลายมหิฬามุขคงได้ยินเรื่องเหล่านี้ทุกวันและอาจจะคิดว่าพวกโจรเหล่านั้นกำลังสอนให้มันทำเช่นนั้น.เมื่อบัณฑิตอำมาตย์ทราบเรื่องราวทั้งหมด ก็กราบทูลพระเจ้าพรหมทัตว่า พลายมหิฬามุขดุร้ายผิดวิสัยเดิมก็เพราะมันอยู่ใกล้ชิดคนชั่วอย่างพวกโจรโหดร้ายเหล่านั้น. บัณฑิตอำมาตย์จึง เห็นควรให้ทรงโปรดจับพวกโจรขังไว้ และให้นักบวชมาพักอยู่ใกล้โรงช้างแทน. พระองค์เชื่อว่า เมื่อนักบวชได้สนทนาธรรม พลายมหิฬามุขจะได้ฟังและซึมซับสิ่งดีๆ ซึ่งจะเปลี่ยนพฤติกรรมที่โหดร้ายของมันได้.
เรื่องเริ่มต้นขึ้นในสมัยพุทธกาล ณ พระเชตวันมหาวิหาร ในนครสาวัตถี มีภิกษุณีรูปหนึ่งมีนิสัยชอบสั่งสอนและห้ามภิกษุณีรูปอื่นๆ ไม่ให้เข้าไปในที่หวงห้าม แต่ตนเองกลับละเมิดเข้าไปในที่เหล่านั้นเสียเอง. ภิกษุณีรูปนี้ไม่ได้ใส่ใจในสมณธรรม แต่กลับติดใจในลาภ จึงมักจะออกไปบิณฑบาตในพื้นที่เฉพาะที่ภิกษุณีรูปอื่นไม่ไป เพื่อจะได้อาหารอันประณีตโดยไม่ต้องแบ่งใคร. ด้วยความโลภ นางกลัวว่าภิกษุณีรูปอื่นจะล่วงรู้แหล่งบิณฑบาตดีๆ นี้ จึงไปหลอกภิกษุณีเหล่านั้นว่าบริเวณดังกล่าวมีอันตรายรอบด้าน เช่น มีช้างดุ ม้าดุ หรือสุนัขดุ. บรรดาภิกษุณีรูปอื่นๆ ต่างหลงเชื่อคำของนางอย่างสนิทใจและไม่มีใครกล้าออกไปบิณฑบาตในบริเวณนั้นเลย.อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่ภิกษุณีผู้ชอบสั่งสอนกำลังออกบิณฑบาตในบริเวณที่ตนหลอกว่าอันตรายนั้นเอง เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็พลันเกิดขึ้น แพะดุตัวหนึ่งได้พุ่งเข้าชนที่หน้าแข้งของเธออย่างจัง ทำให้กระดูกขาของนางหักเป็นสองท่อนทันที. นางนอนทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด ชาวบ้านในละแวกนั้นได้เข้าช่วยเหลือและหามนางกลับไปส่งยังสำนักภิกษุณี. เมื่อเรื่องนี้ล่วงรู้ไปถึงภิกษุณีรูปอื่นๆ พวกเธอก็พากันหัวเราะเยาะและกล่าวโทษนางว่า "ดีแต่สอนคนอื่น แต่ตนเองกลับไปซะเอง จนถูกแพะชนขาหัก สมน้ำหน้าจริงๆ".เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับภิกษุณีผู้ถูกแพะชนขาหักนี้เป็นที่กล่าวขวัญในธรรมสภา จนทราบถึงองค์พระศาสดา พระองค์จึงเสด็จมาตรัสถามและได้ตรัสว่า "ดู ก่อน ภิกษุ ทั้ง หลาย มิ ใช่ แต่ ใน บัด นี้ เท่า นั้น แม้ ใน กาล ก่อน ภิกษุณี ผู้ นี้ ก็ เอา แต่ สั่ง สอน ผู้ อื่น แต่ ตน เอง ก็ มิ ได้ ประพฤติ ตาม ต้อง เสวย ทุกข์ ตลอด กาล เป็น นิด เลย ที เดียว". จากนั้นพระองค์ก็ทรงนำเอา "อนุสาสิกชาดก" มาตรัสเล่าแก่ภิกษุทั้งหลาย.ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดเป็นนกป่าตัวหนึ่ง เป็นจ่าฝูงนกผู้สง่างาม มีนกบริวารหลายร้อยตัว. นกจ่าฝูงได้สั่งสอนบริวารของตนเสมอว่า "พวกเจ้าจงออกไปหากินในบริเวณป่านี้ อย่าได้บินเข้าไปในป่าดงดิบลึกนะ เพราะในนั้นเต็มไปด้วยอันตรายมากมายเลยล่ะ". แต่นานวันเข้า ก็มีนางนกจัณฑา (บางที่เรียกว่านกสาลิกา) ตัวหนึ่งไม่เชื่อฟังคำแนะนำของนกจ่าฝูง นางแอบบินเข้าไปในป่าลึกเพียงลำพัง และได้พบกับแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์ คือเมล็ดข้าวเปลือกและถั่วที่ตกกระจัดกระจายจากเกวียนบนทางใหญ่. ด้วยความโลภ นางคิดจะปกปิดแหล่งอาหารนี้จากนกตัวอื่นๆ. เมื่อบินกลับไปถึงฝูง นางนกจัณฑาจึงใช้คำหลอกลวงสั่งสอนนกทั้งฝูงว่า "นี่พวกเจ้าทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าทางใหญ่ในดงดิบ เป็นทางที่มีภัยอันตราย มีช้าง ม้า และเกวียนที่เทียมด้วยโคดุๆ ผ่านไปมามากมาย เจ้าอย่าได้เผลอบินเข้าไปเชียว". บรรดานกในฝูงต่างก็หลงเชื่อคำลวงของนาง และพากันเรียกขานนางว่า "แม่อนุสาสิกา" (ผู้สั่งสอน) ตั้งแต่นั้นมา.อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่นางนกจัณฑา อนุสาสิกากำลังจิกกินเมล็ดข้าวเปลือกอยู่บนทางใหญ่ในป่าดงลึกนั้น นางได้ยินเสียงเกวียนแล่นมาด้วยความเร็ว แต่ด้วยความชะล่าใจและคิดว่าเกวียนยังอยู่ไกล นางจึงก้มหน้าก้มตากินต่อไปอย่างเอร็ดอร่อย โดยไม่ทันคิดว่าอันตรายกำลังมาถึงตัว. ทันใดนั้นเอง เกวียนที่แล่นมาด้วยความเร็วก็มาถึงตัวนาง นางมิอาจโผบินขึ้นได้ทัน. ล้อเกวียนได้ทับร่างของนางขาดออกเป็นสองท่อน ตายอย่างน่าอนาถยิ่งนัก.ผ่านไปหลายวัน นกจ่าฝูง (พระโพธิสัตว์) ได้เรียกประชุมฝูงนก แต่กลับไม่พบนางนกจัณฑา อนุสาสิกา จึงเกิดความเป็นกังวลและให้บรรดานกบริวารช่วยกันค้นหา. ไม่นานนัก ฝูงนกก็พบนางนอนตายอยู่บนทางใหญ่ในป่าดงลึก โดยร่างขาดเป็นสองท่อน. เมื่อได้ยินเช่นนั้น นกจ่าฝูงจึงกล่าวกับนกทั้งฝูงว่า "อนิจจา นกสาริกาตัวใดสั่งสอนนกตัวอื่นอยู่เนืองๆ ตัวเองมีปกติเที่ยวไปด้วยความละโมบ นางนกสาริกาตัวนั้นถูกล้อบดแล้ว มีปีกหักนอนอยู่ดังนี้".เมื่อองค์สมเด็จพระศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาอนุสาสิกชาดกแก่เหล่าภิกษุทั้งหลายแล้ว ก็ทรงประมวลชาดกว่า นางนกจัณฑา อนุสาสิกาในครั้งนั้น ได้มาเกิดเป็นภิกษุณีผู้พร่ำสอนในชาตินี้ ส่วนนกจ่าฝูงเสวยพระชาติเป็นพระตถาคต (พระพุทธเจ้า) นั่นเอง. เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นถึงโทษของการดีแต่สั่งสอนผู้อื่น แต่ตนเองไม่ประพฤติตาม ซึ่งมักนำไปสู่จุดจบที่ไม่ดีในที่สุด.
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นที่แคว้นโกศล เมื่อพระเจ้ามหาโกศลได้พระราชทานพระธิดาผู้มีสิริโฉมงดงามให้แก่พระเจ้าพิมพิสาร ทั้งสองพระองค์ครองรักกันอย่างมีความสุข และต่อมาพระเทวีก็ให้กำเนิดพระโอรสที่น่ารักน่าเอ็นดู นามว่า พระเจ้าอชาตศัตรู. แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูกระทำปิตุฆาตกรรม ปลงพระชนม์พระบิดาของตนเอง. ไม่นานนัก พระเทวีผู้เป็นมารดาก็สิ้นพระชนม์ลงด้วยความเสน่หาต่อพระเจ้าพิมพิสาร.หลังจากนั้น พระเจ้าโกศล ผู้เป็นโอรสของพระเจ้ามหาโกศล และมีศักดิ์เป็นน้าของพระเจ้าอชาตศัตรู ทรงโกรธแค้นพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดสงครามระหว่างพระเจ้าโกศลและพระเจ้าอชาตศัตรูขึ้น. สงครามดำเนินไปอย่างยืดเยื้อ บางคราวพระเจ้าน้าก็ชนะ บางคราวพระเจ้าหลานก็ชนะ สับเปลี่ยนกันไปมาอย่างไม่รู้จบ. ทุกครั้งที่พระเจ้าอชาตศัตรูทรงชนะ พระองค์จะทรงโสมนัส ปักธงชัยเข้าสู่พระนครด้วยยศอันยิ่งใหญ่ แต่ถ้าคราวใดทรงปราชัย พระองค์จะทรงโทมนัส เสด็จเข้าสู่พระนครโดยไม่ให้ใครทราบ. เรื่องราวพฤติกรรมของพระเจ้าอชาตศัตรูนี้ได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาของชาวบ้านและพระภิกษุสงฆ์.ครั้งนั้น องค์พระศาสดา เมื่อได้ยินหัวข้อที่เหล่าภิกษุสนทนา ก็ได้ตรัสว่า ไม่ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้แต่ในกาลก่อน พระเจ้าอชาตศัตรูก็เคยมีพฤติกรรมเช่นเดียวกัน คือเมื่อชนะก็ดีใจ เมื่อแพ้ก็เสียใจ. แล้วพระองค์ก็ทรงตรัสเล่า หริตมาตชาดก (ชาดกว่าด้วยผู้มีอิสรภาพ) ดังนี้.ณ แม่น้ำท้ายป่าใหญ่แห่งหนึ่ง สมัยที่ธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านนิยมดักลอบจับปลาในแม่น้ำเพื่อเป็นอาหารยังชีพ. มีงูตัวหนึ่งเลื้อยผ่านมาเห็นปลาจำนวนมากติดอยู่ในลอบ ก็คิดแผนการร้าย หวังจะเข้าไปกินปลาเหล่านั้น. ฝูงปลาที่อยู่ในลอบเมื่อเห็นงูเลื้อยเข้ามาใกล้ก็แตกตื่นหวาดกลัว แต่มีปลาตัวหนึ่งกล่าวขึ้นว่า "พวกเรามีกันตั้งหลายตัว ทำไมต้องกลัวแค่งูตัวเดียวด้วย ถ้าพวกเราช่วยกัน งูตัวเดียวทำอะไรเราไม่ได้หรอก".งูซึ่งหวังจะได้ลิ้มรสอาหารมื้อใหญ่ ไม่ฟังเสียงใดๆ ของพวกปลา ด้วยความหิวจึงเลื้อยเข้าไปในลอบหมายจะกัดกินปลา. แต่ทันทีที่งูเข้าไปในลอบ ฝูงปลาทั้งหมดก็รุมกัดงูจนเป็นแผลเหวอะหวะไปหมด. งูได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ตะโกนขอความช่วยเหลือจาก กบเขียว ตัวหนึ่งที่นอนอยู่ริมฝั่ง ซึ่งได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด.กบเขียวยังคงวางเฉย โดยกล่าวว่า "ข้าเห็นแล้ว แต่นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ทำไมเราต้องช่วยท่านด้วยล่ะ". งูยิ่งได้รับความทุกข์ทรมานมากขึ้น จึงอ้อนวอนขอความช่วยเหลืออีกครั้ง โดยชี้ว่าตนเป็นฝ่ายถูกรังแก โดนปลารุมกัดเพียงลำพัง. กบเขียวจึงกล่าวเตือนสติงูว่า หากมีปลาหลงเข้าไปในถิ่นของงู ปลาตัวนั้นก็คงถูกรุมกัดกินเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถช่วยงูได้. งูยอมรับว่าถูกต้อง แต่ก็ยังคงขอให้ช่วย. กบเขียวมองดูงูที่ถูกปลากัดจนเป็นแผลเหวอะหวะ ถอนหายใจแล้วกระโดดจากไป ปล่อยให้งูอยู่กับปัญหาที่ตนก่อไว้.เมื่อกบเขียวจากไปแล้ว ฝูงปลาก็กรูกันเข้ามากัดกินงูที่เข้ามาทำร้ายพวกตนถึงในลอบ งูทนความเจ็บปวดไม่ไหว สิ้นใจตายในลอบนั้นเอง.พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุดชาดกว่า งูในครั้งนั้นได้มาเกิดเป็นพระเจ้าอชาตศัตรูในครั้งนี้ ส่วนกบเขียวเสวยพระชาติเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
นิทานชาดกเรื่อง "สัจจังกิรชาดก" เริ่มขึ้นในอดีตกาล ณ นครพราณสี ซึ่งปกครองโดยพระเจ้าพรหมทัตและมเหสี. ทั้งสองมีพระโอรสรูปงามนามว่า ทุททกุมาร. เมื่อเติบใหญ่ ทุททกุมารกลับมี นิสัยก้าวร้าว หยาบคาย ชอบด่าทอ ทำร้ายผู้อื่น จนไม่มีใครชื่นชอบ.วันหนึ่ง ทุททกุมารปรารถนาจะลงเล่นน้ำกลางแม่น้ำ จึงสั่งให้บริวารพาไป. ด้วยความที่พระโอรสเอาแต่ใจและทำแต่กรรมชั่ว เหล่ามหาดเล็กจึงปรึกษากันที่จะ กำจัดคนใจร้าย นี้เสีย. พวกเขาจึงวางแผนพายเรือพาโอรสลงเล่นน้ำกลางสระลึก เมื่อทุททกุมารกำลังเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน มหาดเล็กก็แอบพายเรือกลับเข้าฝั่ง โดยไม่ให้เขารู้ตัว.เวลาผ่านไป ทุททกุมารเล่นน้ำจนอ่อนเพลีย หวังจะกลับเข้าฝั่ง แต่ก็ไม่พบมหาดเล็ก. ด้วยกระแสน้ำที่พัดแรงและร่างกายที่อ่อนล้า ทุททกุมารจึง ถูกกระแสน้ำพัดลอยไป และได้เจอ ขอนไม้แห้งที่ลอยน้ำมา จึงเกาะขอนไม้นั้นไว้. บนขอนไม้เดียวกันนั้น ยังมีสัตว์อีกสามตัวที่ถูกกระแสน้ำพัดมาเกาะอยู่ด้วย ได้แก่ งู (อดีตเศรษฐีผู้ฝังทรัพย์ 40 โกฏิ) หนู (อดีตเศรษฐีผู้ฝังทรัพย์ 30 โกฏิ) และ ลูกนกแขกเต้า. ทุททกุมารแสดงความรังเกียจสัตว์เหล่านั้น โดยอ้างว่าตนเป็นกุมาร ไม่สมควรเกาะรวมกับสัตว์เดรัจฉาน.ทั้งสี่ชีวิตอาศัยขอนไม้ลอยน้ำมาติดอยู่ ณ ตลิ่งตรงข้ามคุ้งน้ำ ที่มี พระฤาษี สร้างศาลาอยู่. เมื่อพระฤาษีได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือด้วยความเมตตา ก็ว่ายน้ำไปช่วยลากขอนไม้กลับเข้าฝั่ง และอุ้มพระกุมารกับสัตว์ทั้งสามขึ้นมา. พระฤาษีก่อไฟผิงให้คลายหนาว และให้สัตว์ทั้งสามซึ่งอ่อนแอกว่าได้ผิงไฟก่อนทุททกุมาร. เมื่อถึงเวลาอาหาร พระฤาษีก็ให้ผลไม้แก่สัตว์ทั้งสามก่อนด้วยเหตุผลเดียวกัน. การกระทำเหล่านี้ทำให้ ทุททกุมารผูกใจเจ็บแค้น คิดว่าพระฤาษีไม่นับถือตนในฐานะพระราชกุมาร แต่กลับยกย่องสัตว์เดรัจฉาน.หลังจาก 2-3 วัน เมื่อร่างกายแข็งแรงขึ้น ทุททกุมารและสัตว์ทั้งสามก็ลาพระฤาษีเพื่อกลับที่อยู่ของตน.งู กล่าวตอบแทนพระคุณ โดยเสนอทรัพย์ 40 โกฏิที่ฝังไว้ และบอกชื่อเรียกตนว่า "ทีฆะ".หนู เสนอทรัพย์ 30 โกฏิที่ฝังไว้ และบอกชื่อเรียกตนว่า "อุนธุระ".นกแขกเต้า ซึ่งไม่มีทรัพย์ เสนอว่าจะให้ญาติขนข้าวสาลีแดงมาให้หลายเล่มเกวียน หากพระฤาษีต้องการ และบอกชื่อเรียกตนว่า "สุวะ".ส่วน ทุททกุมาร ผู้มีจิตใจมุ่งร้าย ได้แกล้งกล่าวว่าจะถวายปัจจัยสี่เมื่อตนได้ครองราชสมบัติแล้ว แต่ในใจกลับคิดจะฆ่าพระฤาษีให้ตายเสีย.เวลาผ่านไปไม่นาน ทุททกุมารก็ได้เสวยราชสมบัติ ณ นครพราณสี. พระฤาษีจึงปรารถนาจะทดสอบคำพูดของพระกุมารและสัตว์ทั้งสาม.เมื่อพระฤาษีไปหางูและเอ่ย "ทีฆะ" งูก็เลื้อยออกมาเสนอทรัพย์ 40 โกฏิให้ทั้งหมด.เมื่อไปหาหนูและเอ่ย "อุนธุระ" หนูย่อมออกมาเสนอทรัพย์ 30 โกฏิให้ทั้งหมด.เมื่อไปหานกแขกเต้าและเอ่ย "สุวะ" นกก็ออกมาต้อนรับพร้อมเสนอให้ญาติขนข้าวสาลีแดงมาถวาย.พระฤาษีกล่าวขอบใจและยังไม่ต้องการทรัพย์หรือข้าว.จากนั้น พระฤาษีจึงไปหาทุททกุมารที่ได้ครองราชสมบัติเป็นพระราชา. เมื่อทุททราชาเห็นพระฤาษีแต่ไกล ก็กล่าวว่า "มาแล้วหรือท่านฤาษี ดีล่ะ เราจะจัดการให้สาสมกับที่ท่านทำเราให้เจ็บใจเลย". ทุททราชาสั่งทหารให้ จับพระฤาษีมัดและเฆี่ยนตี อย่างหนัก แล้วนำไปตัดหัวที่ตะแลงแกงและเสียบประจาน. ขณะถูกเฆี่ยนตี พระดาบสก็กล่าวว่า "ขอนไม้ลอยน้ำยังดีกว่าคนอกตัญญู เราช่วยคนใจบาปให้รอดก็ตายจากกระแสก็กลับเป็นการนำทุกข์มาสู่ตนแท้ๆ".เหล่าทหารและประชาชนที่เห็นเหตุการณ์เกิดความสงสัย จึงสอบถามพระดาบส ซึ่งพระองค์ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง รวมถึงเรื่องที่นก หนู และงูเสนอทรัพย์ให้. ชาวเมืองทั้งหลายเมื่อได้ใคร่ครวญก็เห็นพ้องต้องกันว่า พระราชาองค์นี้ทำลายมิตร มีจิตใจโหดร้าย ไร้คุณธรรม และอกตัญญู หากให้ครองบ้านเมืองต่อไปอาจนำภัยพิบัติมาสู่บ้านเมืองได้ จึงพากัน ประหารพระราชา นั้นเสีย.เมื่อทุททราชาสิ้นพระชนม์ เหล่าทหารและประชาชนต่าง อภิเษกให้พระฤาษีขึ้นครองราชย์แทน. เมื่อครองราชย์แล้ว พระองค์ทรงทดลองสัตว์ทั้งสามอีกครั้ง ซึ่งสัตว์ทั้งสามล้วนยินดีมอบทรัพย์ของตนให้. พระองค์ทรงรับทรัพย์ของงูและหนูที่ฝังไว้ และสำหรับนกแขกเต้า ก็จะให้เมื่อต้องการข้าวสาร. พระองค์ทรงรับสัตว์ทั้งสามไปเลี้ยงดูอย่างดีตลอดอายุขัย.พระพุทธเจ้าได้ทรงประชุมชาดกว่าในอดีตชาตินั้น งูได้มาเป็นพระสารีบุตร หนูได้มาเป็นพระโมคคัลลานะ นกแขกเต้าได้มาเป็นพระอานนท์ ทุททราชาได้มาเป็นพระเทวทัต และ พระดาบสได้เสวยพระชาติเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
เรื่อง "พันธนะโมกขชาดก" ถูกนำมาเล่าในพุทธกาล โดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปรารภถึง นางจิญจมาณวิกา ซึ่งเป็นสตรีที่ก่อบาปมหันต์ต่อพระองค์ โดยเคยบังอาจกล่าวอ้างความสัมพันธ์เป็นเท็จและใส่ร้ายพระพุทธองค์ต่อหน้าพุทธบริษัท จนกระทั่งนางลงโลกันตนรกด้วยพระแม่ธรณีสูบหายไปจากโลกมนุษย์เนื้อหาของชาดกเรื่องนี้ มีดังนี้:อดีตกาล: ณ นครพาราณสี มีพระเจ้ากาสีผู้สูงวัยและ อัครมเหสีผู้ทรงสิริโฉมงดงาม เมื่อถึงคราวที่พระสวามีต้องออกทัพไปปราบกบฏยังปัจจันตคามห่างไกล อัครมเหสีได้บังคับมิให้พระองค์ข้องแวะสตรีอื่น พระราชาสัญญาว่าจะส่งทหารนำสารมาแจ้งข่าวคราวทุกๆ หนึ่งโยชน์ตลอดการเดินทาง ก่อนออกเดินทาง พระองค์ได้ฝากราชกิจให้ ปุโรหิตหนุ่มผู้เป็นบัณฑิต ดูแลความประพฤติของอัครมเหสี: ปุโรหิตหนุ่มผู้มีญาณสัมผัสรู้จิตใจสตรีเช่นมเหสี จึงพยายามปลีกตัวออกห่างและมิข้องแวะราชการกับพระนาง ทว่า การให้ทหารกลับมาส่งข่าวทุกโยชน์นั้น เป็นเพียงแผนการของอัครมเหสีที่ต้องการล่วงละเมิดในกามคุณ เมื่อทหารนำสารมาถึงวัง พระนางจะลวงให้ทหารเข้าไปในห้องและข่มขู่ไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้ ตลอดระยะทางที่ทัพกษัตริย์เดินทางไปและกลับ พระมเหสีได้มีสัมพันธ์กับชายหนุ่มล่ำสัน (ทหารนำสาร) ถึง 64 คน (ขาไป 32 คน และขากลับอีก 32 คน) พระนางรู้สึกมีความสุขกับเรื่องนี้และหวังให้พระราชาออกศึกไปนานๆ อีกการปฏิเสธของปุโรหิต: เมื่อพระราชาเสด็จกลับ ปุโรหิตหนุ่มได้เข้าไปตรวจตราความเรียบร้อยของปราสาท พระมเหสีได้เรียกให้เขาเข้ามาเพื่อร่วมประเวณีด้วย แต่ปุโรหิตซึ่งเป็นผู้รักษาศีลธรรมและไม่กลัวอกุศลกรรมได้ปฏิเสธอย่างหนักแน่น โดยกล่าวว่า "กระหม่อมไม่ยอมทำผิด แม้ว่าจะถูกตัดหัวก็เพียงชาติเดียว ดีกว่าก่อกรรมแล้วถูกตัดหัวชดใช้ไปพันชาติ" ด้วยความโกรธที่ถูกขัดใจ พระมเหสีจึงกรีดร้องและฝากรอยเล็บไว้บนร่างของปุโรหิตการใส่ร้ายและบทสรุป: เมื่อพระเจ้ากาสีเสด็จกลับถึงที่บรรทม พระมเหสีได้กล่าวเท็จพร้อมน้ำตาว่าปุโรหิตทำร้ายและย่ำยีพระนาง พระราชาทรงกริ้วมากและสั่งให้นำตัวปุโรหิตมาเพื่อจะตัดหัวเอง แต่เมื่อปุโรหิตซึ่งเป็นบัณฑิตและซื่อสัตย์ได้ถวายพระสติ ขอให้พระราชาถามว่าพระมเหสีผิดอย่างไร เมื่อปุโรหิตกล่าวว่าเขาไม่สามารถทำตามพระทัยของนางผู้ประพฤติกามได้ พระเจ้ากาสีจึงเรียกชายฉกรรจ์ทั้ง 64 คนที่เคยเป็นทหารนำสารมาสอบถาม ซึ่งทั้งหมดได้สารภาพตรงกัน ทำให้พระมเหสีไม่อาจปฏิเสธได้ แม้โทษของพระนางถึงขั้นประหารชีวิต แต่ปุโรหิตได้ขอให้ทรงอภัยโทษ เพราะสตรีมีสภาวธรรมที่ให้กำเนิดบุตร ย่อมไม่อิ่มในเมถุนเป็นธรรมดาผลลัพธ์: พระเจ้ากาสีจึง ปลดพระยศพระมเหสีลงเป็นสามัญชน ส่วนทหารทั้งหมดได้กลับคืนกรมกอง สำหรับปุโรหิตหนุ่มนั้น เบื่อหน่ายชีวิตฆราวาสจึงออกบวช ถือเพศบรรพชิต และมุ่งสู่ป่าหิมพานต์ จนสำเร็จในญาณสู่พรหมโลกการประชุมชาดก: ในพระชาตินั้น พระมเหสีได้กำเนิดเป็นนางจิญจมาณวิกา พระเจ้าพาราณสีได้กำเนิดเป็นพระอานนท์ และ ปุโรหิตได้เสวยพระชาติเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
กุกกุฏชาดก พญาไก่ป่าและแมว ชาดกว่าด้วย ผลของการไม่เชื่อง่าย
ติฏฐชาดก ม้ารังเกียจท่าน้ำ ชาดกว่าด้วย การเบื่อความซ้ำซาก
มณิกัณฐชาดก  ชาดกว่าด้วย  ขอในสิ่งที่ไม่ควรขอ
มุณิกชาดก  ชาดกว่าด้วย  ผู้มีอายุยืน
ชาดกว่าด้วย อานิสงฆ์ในการถวายขนมกุมมาส
พระมหาสีลวะชาดก  ชาดกว่าด้วย  ความสำเร็จเกิดจากความพยายาม
อัตถัสสทวารชาดก ประตูแห่งประโยชน์ ชาดกว่าด้วย คุณธรรม ๖ ประการ
loading
Comments