เวฬุกะชาดก ภิกษุเลี้ยงงูอรสพิษ ชาดกว่าด้วย คนที่นอนตาย
Description
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นที่พระเชตวันมหาวิหาร เมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งซึ่งเป็นคนว่ายากสอนยาก ไม่เคยฟังคำตักเตือนจากใคร สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้ภิกษุรูปหนึ่งไปนิมนต์ภิกษุผู้ว่ายากเข้าเฝ้า เมื่อภิกษุนั้นมาถึง พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า ไม่ใช่เพียงชาตินี้เท่านั้นที่เธอเป็นคนว่ายากสอนยาก แม้ในชาติปางก่อนก็เป็นเช่นนี้ พระพุทธองค์ทรงระลึกชาติและตรัสเล่า เวรุชาดก ให้พระภิกษุทั้งหมดฟัง เพื่อให้ภิกษุผู้ว่ายากได้เห็นโทษของการดื้อรั้นและเปลี่ยนนิสัย พระองค์ทรงเตือนว่า ด้วยความดื้อดึงสอนยากนี้ ทำให้เขาถูกงูกัดถึงแก่ความตาย หากไม่ละทิ้งนิสัยนี้ ชาตินี้ก็คงต้องพบจุดจบไม่ต่างอะไรกับชาติที่แล้ว
ในอดีตกาล ณ แคว้นกาสี มีครอบครัวเศรษฐีผู้หนึ่ง หัวหน้าครอบครัวล้มป่วยลงและเสียชีวิตในที่สุด บุตรชายเศรษฐี ผู้เป็นบัณฑิต ได้เห็นว่าแม้บิดาจะมีทรัพย์สมบัติมากมายเพียงใด ก็ไม่สามารถนำติดตัวไปได้เลย เขาจึงตัดสินใจนำทรัพย์สมบัติทั้งหมดออกมาแจกเป็นทานให้แก่ผู้ยากไร้ เหลือไว้เพียงอาภรณ์ติดตัวและเครื่องบริขารเพื่อบำเพ็ญเพียรเท่านั้น
หลังจากแจกจ่ายทรัพย์สินหมดแล้ว บุตรเศรษฐีพร้อมบริวารได้มุ่งหน้าสู่ ป่าใหญ่แดนหิมพานต์เพื่อประพฤติพรหมจรรย์ บัณฑิตหนุ่มได้ถือเพศเป็นฤาษี เพียรภาวนาจนบรรลุธรรมอภิญญา ทำให้มีผู้เลื่อมใสและถือบวชติดตามเป็นศิษย์มากมาย บรรดาศิษย์ได้ช่วยกันสร้างอาศรมเพื่อปฏิบัติธรรมอย่างสงบในป่าหิมพานต์
อยู่มาวันหนึ่ง ศิษย์ฤาษีวัยหนุ่มผู้หนึ่งได้พบลูกงูพิษตัวหนึ่งที่เลื้อยเข้ามาในบริเวณอาศรม เขารู้สึกรักและเอ็นดูมันมาก แม้จะมีเสียงทักท้วงและเตือนจากศิษย์คนอื่นๆ ว่า "งูพิษเลี้ยงไม่เชื่องหรอก อันตรายนะ" และ "ระวังเถอะ เลี้ยงงูพิษไว้ สักวันมันจะทำร้ายเจ้า" แต่เขาก็ไม่ฟัง ศิษย์หนุ่มเก็บลูกงูไว้ในกระบอกไม้ไผ่และตั้งชื่อให้ว่า "เวรุกะ" เขาเชื่อว่าตนเลี้ยงดูมันอย่างดี มันก็ต้องรักเขา และพิษของมันคงหายไปหมดแล้ว เขาไม่ฟังคำตักเตือนจากอาจารย์และศิษย์คนอื่นๆ เลย
วันเวลาผ่านไป เมื่อฤดูแล้วเวียนมาถึง ศิษย์หนุ่มจะต้องเข้าป่าไปหาอาหารและเก็บไว้เป็นเวลาสามวัน เขากล่าวล่ำลางูเวรุกะด้วยความอาลัย และกำชับให้มันอยู่ดีๆ ตลอดเวลาสามวันที่เขาไม่อยู่ เขาก็คิดถึงและกังวลถึงลูกงูเวรุกะของเขาอยู่ตลอดเวลา
เมื่อสามวันผ่านไป พวกฤาษีและศิษย์หาของป่าได้มากพอจึงพากันกลับอาศรม ศิษย์หนุ่มดีใจมาก รีบตรงไปยังที่อยู่ของงูเวรุกะ เขาอุทานด้วยความรักว่าจะนำสัตว์ที่จับได้มาเป็นอาหารให้เวรุกะ แม้ศิษย์คนอื่นๆ จะเตือนว่า "เวรุกะของเจ้าคงหนีหายไปแล้วแหละ" แต่เขาก็ไม่สนใจ และยังคงมั่นใจว่าลูกงูของเขาจะต้องรอเขากลับมา
ธรรมชาติของงูพิษคือเลี้ยงไม่เชื่อง ยิ่งหิวก็ยิ่งดุร้าย เวรุกะที่ถูกขังอยู่ในกระบอกไม้ไผ่มาสามวันสามคืน ทั้งหิวและโกรธ จึงไม่เหลือร่องรอยของงูเชื่องแสนน่ารักเลยแม้แต่น้อย เมื่อกระบอกไม้ไผ่ถูกเปิดออก มันก็พุ่งตัวออกมาอย่างรวดเร็ว ฉกเข้าที่ดวงตาของศิษย์หนุ่มผู้เป็นคนเลี้ยงมันมาอย่างโหดเหี้ยม ศิษย์หนุ่มร้องด้วยความเจ็บปวดและสงสัยว่าทำไมงูที่เขารักและเลี้ยงมาจึงทำร้ายเขา ด้วยความโกรธและความหิว เวรุกะยังคงฝังเขี้ยวและปล่อยน้ำพิษจนศิษย์หนุ่มฤาษีสะท้านไปทั่วร่าง ล้มลงขาดใจตายอยู่ตรงนั้นทันที
พระศาสดาทรงสรุปว่า งูพิษก็คืองูพิษ อย่างไรเสียมันก็คงไม่ลืมสัญชาตญาณไปได้ นี่แหละคือโทษของการดื้อรั้น ที่ว่ายากสอนยาก ไม่เชื่อฟังคำตักเตือนจากใคร สุดท้ายก็ต้องพบจุดจบอย่างน่าอนาถ พระองค์ทรงประมวลชาดกว่า ศิษย์ผู้ดื้อรั้นในครั้งนั้นได้มาเกิดเป็นภิกษุที่ว่ายากสอนยากในครั้งนี้ ส่วนฤาษีบริวารได้มาเกิดเป็นพุทธบริษัททั้งหลาย และพระอาจารย์ (หัวหน้าฤาษี) เสวยพระชาติเป็นพระพุทธเจ้าในปัจจุบัน