เนรุชาดก ชาดกว่าด้วย อานุภาพของเนรุบรรภพ
Description
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศพระธรรมคำสอนในชมพูทวีป ทำให้พระอริยสัจกลายเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คน
เรื่องภิกษุบวชใหม่มีภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งเพิ่งบวชใหม่และได้ออกธุดงค์ไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ท่านได้เลือกปฏิบัติตนใต้ต้นไม้ใหญ่ด้วยความเคร่งครัด ชาวบ้านที่ผ่านไปมาเห็นกิริยาอันน่าเลื่อมใสของท่าน ก็บังเกิดศรัทธาขึ้นมา พวกเขาจึงปรึกษากันที่จะสร้างบรรณศาลาถวายแด่ภิกษุรูปนี้เมื่อภิกษุหนุ่มเดินจงกรมเสร็จในวันหนึ่ง นายบ้านก็ได้เข้ามานิมนต์ท่านให้ย้ายเข้าไปพักในบรรณศาลาที่ชาวบ้านร่วมใจกันสร้างถวาย ซึ่งท่านก็ตอบรับ เมื่อเวลาผ่านไป ชาวบ้านก็ยิ่งชื่นชมในอิริยาบถที่งดงามของภิกษุหนุ่ม และได้นำภัตตาหารคาวหวานมาถวายทั้งเช้าและเพลอย่างไม่ขาด ในทุกค่ำคืน ชาวบ้านจะพากันมารวมตัวกันเพื่อฟังพระธรรมเทศนาที่ภิกษุหนุ่มบรรยายตามคำสอนของพระพุทธองค์
แต่ด้วยความเหนื่อยล้าและความเบื่อหน่าย ทำให้ความนิยมในการฟังธรรมเริ่มลดลง ข่าวการอุปัฏฐากพระสงฆ์ในหมู่บ้านนี้ได้แพร่กระจายออกไป ทำให้นักบวชจากคณะอื่น ๆ ถือโอกาสเดินทางเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อแสวงหาผลประโยชน์
- เริ่มจากพวก สัตวา ที่ยึดถืออัตตาเป็นสรณะ พวกเขาได้รับการต้อนรับจากชาวบ้านและได้รับการกราบไหว้แทนภิกษุเถรวาท
- ต่อมาคือคณะ อุจเฉททิฏฐิ ที่เชื่อในอัตตาเฉพาะชาตินี้เท่านั้น และพวก อจลวิชญ์ ซึ่งต่างก็ได้รับการยกย่องจากชาวบ้านอย่างมาก
นักบวชเหล่านี้พึงพอใจที่ได้มาอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกับเหล่าสาวกของพระศาสดา แต่ภิกษุหนุ่มกลับรู้สึกไม่สบายใจและต้องจำยอมอยู่ร่วมกับนักบวชเหล่านี้อย่างไม่สงบ เมื่อออกพรรษาแล้ว ภิกษุหนุ่มจึงได้เดินทางกลับไปเฝ้าพระพุทธองค์ ณ พระเชตวันมหาวิหาร และกราบทูลเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ทรงวินิจฉัย
เนรุชาดกเมื่อพระพุทธองค์ทรงสดับเรื่องราวแล้ว ได้ตรัสว่า แม้บัณฑิตในอดีตกาลผู้เกิดในสกุลปักสา (นก) ก็ยังไม่ยอมอยู่ร่วมกับผู้ไร้คุณธรรมแม้สักวันเดียว จากนั้น พระองค์จึงทรงเล่าเรื่อง "เนรุชาดก" ตามคำทูลขอของเหล่าสาวก
ในอดีตชาติครั้งที่พระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี ณ ภูเขาจิตตตากูด ริมป่าหิมพานต์ มีหงส์ทองครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ วันหนึ่ง พญาหงส์ผู้เป็นพี่ (ซึ่งคือพระพุทธเจ้าในชาติปัจจุบัน) และหงส์ผู้น้อง (คือพระอานนท์ในชาติปัจจุบัน) ได้ออกท่องป่าหิมพานต์ และมองเห็นภูเขาลูกหนึ่งมีแสงสีทองอร่ามสวยงามแต่ไกล ด้วยความสงสัย ทั้งสองจึงบินเข้าไปดู
เมื่อเข้าไปใกล้ พญาหงส์ผู้พี่จำได้ว่าภูเขาลูกนั้นคือ เนรุบรรพต พญาหงส์ได้บอกน้องชายว่า เนรุบรรพตแห่งนี้เป็นภูเขาที่วิเศษ สัตว์ใด ๆ ก็ตามเมื่อมาอยู่บริเวณนี้ จะมีสีสันสวยงามดั่งทองทุกตัว ไม่ว่าจะเป็นนกแร้ง นกกา หมาใน หมาจิ้งจอก แมวป่า หรือแม้แต่หนูสกปรก ก็ล้วนกลายเป็นสีทองงามอร่าม
อย่างไรก็ตาม พญาหงส์ผู้พี่สังเกตเห็นว่า แม้รูปลักษณ์ภายนอกของสัตว์เหล่านั้นจะเปลี่ยนเป็นสีทอง แต่จิตใจและพฤติกรรมของพวกมันก็ยังคงเป็นไปตามสัญชาตญาณเดิม ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เหมือนสีภายนอก อีกาที่ตัวเป็นสีทองดุจหงส์ ก็ยังไม่เลิกนิสัยขโมย หนูผู้สะสมของสกปรกก็ยังคงมีพฤติกรรมเดิม สุนัขจิ้งจอกก็ยังไม่เลิกวิสัยของสุนัข
พญาหงส์จึงสรุปว่า "เนรุบรรพตแห่งนี้ แม้จะมีความวิเศษ แต่ก็ไม่สามารถทำให้สัตว์ดีเหมือนกันได้ สัตบุรุษนั้นไม่บังควรคบหาผู้ทุศีลเลย" จากนั้น พญาหงส์ทั้งสองก็ชวนกันบินกลับไปยังเขาจิตตตากูด เพื่ออยู่ร่วมกับฝูงหงส์ของตนต่อไป
เมื่อพระพุทธองค์ทรงจบพระธรรมเทศนานี้แล้ว ได้ทรงประกาศสัจธรรม ทำให้ภิกษุรูปนั้นบรรลุโสดาปัตติผล ในพุทธกาลสมัยนั้น หงส์ผู้น้องได้มาเกิดเป็นพระอานนท์ ส่วนพญาหงส์ผู้พี่ได้มาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า